หลังจากที่ มร.โอซามุ มาสุโกะ ประธานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาห กรรม ออกมาประกาศความร่วมมือที่จะมีการศึกษาและทดสอบการใช้งานรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มิตซูบิชิ ไอ-มีฟ ล่าสุดทาง บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประ เทศไทย ก็ได้จัดรถให้สื่อมวลชนไทยได้ทดลองขับกันด้วย
สำหรับรถไฟฟ้าโดยทั่ว ๆ ไปนั้นส่วนใหญ่จะนั่งได้แค่ 2 คน เพราะต้องเสียพื้นที่ห้องโดยสารให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่สำหรับไอ-มีฟนั้นทางมิตซูบิชิได้ร่วมมือกับ GS ยัวซ่าพัฒนาแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอ ออน ขนาด 330 โวลต์ รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลง จึงไม่เปลืองเนื้อที่ของห้องโดยสาร ทำให้ห้องโดยสารไอ-มีฟมีขนาดที่กว้างขวาง สามารถติดตั้งเบาะนั่งโดยสารได้ถึง 4 ที่นั่ง
ส่วนตัวถังของมิตซูบิชิ ไอ-มีฟนั้น
มิตซูบิชิเอามาจากรถยนต์รุ่นไอ ซึ่งเดิมจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 660 ซีซี 47 กิโลวัตต์ (64 แรงม้า) ที่ 6,000 รอบ/นาที กับแรงบิด 94 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ที่ติดตั้งในมิตซูบิชิ ไอ-มีฟนั้น ก็ให้กำลัง 47 กิโลวัตต์เช่นกัน แต่แรงบิดมีมากกว่าถึง 180 นิวตัน-เมตรหรือเกือบ ๆ 2 เท่าของไอ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของสมรรถนะ ในด้านความเร็วสูงสุดไอ-มีฟทำได้ถึง 130 กม./ชม. และมีระยะทางวิ่งได้ไกลสุดต่อการชาร์จไฟเต็มประมาณ 130-160 กม. แล้วแต่การใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ด้วย ส่วนแบตเตอรี่ 330 โวลต์ นั้นมีอายุการใช้งานถึง 10 ปี (หลังจากนั้นประสิทธิภาพในการเก็บไฟจะลดลงไม่ถึง 20%)
ในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เทียบกับไอ อัตราการกินน้ำมันของไอจะอยู่ที่ 18 กม./ลิตร คิดค่าใช้จ่ายก็ตกประมาณ กม.ละ 1.50-1.70 บาท ในขณะที่ไอ-มีฟจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่กม.ละ 0.60-0.90 บาท ส่วนเวลาในการชาร์จไฟนั้นแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ ชาร์จกับไฟขนาด 15 แอมป์/200 โวลต์ (แบบบ้านเรา) ใช้เวลา 5-7 ชม. ชาร์จกับไฟขนาด 15 แอมป์/100 โวลต์ (แบบญี่ปุ่น) ใช้เวลา 11-13 ชม. ถ้าชาร์จแบบเร็วกับระบบไฟแบบ 3 เฟส ขนาด 50 กิโลวัตต์/200 โวลต์ จะใช้เวลา 20-25 นาทีเท่านั้นซึ่งในญี่ปุ่นนั้นทางมิตซูบิชิได้ทำข้อตกลงกับการไฟฟ้า
ของญี่ปุ่นที่จะสร้างจุดชาร์จไฟแบบ 3 เฟส ไว้รองรับตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น จุดพักรถบนเส้นทางถนนหลวง หรือที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า
เท่าที่ได้ลองขับไอ-มีฟเป็นระยะทางสั้น ๆ พบว่าจุดเด่นของรถรุ่นนี้อยู่ที่ความกว้างขวาง ความเงียบ ความประหยัด และมีสมรรถนะที่ดีมาก โดยในช่วงที่ลองขับแม้จะมีผู้โดยสารไปด้วยถึง 4 คน แต่รถก็ยังทำอัตราเร่งออกตัวได้อย่างว่องไว การทรงตัวก็ทำได้มั่นคงดีในทางโค้ง เพราะตัวแบตเตอรี่ ชุดควบคุมและมอเตอร์ ถูกติดตั้งอยู่ที่ใต้เบาะนั่งค่อนไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ในตำแหน่งต่ำ ช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ใกล้กับพื้น แต่จุดที่ให้ความรู้สึกแปลกอยู่บ้างคือ เวลาถอนคันเร่งเพื่อชะลอความเร็ว รถจะไม่มีแรงเบรกจากเครื่องยนต์ มาช่วยชะลอความเร็วแบบรถที่ใช้เครื่องยนต์ นอกจากนี้ ไอ-มีฟยังไม่มีระบบเกียร์ส่งกำลังอีกด้วย ดังนั้นเมื่อต้องการชะลอความเร็วก็ต้องอาศัยการเบรกเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่มีปัญหากับระยะทางหรือความปลอดภัยในการเบรกรถแต่อย่างไร เป็นเพียงความรู้สึกไม่ คุ้นชินเท่านั้นเองครับ
สำหรับราคาค่าตัวของไอ-มีฟจะอยู่ประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งแพงเอาเรื่อง ถ้าจะเอาเข้ามาขายในบ้านเราจริง ๆ ก็คงต้องได้รับการสนับสนุนให้ราคาถูกลงกันกว่านี้ เพราะถ้าคิดกันแบบพื้น ๆ รถขนาดเดียวกับไอ-มีฟที่ขายอยู่ในบ้านเรานั้น ราคาจะอยู่ประมาณ 5 แสนบาท ซึ่งส่วนต่างของราคาที่ประมาณ 9 แสนบาทนั้น ถ้าเอาเงินมาเติมน้ำมันเดือนละ 5 พันบาท ก็สามารถเติมได้ถึง 15 ปีเลย พูดจากใจเลยนะว่า “โลกน่ะผมก็รัก แต่ตังค์มีไม่ถึงน่ะสิ”.
มิตซูบิชิ ไอ-มีฟ รถยนต์พลังงานบริสุทธิ์
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
ที่มา เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น