Honda CR-Z ไฮบริดมาดสปอร์ต
ถ้าพูดถึงระบบไฮบริดแล้ว นิยามของรถยนต์ที่ใช้ระบบนี้มักจะหนีไม่พ้นเรื่องความประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนเรื่องอื่นๆ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ทว่าในตอนนี้ ฮอนด้าสามารถทำให้ระบบไฮบริดมีความหมายที่มากขึ้น เมื่อจัดการนำระบบนี้มาใช้กับรถสปอร์ต ด้วยการเปิดตัว CR-Z ออกมา และพร้อมขายในตลาดญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกในโลก
คนที่ติดตามข่าวสารคงทราบดีว่า ฮอนด้าพยายามเปิดมิติใหม่ของการนำเทคโนโลยีไฮบริดให้กลายมาเป็นสิ่งที่มีความใกล้ตัวผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการทำให้ระบบนี้ไม่ใช่ของไฮโซเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา อินไซท์ใหม่ที่เปิดตัวในปี 2008 ถือเป็นก้าวแรกในการดำเนินนโยบายนี้ และด้วยแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ไฮบริดที่แชร์พื้นฐานร่วมกับรถยนต์ซับคอมแพ็กต์อย่างฟิต/แจ๊ซ บวกกับรูปแบบของระบบไฮบริดที่ไม่มีความซับซ้อนมากและใช้ร่วมกับของที่มีอยู่แล้วอย่างซีวิค ไฮบริด ทำให้ฮอนด้าสามารถตั้งราคาของอินไซท์ในระดับราคาที่คนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้ จนกลายเป็นรถยนต์ไฮบริดที่มีราคาถูกที่สุดในตลาดเมื่อวางขายในตลาดญี่ปุ่นกับราคา 1.89 ล้านเยน หรือ 661,000 บาทเท่านั้น
แต่นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับรายงานของ Nihon Keizei ที่ระบุว่า อินไซท์กลายเป็นรถยนต์ที่มีกำไรต่อหน่วยมากที่สุดของฮอนด้า ซึ่ง 1 คันฮอนด้าได้กำไร 300,000 เยน (110,000 บาท) หรือคิดเป็น 15% ของราคาขาย แม้ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของกำไรจะเท่ากับที่ฮอนด้าได้รับจากแจ็ซหรือฟิตในญี่ปุ่น แต่ด้วยราคาขายของฟิต (1.197-1.865 ล้านเยน) ที่ถูกกว่าอินไซท์ เมื่อคิดออกมาเป็นตัวเลขรายได้จริงๆ ผลคือ กำไรที่ฮอนด้าได้จากฟิตน้อยกว่าที่ได้รับจากอินไซท์
แน่นอนฮอนด้านำแนวคิดนี้มาใช้กับผลผลิตล่าสุดที่อย่าง CR-Z กลายเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่มากับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดย CR-Z เป็นคำย่อมาจาก Compact Renaissance Zero เปิดตัวในฐานะต้นแบบเมื่อปี 2007 และกลายมาเป็นรุ่นจำหน่ายจริงที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา แต่ทว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ได้ซื้อหามาขับ เพราะฮอนด้าเพิ่งส่งเวอร์ชัน JDM ลงขายในบ้านตัวเองเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดอเมริกายังต้องรอไปจนถึงปลายปีถึงจะเริ่มขาย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น USDM หรือ JDM รวมถึงเวอร์ชันยุโรปหรือ EUDM สปอร์ตรุ่นนี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายในเรื่องของรูปลักษณ์โดยรวม จะต่างกันแค่ฝั่งของพวงมาลัย และในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน เท่านั้น แต่รายละเอียดหลักๆ เหมือนกันหมด โดยสปอร์ตรุ่นนี้ถือเป็นผลผลิตที่มาจากแนวคิดของการเพิ่มมูลค่าแต่ต้นทุนเพิ่มไม่มากตามสไตล์ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น คือ เป็นการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับฟิต/แจ๊ซ และอินไซท์ แต่มีการหั่นระยะฐานล้อให้สั้นลงมาจากระดับ 2,500 มิลลิเมตรลงมาอยู่ที่ 2,435 มิลลิเมตร ขณะที่ระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังคล้ายกัน คือ แม็คเฟอร์สันสตรัท และทอร์ชันบีมแบบ H-Shape
ระบบไฮบริดที่นำมาใช้กับ CR-Z ถูกขยายขนาดเพื่อตอบรับกับรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างจากอินไซท์ โดยเป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเบนซิน 4 สูบ 1500 ซีซี. i-VTEC ที่มีกำลัง 113 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 14.7 กก.-ม. ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT และ 114 แรงม้ากับ 14.8 กก.-ม. ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 14 แรงม้า ระบบโดยรวมสามารถให้อัตราเร่งเทียบเท่ากับที่ได้จากเครื่องยนต์ 2000 ซีซี. แต่มีความประหยัดน้ำมันมากกว่าเยอะด้วยตัวเลข 25 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับรุ่น CVT และ 22.5 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา
นอกจากนั้น ฮอนด้ายังนำลูกเล่นระบบช่วยเหลือผู้ขับในด้านความประหยัดน้ำมันมาใช้กับ CR-Z โดยในตัวรถรุ่นนี้จะมีโหมดการขับให้เลือก 3 แบบ คือ Normal, Sport และ Econ เป็นการปรับระบบการทำงานของตัวรถทั้งในส่วนของลิ้นปีกผีเสื้อของเครื่องยนต์, พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า หรือระบบปรับอากาศให้สอดคล้องกับรูปแบบการขับ โดยผู้ขับสามารถเลือกใช้งานตามความต้องการ และในระหว่างการขับ จังหวะของการกดคันเร่งจะมีผลต่อสีบนตัวเลขความเร็วที่แสดงผลออกมาระหว่างประหยัด (สีเขียว) และสิ้นเปลือง (สีน้ำเงิน) เพื่อให้ผู้ขับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับของตัวเอง
สำหรับราคาที่ฮอนด้าเปิดออกมา ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะตั้งเอาไว้ที่ 2.268-2.498 ล้านเยน หรือ 793,000-874,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นรถสปอร์ตไฮบริดที่มีราคาถูกมาก และในตอนนี้ก็ยังไม่มีคู่แข่งแบบชัดเจนในตลาด โดยทางฮอนด้าตั้งเป้าการขายเอาไว้ที่ 1,000 คันต่อเดือนในตลาดญี่ปุ่น แต่แน่นอนว่าในเรื่องของภาพรวมแล้ว CR-Z จะต้องผนึกกำลังกับอินไซท์ในการพาฮอนด้าไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้คือ การทำยอดขายรถยนต์ไฮบริดรวมทั่วโลกให้อยู่ในระดับ 500,000 คันต่อปีภายในช่วงทศวรรษที่จะถึงนี้
ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น