ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ซึ่งถือเป็นรถยนต์ขนาดกลางรุ่นสำคัญล่าสุดของฟอร์ด ที่ปฏิวัติวงการด้วยรูปโฉมเท่ มาดสปอร์ต พร้อมแนวการออกแบบเคเนอติกดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยพลังเคลื่อนไหวแม้ขณะหยุดนิ่ง ทันสมัยและประหยัดน้ำมัน ซึ่งการออกแบบที่ปราดเปรียวกว่าเดิม มาพร้อมช่องลมขนาด ใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่อยู่ด้านล่างของกันชนและกระจังหน้า ทำให้ด้านบนดูโดดเด่น เสริมความเท่ให้กับรุ่นสปอร์ต 5 ประตู โฉมใหม่ ด้วยกันชนด้านหน้าและฝาครอบไฟตัดหมอกใหม่ที่ออกแบบได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่ 3 อย่างที่ติดตั้งภายในรถที่ขึ้นชื่อในเรื่องของคุณภาพการขับขี่ ได้แก่ ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ได้รับการออกแบบให้ทำงานแบบอัตโนมัติขณะฝนตก โดยสามารถปรับ ระดับความเร็วและความถี่ของการปัดน้ำฝน ได้ตามความแรงของฝน, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ ที่ออกแบบมาเพื่อลดแสงสะท้อนจากไฟหน้าของรถที่ตามมาด้านหลังไม่ให้เข้าตาผู้ขับขี่
ฟอร์ด โฟกัสใหม่มาพร้อม 3 ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่มีการเผาผลาญอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเสนอทั้งเครื่องยนต์สำหรับน้ำมัน 2 ประเภท คือ เครื่องยนต์ ดูราเทค 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.8 ลิตร และ 1.4 ลิตร ที่ใช้ได้กับน้ำมันอี 20 พร้อมระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบ 4 จังหวะ และเครื่องยนต์ดูราทอร์ค TDCi ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พาวเวอร์ชิฟท์
โฟกัส ใหม่ได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ โดยมีอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตร ฐานมากมาย ทั้งการป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุและการปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงห้องโดยสารที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และถุงลมนิรภัยคู่หน้าซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบความปลอดภัยอัจฉริยะในรุ่นเกียและสปอร์ต
ส่วนโฟกัสที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล TDCi เกียร์อัตโนมัติพาว เวอร์ชิฟท์ จะได้รับการติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมการทรงตัวของรถได้อย่างดีในทุก สภาพการขับขี่
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระซ้ายขวา พร้อมช่องระบายอากาศสำหรับ ผู้โดยสารตอนหลัง เบาะนั่งผู้ขับที่ปรับเปลี่ยนได้ด้วยระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่อกับช่องสัญญาณของอุปกรณ์เสริม (AUX) และการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นเอ็มพี 3 กับระบบเครื่องเสียงภายในรถ นอกจากนั้นแล้วยังมีเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง กระจกไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบทั้ง 4 บาน กระจกมองข้างไฟฟ้าเก็บพับได้อัตโนมัติ และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตร ฐานในรถฟอร์ด โฟกัสใหม่ทุกรุ่นและมีให้เลือก 6 เฉดสี.
ลำยอง ปกป้อง
ที่มา dailynews
31 ตุลาคม 2553
26 ตุลาคม 2553
Proton Inspira ปฏิบัติการแปลงโฉม Lancer
โปรตอนกับมิตซูบิชิยังแยกจากกันไม่ขาด เพราะล่าสุดแบรนด์ดังของมาเลเซียเตรียมเผยโฉมรถยนต์คอมแพ็กต์ หรือ C-Car รุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อขายในมาเลเซียเดือนพฤศจิกายนนี้โดยใช้ชื่อว่า Inspira ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่ไม่ใหม่ถึงกับกล่อง เพราะงานนี้คือ การดัดแปลงจากรถยนต์ของมิตซูบิชิรุ่นแลนเซอร์ หรือแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ในบ้านเรา
งานนี้เป็นการเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น Waja ซึ่งขายมาตั้งแต่ปี 2000 และคำว่า Inspira เป็นการดัดแปลงมาจากภาษามาเลเซียที่ว่า Inspirasi ซึ่งหมายถึง Inspiration ในภาษาอังกฤษ โดยรถยนต์รุ่นนี้มีรหัสโครงการพัฒนาที่รู้จักกันในโปรตอนว่า P3-90A
จากภาพที่มีการเปิดเผยจะเห็นถึงความคล้ายคลึงกับแลนเซอร์รุ่นปัจจุบันอย่างมาก โดยทางโปรตอนจัดตั้งบู๊ธรับจอง พร้อมกับเผยหน้าตาออกมาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น โดยที่ด้านหลัง หรือรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา
แต่จากการเปิดเผยในเว็บไซต์ของมาเลเซียเองระบุว่า ทุกอย่างจะแชร์พื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ ซึ่งก็รวมถึงเครื่องยนต์ 4B10 และ 4B11 ซึ่งเป็นแบบ 4 สูบ 1,800 และ 2,000 ซีซี โดยจะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT แบบมี Paddle Shift ให้เลือกใช้งาน พร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน เช่น ครูสคอนโทรล, ที่ปัดน้ำมันอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ โดยจะมีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) จำนวน 26% ก่อนจะเพิ่มเป็น 40% ในปีหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ 65% หลังจากเปิดตัวขายในประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี
สำหรับราคาตั้งเอาไว้ที่ 79,888 ริงกิต หรือประมาณ 798,880 บาท หรือถูกกว่ารุ่นพื้นฐานของมาสด้า 3 ซึ่งเป็นคู่ปรับร่วมๆ 30,000 ริงกิต หรือ 300,000 บาทเลยทีเดียว (แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะว่ามาสด้า 3 ในมาเลเซียเป็นรุ่นใหม่แบบโมเดลเชนจ์แล้ว) โดยหลังจากที่ทำ Road Show แล้วมีการเปิดเผยว่า โปรตอนมาเลเซียรับจองไปแล้ว 1,100 คัน
Proton Inspira ปฏิบัติการแปลงโฉม Lancer
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
งานนี้เป็นการเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น Waja ซึ่งขายมาตั้งแต่ปี 2000 และคำว่า Inspira เป็นการดัดแปลงมาจากภาษามาเลเซียที่ว่า Inspirasi ซึ่งหมายถึง Inspiration ในภาษาอังกฤษ โดยรถยนต์รุ่นนี้มีรหัสโครงการพัฒนาที่รู้จักกันในโปรตอนว่า P3-90A
จากภาพที่มีการเปิดเผยจะเห็นถึงความคล้ายคลึงกับแลนเซอร์รุ่นปัจจุบันอย่างมาก โดยทางโปรตอนจัดตั้งบู๊ธรับจอง พร้อมกับเผยหน้าตาออกมาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น โดยที่ด้านหลัง หรือรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา
แต่จากการเปิดเผยในเว็บไซต์ของมาเลเซียเองระบุว่า ทุกอย่างจะแชร์พื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ ซึ่งก็รวมถึงเครื่องยนต์ 4B10 และ 4B11 ซึ่งเป็นแบบ 4 สูบ 1,800 และ 2,000 ซีซี โดยจะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT แบบมี Paddle Shift ให้เลือกใช้งาน พร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน เช่น ครูสคอนโทรล, ที่ปัดน้ำมันอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ โดยจะมีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) จำนวน 26% ก่อนจะเพิ่มเป็น 40% ในปีหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ 65% หลังจากเปิดตัวขายในประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี
สำหรับราคาตั้งเอาไว้ที่ 79,888 ริงกิต หรือประมาณ 798,880 บาท หรือถูกกว่ารุ่นพื้นฐานของมาสด้า 3 ซึ่งเป็นคู่ปรับร่วมๆ 30,000 ริงกิต หรือ 300,000 บาทเลยทีเดียว (แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะว่ามาสด้า 3 ในมาเลเซียเป็นรุ่นใหม่แบบโมเดลเชนจ์แล้ว) โดยหลังจากที่ทำ Road Show แล้วมีการเปิดเผยว่า โปรตอนมาเลเซียรับจองไปแล้ว 1,100 คัน
Proton Inspira ปฏิบัติการแปลงโฉม Lancer
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
25 ตุลาคม 2553
Nissan Elgrand เพื่อครอบครัวสุดรัก
ฝุ่นตลบทีเดียวครับ สำหรับการขับเคี่ยวของบรรดาเกรย์มาร์เก็ต ซึ่งแต่ละค่ายพยายามทำตลาด โหมประชาสัมพันธ์กันอย่างหนัก โดยหวังขึ้นแท่นอันดับหนึ่งแทนการล่มสลายของเจ้าพ่อ เอส.อี.ซี. ไม่ว่าจะชูเรื่องโปรดักต์ใหม่ที่นำเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมยืนยันการส่งมอบรถอย่างถูกต้องและบริการหลังการขายที่จัดการได้แน่นอน ขณะเดียวกันในช่วงค่าเงินบาทแข็งเป้ก ยิ่งส่งผลให้การนำเข้าคึกคักเป็นทวีคูณ
อย่างเดือนกันยายนที่ผ่านมา จะเห็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวการเปิดตัว “นิสสัน เอลแกรนด์ โฉมใหม่” (All New Nissan Elgrand) เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งรถประเภทนี้ได้การตอบรับจากลูกค้า(ไฮโซ) พร้อมยอดขายเป็นกอบเป็นกำไม่แพ้พวกรถสปอร์ต (จริงๆน่าจะขายดีกว่าด้วยซ้ำในตลาดเกรย์มาร์เก็ต) จึงเป็นผลทางจิตวิทยาที่สามารถนำไปต่อยอดทางการตลาดได้ระดับหนึ่ง
แม้หลายค่ายเปิดตัวพร้อมๆกัน แต่บังเอิญทีมงานของ “โปรเฟสชันแนล มีเดีย บิสซิเนส” (PMB) บริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ของเกรย์มาร์เก็ตไฟแรง TSLทำงานรวดเร็วทันใจ กริ๊งกร๊างหา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ให้รีบนำรถมาลองขับ หลังเพิ่งลงเรือจากญี่ปุ่นมาถึงไทยแบบสดๆร้อน
สำหรับ “เอลแกรนด์ ใหม่” TSL นำเข้ารุ่น “ไฮเวย์ สตาร์” (Highway Star) ด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย กระจังหน้ากว้างใหญ่ พร้อมเส้นสายคาดไฟหน้าแบ่งเป็นสองชั้น ด้านกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ฝังเบ้ารับไฟตัดหมอกดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตา (น้อยกว่านี้ก็แพ้ โตโยต้า อัลพาร์ด/เวลไฟร์) ขณะที่การออกแบบด้านหลังยึดสไตล์“เอลแกรนด์ รุ่นเดิม” ด้วยการจัดวางแผงไฟคาดแนวขวาง และแยกส่วนไฟถอย-ไฟเลี้ยวไว้ต่างหาก หวังเอาใจลูกค้าเก่าเต็มที่
ตัวถังโดยรวมใหญ่ขึ้นทุกมิติ กับความยาว4,915 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,815มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตรเป็น 3,000 มิลลิเมตร นอกจากนี้นิสสันยังพยายามออกแบบรถให้เตี้ย หรือGround Clearance ต่ำแค่ 150 มิลลิเมตร เพื่อการทรงตัวที่ดีเยี่ยม และอำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลง สูงสุด
ภายในกว้างขวางพร้อมเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถวสองเป็นแบบ Captain Seat 2 ที่นั่ง ขณะที่เบาะแถวสามสามารถพับเก็บให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสาร ช่วยเพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนสำภาระได้เป็นอย่างดี ด้านระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมระบบกรองอากาศ Plasma Cluster โดยแยกช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง และปรับอุณหภูมิ รวมถึงแรงพัดลมได้ตามสะดวก
ด้านออปชันความปลอดภัยจัดให้ทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกABSระบบกระจายแรงเบรกEBDระบบเสริมแรงเบรกBA และระบบความคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
สำหรับ “เอลแกรนด์ โฉมใหม่” ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ยังคงเครื่องยนต์เบนซินรหัสVQ35DE ขนาด 3.5 ลิตรเอาไว้ ส่วนขนาด 2.5 ลิตร หันมาคบกับบล็อก QR25DE (เดิมเป็น VQ25DE ขับเคลื่อนล้อหลัง) เพื่อเปลี่ยนมาขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ซึ่งเป็นรุ่นที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองขับ
...สมรรถนะการขับขี่ พร้อมผู้โดยสารอีก 1 คน ต้องบอกว่า “เอลแกรนด์ ใหม่” เป็นรถขับสบายครับ เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT 6 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อหน้านุ่มเรียบ แต่ละจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่รู้สึกถึงรอยกระตุก
ช่วงออกตัวหรือตีนต้นรถตอบสนองดี การบังคับพวงมาลัยแรคแอนพิเนี่ยนแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าทำได้เชื่องมือ และน้ำหนักไม่เบาเหมือนพวงมาลัยไฟฟ้าที่ใช้ในเก๋งเล็กหลายๆรุ่น ส่งผลให้การขับในเมือง จราจรหนาแน่นควบคุมแม่นยำ พร้อมจังเหวาะเติมคันเร่ง สอดประสานให้รถคล่องตัวกระฉับกระเฉง
อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ช่วงความเร็ว 40-60 กม./ชม. แล้วต้องการเรียกความเร็วไปถึง 100-120 กม./ชม. พละกำลังอาจมาช้าหรือต้องการจังหวะคิกดาว์ต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ซึ่งเป็นการเซ็ทของวิศวกรที่ต้องการให้เป็นรถครอบครัวบุคคลิกนุ่มนิ่งไม่พุ่งพล่านมากเกินจำเป็น เช่นเดียวกับลักษณะการเบรกที่เซ็ทมายอดเยี่ยม ไม่มีลูกหัวทิ่มหัวตำให้เวียนหัว
อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ช่วงความเร็ว 40-60 กม./ชม. แล้วต้องการเรียกความเร็วไปถึง 100-120 กม./ชม. พละกำลังอาจมาช้าหรือต้องการจังหวะคิกดาว์ต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ซึ่งเป็นการเซ็ทของวิศวกรที่ต้องการให้เป็นรถครอบครัวบุคคลิกนุ่มนิ่งไม่พุ่งพล่านมากเกินจำเป็น เช่นเดียวกับลักษณะการเบรกที่เซ็ทมายอดเยี่ยม ไม่มีลูกหัวทิ่มหัวตำให้เวียนหัว
ช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท ปีกนกสองชั้นพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง เซ็ทไว้ค่อนข้างนุ่ม ขับความเร็วสูงรับรู้ถึงอาการคลอน ยิ่งช่วงเข้าโค้งความเร็วแค่ 80-90 กม./ชม. ก็รับรู้ถึงอาการโยกโยนแล้ว แต่อย่างที่บอกครับ การลองขับครั้งนี้ไปกันแค่ 2 คน ซึ่งถ้าเป็นตามเป้าประสงค์ของรถครอบครัว นั่งกันไปสัก 4-5 คนหรือเต็มคันรถ น้ำหนักกับช่วงล่างน่าจะลงตัวพอดี
ในส่วนของทัศนวิสัยการขับขี่ชัดเจน กระจกหน้า กระจกมองข้างบานโต ตำแหน่งคนขับสูงมองได้กว้างไกล แต่แปลกใจนิดเดียวที่ไม่มีกล้องส่องถอยหลังมาให้(อาจจะเป็นออปชันต้องเพิ่มเงิน) ด้านการเก็บเสียงในห้องโดยสารถือว่าสอบผ่าน ทั้งเสียงลมปะทะ เสียงเครื่องยนต์ เสียงยางโยโกฮามาขนาด225/55R18บดพื้นถนน เล็ดลอดเข้ามาน้อยมาก
หลังจากลองขับได้สักระยะ ผู้เขียนผันตัวเองมาเป็นผู้โดยสารด้านหลังบ้าง และแน่นอนว่าเล็งไปที่เบาะนั่งแถวสอง แบบCaptain Seat และแม้จะหุ้มวัสดุแบบผ้าแต่ก็บุดี คนตัวใหญ่ยังนั่งสบาย พร้อมรองรับแรงสะท้านจากพื้นถนนได้เยี่ยม อย่างไรก็ตามขอติตรงที่วางแขนเล็กสั้นไปนิด วางได้ไม่เต็มไม้เต็มมือ
ส่วนการปรับทิศทางเบาะนั่ง ใช้มือโยกหรืองัด (แล้วแต่ว่าจะจัดท่าอย่างไร) จัดการได้ง่ายไม่ต้องออกแรงเยอะ ขณะที่การขึ้นลงสะดวกคล่องแคล่วจากพื้นรถที่ต่ำ และประตูไฟฟ้าแบบ One-Touch เปิดได้ 2 ด้านซ้าย-ขวา แน่นอนว่า โดนใจ เด็ก สตรี คนชรา รวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย
ส่วนเบาะนั่งแถวสามสามารถอัดได้ 3 คนจริงๆ โดยไม่อึดอัดมาก แต่กระนั้นถ้าไม่มีคนนั่ง สามารถพับให้ราบเรียบกับพื้นห้องโดยสารเพิ่มความอเนกประสงค์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตัด(สิน)ใจ ไม่ให้ยางอะไหล่ และเลือกใช้ชุดซ่อมยาง Tire Fit แทน
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย บริษัทผู้ผลิต เคลมไว้ 10-11 กม./ลิตร ส่วนการขับจริงวิ่งทางไกล และรถติดในเมือง หน้าจอดิจิตอลปรากฎตัวเลข 8.5-9.0 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...TSL ตั้งราคาขาย “นิสสัน เอลแกรนด์ โฉมใหม่” 3.39 ล้านบาท (ราคาเท่าอัลพาร์ดรุ่นล่างที่โตโยต้านำเข้ามาทำตลาดเอง) ซึ่งใครเคยประทับใจกับรถอเนกประสงค์ขวัญใจมหาชนญี่ปุ่นมาก่อนหน้าแล้ว เชื่อว่าถ้าได้ลองขับ สัมผัส นั่ง โมเดลเชนจ์รุ่นนี้ จะทำให้คุณควักเงิน เพื่อแลกกับความอบอุ่นในครอบครัวได้ไม่ยาก
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
อย่างเดือนกันยายนที่ผ่านมา จะเห็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวการเปิดตัว “นิสสัน เอลแกรนด์ โฉมใหม่” (All New Nissan Elgrand) เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งรถประเภทนี้ได้การตอบรับจากลูกค้า(ไฮโซ) พร้อมยอดขายเป็นกอบเป็นกำไม่แพ้พวกรถสปอร์ต (จริงๆน่าจะขายดีกว่าด้วยซ้ำในตลาดเกรย์มาร์เก็ต) จึงเป็นผลทางจิตวิทยาที่สามารถนำไปต่อยอดทางการตลาดได้ระดับหนึ่ง
แม้หลายค่ายเปิดตัวพร้อมๆกัน แต่บังเอิญทีมงานของ “โปรเฟสชันแนล มีเดีย บิสซิเนส” (PMB) บริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ของเกรย์มาร์เก็ตไฟแรง TSLทำงานรวดเร็วทันใจ กริ๊งกร๊างหา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ให้รีบนำรถมาลองขับ หลังเพิ่งลงเรือจากญี่ปุ่นมาถึงไทยแบบสดๆร้อน
สำหรับ “เอลแกรนด์ ใหม่” TSL นำเข้ารุ่น “ไฮเวย์ สตาร์” (Highway Star) ด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย กระจังหน้ากว้างใหญ่ พร้อมเส้นสายคาดไฟหน้าแบ่งเป็นสองชั้น ด้านกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ฝังเบ้ารับไฟตัดหมอกดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตา (น้อยกว่านี้ก็แพ้ โตโยต้า อัลพาร์ด/เวลไฟร์) ขณะที่การออกแบบด้านหลังยึดสไตล์“เอลแกรนด์ รุ่นเดิม” ด้วยการจัดวางแผงไฟคาดแนวขวาง และแยกส่วนไฟถอย-ไฟเลี้ยวไว้ต่างหาก หวังเอาใจลูกค้าเก่าเต็มที่
ตัวถังโดยรวมใหญ่ขึ้นทุกมิติ กับความยาว4,915 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,815มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตรเป็น 3,000 มิลลิเมตร นอกจากนี้นิสสันยังพยายามออกแบบรถให้เตี้ย หรือGround Clearance ต่ำแค่ 150 มิลลิเมตร เพื่อการทรงตัวที่ดีเยี่ยม และอำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลง สูงสุด
ภายในกว้างขวางพร้อมเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถวสองเป็นแบบ Captain Seat 2 ที่นั่ง ขณะที่เบาะแถวสามสามารถพับเก็บให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสาร ช่วยเพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนสำภาระได้เป็นอย่างดี ด้านระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมระบบกรองอากาศ Plasma Cluster โดยแยกช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง และปรับอุณหภูมิ รวมถึงแรงพัดลมได้ตามสะดวก
ด้านออปชันความปลอดภัยจัดให้ทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกABSระบบกระจายแรงเบรกEBDระบบเสริมแรงเบรกBA และระบบความคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
สำหรับ “เอลแกรนด์ โฉมใหม่” ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ยังคงเครื่องยนต์เบนซินรหัสVQ35DE ขนาด 3.5 ลิตรเอาไว้ ส่วนขนาด 2.5 ลิตร หันมาคบกับบล็อก QR25DE (เดิมเป็น VQ25DE ขับเคลื่อนล้อหลัง) เพื่อเปลี่ยนมาขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ซึ่งเป็นรุ่นที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองขับ
...สมรรถนะการขับขี่ พร้อมผู้โดยสารอีก 1 คน ต้องบอกว่า “เอลแกรนด์ ใหม่” เป็นรถขับสบายครับ เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT 6 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อหน้านุ่มเรียบ แต่ละจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่รู้สึกถึงรอยกระตุก
ช่วงออกตัวหรือตีนต้นรถตอบสนองดี การบังคับพวงมาลัยแรคแอนพิเนี่ยนแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าทำได้เชื่องมือ และน้ำหนักไม่เบาเหมือนพวงมาลัยไฟฟ้าที่ใช้ในเก๋งเล็กหลายๆรุ่น ส่งผลให้การขับในเมือง จราจรหนาแน่นควบคุมแม่นยำ พร้อมจังเหวาะเติมคันเร่ง สอดประสานให้รถคล่องตัวกระฉับกระเฉง
อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ช่วงความเร็ว 40-60 กม./ชม. แล้วต้องการเรียกความเร็วไปถึง 100-120 กม./ชม. พละกำลังอาจมาช้าหรือต้องการจังหวะคิกดาว์ต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ซึ่งเป็นการเซ็ทของวิศวกรที่ต้องการให้เป็นรถครอบครัวบุคคลิกนุ่มนิ่งไม่พุ่งพล่านมากเกินจำเป็น เช่นเดียวกับลักษณะการเบรกที่เซ็ทมายอดเยี่ยม ไม่มีลูกหัวทิ่มหัวตำให้เวียนหัว
อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ช่วงความเร็ว 40-60 กม./ชม. แล้วต้องการเรียกความเร็วไปถึง 100-120 กม./ชม. พละกำลังอาจมาช้าหรือต้องการจังหวะคิกดาว์ต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ซึ่งเป็นการเซ็ทของวิศวกรที่ต้องการให้เป็นรถครอบครัวบุคคลิกนุ่มนิ่งไม่พุ่งพล่านมากเกินจำเป็น เช่นเดียวกับลักษณะการเบรกที่เซ็ทมายอดเยี่ยม ไม่มีลูกหัวทิ่มหัวตำให้เวียนหัว
ช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท ปีกนกสองชั้นพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง เซ็ทไว้ค่อนข้างนุ่ม ขับความเร็วสูงรับรู้ถึงอาการคลอน ยิ่งช่วงเข้าโค้งความเร็วแค่ 80-90 กม./ชม. ก็รับรู้ถึงอาการโยกโยนแล้ว แต่อย่างที่บอกครับ การลองขับครั้งนี้ไปกันแค่ 2 คน ซึ่งถ้าเป็นตามเป้าประสงค์ของรถครอบครัว นั่งกันไปสัก 4-5 คนหรือเต็มคันรถ น้ำหนักกับช่วงล่างน่าจะลงตัวพอดี
ในส่วนของทัศนวิสัยการขับขี่ชัดเจน กระจกหน้า กระจกมองข้างบานโต ตำแหน่งคนขับสูงมองได้กว้างไกล แต่แปลกใจนิดเดียวที่ไม่มีกล้องส่องถอยหลังมาให้(อาจจะเป็นออปชันต้องเพิ่มเงิน) ด้านการเก็บเสียงในห้องโดยสารถือว่าสอบผ่าน ทั้งเสียงลมปะทะ เสียงเครื่องยนต์ เสียงยางโยโกฮามาขนาด225/55R18บดพื้นถนน เล็ดลอดเข้ามาน้อยมาก
หลังจากลองขับได้สักระยะ ผู้เขียนผันตัวเองมาเป็นผู้โดยสารด้านหลังบ้าง และแน่นอนว่าเล็งไปที่เบาะนั่งแถวสอง แบบCaptain Seat และแม้จะหุ้มวัสดุแบบผ้าแต่ก็บุดี คนตัวใหญ่ยังนั่งสบาย พร้อมรองรับแรงสะท้านจากพื้นถนนได้เยี่ยม อย่างไรก็ตามขอติตรงที่วางแขนเล็กสั้นไปนิด วางได้ไม่เต็มไม้เต็มมือ
ส่วนการปรับทิศทางเบาะนั่ง ใช้มือโยกหรืองัด (แล้วแต่ว่าจะจัดท่าอย่างไร) จัดการได้ง่ายไม่ต้องออกแรงเยอะ ขณะที่การขึ้นลงสะดวกคล่องแคล่วจากพื้นรถที่ต่ำ และประตูไฟฟ้าแบบ One-Touch เปิดได้ 2 ด้านซ้าย-ขวา แน่นอนว่า โดนใจ เด็ก สตรี คนชรา รวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย
ส่วนเบาะนั่งแถวสามสามารถอัดได้ 3 คนจริงๆ โดยไม่อึดอัดมาก แต่กระนั้นถ้าไม่มีคนนั่ง สามารถพับให้ราบเรียบกับพื้นห้องโดยสารเพิ่มความอเนกประสงค์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตัด(สิน)ใจ ไม่ให้ยางอะไหล่ และเลือกใช้ชุดซ่อมยาง Tire Fit แทน
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย บริษัทผู้ผลิต เคลมไว้ 10-11 กม./ลิตร ส่วนการขับจริงวิ่งทางไกล และรถติดในเมือง หน้าจอดิจิตอลปรากฎตัวเลข 8.5-9.0 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...TSL ตั้งราคาขาย “นิสสัน เอลแกรนด์ โฉมใหม่” 3.39 ล้านบาท (ราคาเท่าอัลพาร์ดรุ่นล่างที่โตโยต้านำเข้ามาทำตลาดเอง) ซึ่งใครเคยประทับใจกับรถอเนกประสงค์ขวัญใจมหาชนญี่ปุ่นมาก่อนหน้าแล้ว เชื่อว่าถ้าได้ลองขับ สัมผัส นั่ง โมเดลเชนจ์รุ่นนี้ จะทำให้คุณควักเงิน เพื่อแลกกับความอบอุ่นในครอบครัวได้ไม่ยาก
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
24 ตุลาคม 2553
Smart ForTwo Hello Kitty เล็กกระทัดรัดสดใจเอาใจคนคิขุ เจาะตลาดวัยใสใน US
เราเคยเห็นรถ Ferrari แต่งด้วยภาพ Hello Kitty ไปแล้ว แต่นั้นคือการแต่งโดยเจ้าของรถตามที่ AutoSpinn เคยนำมาให้ชมเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ล่าสุด Smart ไอเดียกระฉูดจับมือกับ Sanrio Inc. เจ้าของลิขสิทธิ์แมวน้อยคิตตี้ในอเมริกา ปล่อย ForTwo Hello Kitty ออกมาสร้างความน่ารักเอาใจคนชอบความสดใสใจคิขุโดยทำมีการตลาดผ่าน Pense Automotive บริษัทขายปลีกรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา
Smart ForTwo Hello Kitty มีหลายแบบให้เลือก โดยการเป็นหุ้มทั้งคัน(Full Wrap) หรือหุ้มด้วย Hello Kitty ในบางส่วน(Partial Wrap) ตามภาพที่นำมาประกอบ Hello Kitty
ดูเหมาะและเข้ากันได้ดีกับรถเล็กๆอย่าง ForTwo แต่ถ้าจับ Ferrari มาแต่งด้วย Hello Kitty ก็คงดูไม่จืดและอาจจะเสียของมากกว่าที่จะทำให้ดูดีขึ้นมา
ที่มา: Smart,autospinn
Smart ForTwo Hello Kitty มีหลายแบบให้เลือก โดยการเป็นหุ้มทั้งคัน(Full Wrap) หรือหุ้มด้วย Hello Kitty ในบางส่วน(Partial Wrap) ตามภาพที่นำมาประกอบ Hello Kitty
ดูเหมาะและเข้ากันได้ดีกับรถเล็กๆอย่าง ForTwo แต่ถ้าจับ Ferrari มาแต่งด้วย Hello Kitty ก็คงดูไม่จืดและอาจจะเสียของมากกว่าที่จะทำให้ดูดีขึ้นมา
ที่มา: Smart,autospinn
วอลโว่ เอส 60 ยานยนต์อัจฉริยะ
การพัฒนารถยนต์ซีดานระดับหรูของวอลโว่ไม่เคยหยุดนิ่ง ล่าสุดได้นำเสนอ วอลโว่ เอส 60 “วอลโว่ที่แสนซน” รถยนต์นั่งขับสนุกที่มาพร้อมนวัตกรรมความปลอดภัยใหม่ล่าสุดครั้งแรกของโลก ระบบตรวจจับคนเดินถนน พร้อมระบบเบรกแบบเต็มแรงเบรก ซึ่งสามารถตรวจจับได้ว่าในกรณีที่มีคนเดินถนนกำลังเดินเข้ามาตัดผ่านหน้ารถในรัศมีที่กำหนด รถจะหยุดอัตโนมัติ ถ้าคนขับไม่เบรกอย่างทันท่วงที
พร้อมกันนั้นยังมีระบบควบคุมความ เร็วรถแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นหยุดและออกตัวอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้าช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าในทุกระดับความเร็วจนถึงระดับ 200 กม./ชม. ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถที่ได้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยติดกล้องดิจิทัลไว้ใต้กระจกมองข้าง หากมียานพาหนะเข้ามาในโซนจุดบอด ระบบจะแจ้งเตือน
หน้าตาภายนอกของเอส 60 เป็นรถซีดาน 4 ประตูที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรถสปอร์ต คูเป้ ด้วยโครงสร้างและการออกแบบที่ลื่นไหลและต่อเนื่องสื่อถึงพลังแห่งการพุ่งทะยาน ด้านหน้าออกแบบให้รถเตี้ยลงและเพรียวลมมากขึ้น กระจังหน้าใหม่เน้นดีไซน์รูปตัววี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวอลโว่ สะดุดตาด้วยไฟดีเอ็นเอข้าง กระจังหน้า ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่
ภายในห้องโดยสารหรู ประณีต กว้างขวาง นั่งสบายสำหรับผู้โดยสารทั้ง 5 ที่นั่ง ระบบติดต่อสื่อสารและสำหรับสั่งการใช้งานง่ายให้ความสะดวกสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี รีดพลังได้สูงสุด 203 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-4,000 รอบ/นาที หรู เท่ สปอร์ต วอลโว่เคาะราคาไว้ที่คันละ 2.99 ล้านบาท.
ที่มา dailynews
พร้อมกันนั้นยังมีระบบควบคุมความ เร็วรถแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นหยุดและออกตัวอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้าช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าในทุกระดับความเร็วจนถึงระดับ 200 กม./ชม. ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถที่ได้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยติดกล้องดิจิทัลไว้ใต้กระจกมองข้าง หากมียานพาหนะเข้ามาในโซนจุดบอด ระบบจะแจ้งเตือน
หน้าตาภายนอกของเอส 60 เป็นรถซีดาน 4 ประตูที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรถสปอร์ต คูเป้ ด้วยโครงสร้างและการออกแบบที่ลื่นไหลและต่อเนื่องสื่อถึงพลังแห่งการพุ่งทะยาน ด้านหน้าออกแบบให้รถเตี้ยลงและเพรียวลมมากขึ้น กระจังหน้าใหม่เน้นดีไซน์รูปตัววี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวอลโว่ สะดุดตาด้วยไฟดีเอ็นเอข้าง กระจังหน้า ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่
ภายในห้องโดยสารหรู ประณีต กว้างขวาง นั่งสบายสำหรับผู้โดยสารทั้ง 5 ที่นั่ง ระบบติดต่อสื่อสารและสำหรับสั่งการใช้งานง่ายให้ความสะดวกสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี รีดพลังได้สูงสุด 203 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-4,000 รอบ/นาที หรู เท่ สปอร์ต วอลโว่เคาะราคาไว้ที่คันละ 2.99 ล้านบาท.
ที่มา dailynews
22 ตุลาคม 2553
Ford Focus ปี 2011 ไมเนอร์เชนจ์ ทั้งซีดานและแฮทช์แบ็ค ราคาเริ่มต้น 8.09 แสนบาท
ฟอร์ดประเทศไทย ไมเนอร์เชนจ์รถขนาดกลางรุ่นโฟกัส ตัดรุ่นล่างทิ้ง เพิ่มออพชั่นสุดไฮเทค ไฟหน้าและใบปัดน้ำฝนเปิด-ปิดอัตโนมัติ และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ตกแต่งภายนอก-ในใหม่ แยกกลุ่ม 4 ประตูแนวหรูหรา และ 5 ประตูแนวสปอร์ต
ฟอร์ด โฟกัส รถยนต์ขนาดกลางรุ่นสำคัญล่าสุดของฟอร์ด หลังจากทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2006 ไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 2 ครั้ง คราวนี้ก็ไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 3 เน้นภาพลักษณ์เท่ มาดสปอร์ตแบบยุโรป ด้วยแนวการออกแบบเคเนอติกดีไซน์ (kinetic design) ที่เป็นธีมการออกแบบของฟอร์ดทั่วโลก ทำตลาดโดยตัดรุ่นแอมเบี้ยน-รุ่นล่างสุดออกไป ทำให้โฟกัสใหม่ ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาอีกแล้ว พร้อมเพิ่มอุปกรณ์สุดทันสมัย มีราคาแต่ละรุ่นย่อยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง 1 หมื่นบาท
ภายนอกคงเอกลักษณ์ความสปอร์ตด้วยแนวการออกแบบ เคเนอติกดีไซน์ (kinetic design) เน้นแนวสปอร์ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น 5 ประตู เปลี่ยนช่องไฟตัดหมอกใหม่จากทรงคางหมูแนวนอนเป็นแนวตั้ง คิ้วกระจังหน้าจากโครเมียมเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับตัวรถ และนำเส้นโครเมียมที่ขอบช่องดักลมออก นอกจากนี้ ยังมี 3 อุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่คือที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ อยู่ในรุ่น 2.0 ทั้งเบนซินและดีเซล นับว่าคุ้มค่าเหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับตัวได้โดยง่ายเพื่อให้เข้ากับสภาพการจราจรที่เปลี่ยน แปลงบนท้องถนน และมีทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมขณะขับขี่ ทั้งกับผู้ขับขี่รถเองและผู้ขับขี่อื่นๆ ที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติได้รับการออกแบบให้ทำงานแบบอัตโนมัติขณะฝนตก โดยสามารถปรับระดับความเร็ว และความถี่ของการปัดน้ำฝนได้ตามปริมาณและความแรงของฝน เหมาะอย่างยิ่งกับการขับขี่ขณะฝนตกๆ หยุดๆ เป็นระยะ ส่วนกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัตินั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดแสงสะท้อน จากไฟหน้าของรถที่ตามมาด้านหลังไม่ให้เข้าตาผู้ขับขี่
คุณสาโรจน์ เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เพิ่มเติมนี้ ช่วยตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพที่ไว้วางใจได้ และทำให้รถยนต์ฟอร์ด โฟกัส เป็นรถที่ดุดัน ปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว โฟกัส โฉมใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของฟอร์ดในการรังสรรค์รถยนต์เพื่อผู้ บริโภคชาวไทย ด้วยคุณค่า และคุณภาพที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นของรถยนต์ระดับโลกอย่างฟอร์ด”
มาพร้อม 3 ทางเลือกเครื่องยนต์ คือ เบนซิน Duratec 4สูบขนาด1,800 และ 2,000 ซีซีที่สามารถใช้ได้กับน้ำมัน E20 พร้อมเกียร์อัตโนมัติ4 จังหวะและเครื่องยนต์ Duratorq TDCi ดีเซล ขนาด 2,000 ซีซีเกียร์อัตโนมัติ6 จังหวะ PowerShift คลัทช์คู่ และระบบ Sequential Sport Shift
ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะของฟอร์ด โฟกัสได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ ที่เรียกว่า ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ -the Intelligent Protection System โดยมีการป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ และการปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ ด้วยถุงลมนิรภัยคู่สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าอีกทั้งเบรกเอบีเอสและอีบีดีเป็น อุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น เพิ่มเติมในรุ่นดีเซลด้วยระบบควบคุมการทรงตัว Electronic Stability Program (ESP) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction control system(TCS)
เพื่อยกระดับความปลอดภัยโดยรวม ฟอร์ดได้พัฒนากระจกมองข้างด้านคนขับให้ใหญ่กว่าเดิม เพื่อวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น สำหรับในรุ่นเกียและสปอร์ต ก็ยังติดตั้งระบบสัญญาณเตือนขณะถอยหลังด้วย
ภายในแบ่งการตกแต่งเป็น 2 แบบ โดยรุ่น 5 ประตูใช้โทนสีเข้มเป็นหลักเน้นความสปอร์ต ส่วนรุ่น 4 ประตูใช้โทนสีเบจเป็นหลัก เน้นความหรูหรา ช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังพร้อมเบาะนั่งที่ปรับเปลี่ยนได้ด้วย ระบบไฟฟ้าฝั่งผู้ขับขี่ การเชื่อมต่อกับช่องสัญญานแบบ AUX และการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น MP3กับระบบเครื่องเสียงภายในรถ นอกจากนั้นแล้วยังมีเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง กระจกไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบทั้งสี่บาน กระจกมองข้างไฟฟ้าเก็บพับได้อัตโนมัติ และล้อแม็กขนาด 16 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในโฟกัส ใหม่ ทุกรุ่นอีกด้วย
ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีให้เลือกถึง 6 รุ่น โดยมีรุ่น 5 ประตู สปอร์ต เป็นตัวทำตลาด ตามด้วยรุ่นเกียที่เรียบหรู คลาสสิก โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
รุ่น 4 ประตูซีดาน
ฟิเนซ (Finesse)เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 809,000 บาท
เกีย (Ghia)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 929,000บาท
เกีย (Ghia)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเครื่องยนต์ TDCi เกียร์อัตโนมัติ PowerShift ราคา 1,159,000 บาท
รุ่น 5 ประตูแฮทแบ็ค
ฟิเนซ (Finesse)เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 819,000บาท
สปอร์ต (Sport)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 929,000บาท
สปอร์ต (Sport)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเครื่องยนต์ TDCi เกียร์อัตโนมัติ PowerShift ราคา 1,169,000 บาท
ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีขาว ไดมอนด์ ไวท์ สีดำ แพนเทอร์ แบล็ค สีเงิน มูนดัสต์ ซิลเวอร์ สีทอง ชิล สีน้ำเงิน โอเชียน บูล และสีฟ้า โทนิค พร้อมบริการหลังการขายที่ช่วยให้ลูกค้าฟอร์ดขับขี่ได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour roadside assistance) ทั่วประเทศ การบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะทุก 15,000 กิโลเมตร และระยะการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ที่มา: Ford , autospinn
ฟอร์ด โฟกัส รถยนต์ขนาดกลางรุ่นสำคัญล่าสุดของฟอร์ด หลังจากทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2006 ไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 2 ครั้ง คราวนี้ก็ไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 3 เน้นภาพลักษณ์เท่ มาดสปอร์ตแบบยุโรป ด้วยแนวการออกแบบเคเนอติกดีไซน์ (kinetic design) ที่เป็นธีมการออกแบบของฟอร์ดทั่วโลก ทำตลาดโดยตัดรุ่นแอมเบี้ยน-รุ่นล่างสุดออกไป ทำให้โฟกัสใหม่ ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาอีกแล้ว พร้อมเพิ่มอุปกรณ์สุดทันสมัย มีราคาแต่ละรุ่นย่อยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง 1 หมื่นบาท
ภายนอกคงเอกลักษณ์ความสปอร์ตด้วยแนวการออกแบบ เคเนอติกดีไซน์ (kinetic design) เน้นแนวสปอร์ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น 5 ประตู เปลี่ยนช่องไฟตัดหมอกใหม่จากทรงคางหมูแนวนอนเป็นแนวตั้ง คิ้วกระจังหน้าจากโครเมียมเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับตัวรถ และนำเส้นโครเมียมที่ขอบช่องดักลมออก นอกจากนี้ ยังมี 3 อุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่คือที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ อยู่ในรุ่น 2.0 ทั้งเบนซินและดีเซล นับว่าคุ้มค่าเหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับตัวได้โดยง่ายเพื่อให้เข้ากับสภาพการจราจรที่เปลี่ยน แปลงบนท้องถนน และมีทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมขณะขับขี่ ทั้งกับผู้ขับขี่รถเองและผู้ขับขี่อื่นๆ ที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติได้รับการออกแบบให้ทำงานแบบอัตโนมัติขณะฝนตก โดยสามารถปรับระดับความเร็ว และความถี่ของการปัดน้ำฝนได้ตามปริมาณและความแรงของฝน เหมาะอย่างยิ่งกับการขับขี่ขณะฝนตกๆ หยุดๆ เป็นระยะ ส่วนกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัตินั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดแสงสะท้อน จากไฟหน้าของรถที่ตามมาด้านหลังไม่ให้เข้าตาผู้ขับขี่
คุณสาโรจน์ เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เพิ่มเติมนี้ ช่วยตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพที่ไว้วางใจได้ และทำให้รถยนต์ฟอร์ด โฟกัส เป็นรถที่ดุดัน ปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว โฟกัส โฉมใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของฟอร์ดในการรังสรรค์รถยนต์เพื่อผู้ บริโภคชาวไทย ด้วยคุณค่า และคุณภาพที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นของรถยนต์ระดับโลกอย่างฟอร์ด”
มาพร้อม 3 ทางเลือกเครื่องยนต์ คือ เบนซิน Duratec 4สูบขนาด1,800 และ 2,000 ซีซีที่สามารถใช้ได้กับน้ำมัน E20 พร้อมเกียร์อัตโนมัติ4 จังหวะและเครื่องยนต์ Duratorq TDCi ดีเซล ขนาด 2,000 ซีซีเกียร์อัตโนมัติ6 จังหวะ PowerShift คลัทช์คู่ และระบบ Sequential Sport Shift
ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะของฟอร์ด โฟกัสได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ ที่เรียกว่า ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ -the Intelligent Protection System โดยมีการป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ และการปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ ด้วยถุงลมนิรภัยคู่สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าอีกทั้งเบรกเอบีเอสและอีบีดีเป็น อุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น เพิ่มเติมในรุ่นดีเซลด้วยระบบควบคุมการทรงตัว Electronic Stability Program (ESP) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction control system(TCS)
เพื่อยกระดับความปลอดภัยโดยรวม ฟอร์ดได้พัฒนากระจกมองข้างด้านคนขับให้ใหญ่กว่าเดิม เพื่อวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น สำหรับในรุ่นเกียและสปอร์ต ก็ยังติดตั้งระบบสัญญาณเตือนขณะถอยหลังด้วย
ภายในแบ่งการตกแต่งเป็น 2 แบบ โดยรุ่น 5 ประตูใช้โทนสีเข้มเป็นหลักเน้นความสปอร์ต ส่วนรุ่น 4 ประตูใช้โทนสีเบจเป็นหลัก เน้นความหรูหรา ช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังพร้อมเบาะนั่งที่ปรับเปลี่ยนได้ด้วย ระบบไฟฟ้าฝั่งผู้ขับขี่ การเชื่อมต่อกับช่องสัญญานแบบ AUX และการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น MP3กับระบบเครื่องเสียงภายในรถ นอกจากนั้นแล้วยังมีเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง กระจกไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบทั้งสี่บาน กระจกมองข้างไฟฟ้าเก็บพับได้อัตโนมัติ และล้อแม็กขนาด 16 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในโฟกัส ใหม่ ทุกรุ่นอีกด้วย
ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีให้เลือกถึง 6 รุ่น โดยมีรุ่น 5 ประตู สปอร์ต เป็นตัวทำตลาด ตามด้วยรุ่นเกียที่เรียบหรู คลาสสิก โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
รุ่น 4 ประตูซีดาน
ฟิเนซ (Finesse)เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 809,000 บาท
เกีย (Ghia)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 929,000บาท
เกีย (Ghia)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเครื่องยนต์ TDCi เกียร์อัตโนมัติ PowerShift ราคา 1,159,000 บาท
รุ่น 5 ประตูแฮทแบ็ค
ฟิเนซ (Finesse)เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 819,000บาท
สปอร์ต (Sport)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ ราคา 929,000บาท
สปอร์ต (Sport)เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเครื่องยนต์ TDCi เกียร์อัตโนมัติ PowerShift ราคา 1,169,000 บาท
ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีขาว ไดมอนด์ ไวท์ สีดำ แพนเทอร์ แบล็ค สีเงิน มูนดัสต์ ซิลเวอร์ สีทอง ชิล สีน้ำเงิน โอเชียน บูล และสีฟ้า โทนิค พร้อมบริการหลังการขายที่ช่วยให้ลูกค้าฟอร์ดขับขี่ได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour roadside assistance) ทั่วประเทศ การบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะทุก 15,000 กิโลเมตร และระยะการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ที่มา: Ford , autospinn
ทำทันที 4 ขั้นตอน...ดูแล“รถ”หลังน้ำท่วม
สาหัสทีเดียวสำหรับอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งความช่วยเหลือเฉพาะหน้าเริ่มทยอยลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนไทยทั่วประเทศ ต่างส่งแรงใจรวมถึงสิ่งของกำลังทรัพย์ หวังบรรเทาความเดือดร้อนได้ไม่มากก็น้อย
หลังน้ำลด ปัญหาหลายอย่างใช่ว่าจะไหลตามน้ำไป ร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สิน คงต้องใช้เวลาฟื้นฟู ในส่วนของรถยนต์ที่เป็นเหมือนเพื่อนตายของรัก ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยไว้นานพวกอุปกรณ์ทางเทคนิค และไม่ใช่เทคนิคก็มีโอกาสเน่า และทำให้ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมยาก
กรณีนี้ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ขอกล่าวถึงการดูแลรถยนต์ที่โดนน้ำท่วมห้องเครื่อง หรือสูงมิดคัน (เพราะถ้าต่ำกว่านั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก แต่ก็จำเป็นต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกเช่นกัน) ซึ่งเราได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลมาจากฝ่ายเทคนิคของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
1.พึงเอาไว้ว่าอย่าทำการสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจให้ไฟออนโดยเด็ดขาด จากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่งหรือจะปลดทั้ง ขั้วบวกขั้วลบก็ได้ (จริงๆถ้าคุณคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่องให้เตรียมปลดขั้วแบตเตอรี่ เอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีที่สุด) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ รวมถึงเครื่องยนต์
2.เปิดประตูออกทุกบาน ให้ลมโกรก หรือถ้ามีแดดให้จอดตากแดด จากนั้นถอดเบาะนั่ง พรม ผ้าต่างๆ ที่อยู่ภายในรถออกมาซักทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นาน ความเหม็นอับจะมาเยือน
3.เริ่มเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่พอจะทำได้เอง คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า โดยเฉพาะขั้วสายไฟภายในห้องเครื่อง ทั้งตัว ECUและ รีเรย์ต่างๆ จากนั้นฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น หรือใช้ไดร์เป่าผม เป่าให้แห้ง
4.ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ (ต้องรีบเอาน้ำออกจากระบบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันสนิมจับ) รวมถึงเปลี่ยนกรองอากาศ ซึ่งประเด็นนี้ใครทำเองได้ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการเร็วโอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้องและละเอียดมาก
...ทั้งหมดเป็นวิธีการดูแลเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้วรถโดนน้ำท่วมขนาดนี้ ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกทันที ซึ่งน่าจะดีกว่าถ้าเลือกใช้บริการจากรถยก และขอย้ำว่าห้ามสตาร์ทเครื่องโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามการที่รถสุดรักของคุณจะฟื้นกลับมาดีดั่งเดิมได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับเวลาที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือความสามารถในการนำกลับมาดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเภทของรถ กล่าวคือถ้ารถยิ่งมีระบบไฟฟ้าซับซ้อน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากตามไปด้วย
โดยฝ่ายเทคนิค โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บอกว่า ถ้ารถจมบาดาลอยู่ 1-2 วัน โอกาสแก้สภาพกลับมาเหมือนเดิมได้เกิน 90% แต่ถ้านานกว่านั้น ECUเข้าขั้นโคม่า ชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆจะโดนความชื้น สนิมเริ่มกิน รวมถึงขี้เกลือต่างๆเริ่มจับตัว ดังนั้นเปอร์เซ็นที่จะคืนสภาพก็จะลดลงตามวันเวลาที่แช่น้ำ
ในส่วนของราคาค่าซ่อม ขึ้นอยู่กับสภาพการและประเภทรถตามที่กล่าวไปข้างบน และน่าจะอยู่ระดับ 50,000-100,000 บาท (แต่ถ้าโอเวอร์ฮอล์เกินนี้แน่นอน) ซึ่งใครทำประกันภัยชั้นหนึ่ง หรือมีกรมธรรม์ครอบคลุมอุทกภัยเอาไว้น่าจะใจชื้นได้บ้าง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
หลังน้ำลด ปัญหาหลายอย่างใช่ว่าจะไหลตามน้ำไป ร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สิน คงต้องใช้เวลาฟื้นฟู ในส่วนของรถยนต์ที่เป็นเหมือนเพื่อนตายของรัก ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยไว้นานพวกอุปกรณ์ทางเทคนิค และไม่ใช่เทคนิคก็มีโอกาสเน่า และทำให้ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมยาก
กรณีนี้ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ขอกล่าวถึงการดูแลรถยนต์ที่โดนน้ำท่วมห้องเครื่อง หรือสูงมิดคัน (เพราะถ้าต่ำกว่านั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก แต่ก็จำเป็นต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกเช่นกัน) ซึ่งเราได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลมาจากฝ่ายเทคนิคของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
1.พึงเอาไว้ว่าอย่าทำการสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจให้ไฟออนโดยเด็ดขาด จากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่งหรือจะปลดทั้ง ขั้วบวกขั้วลบก็ได้ (จริงๆถ้าคุณคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่องให้เตรียมปลดขั้วแบตเตอรี่ เอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีที่สุด) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ รวมถึงเครื่องยนต์
2.เปิดประตูออกทุกบาน ให้ลมโกรก หรือถ้ามีแดดให้จอดตากแดด จากนั้นถอดเบาะนั่ง พรม ผ้าต่างๆ ที่อยู่ภายในรถออกมาซักทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นาน ความเหม็นอับจะมาเยือน
3.เริ่มเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่พอจะทำได้เอง คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า โดยเฉพาะขั้วสายไฟภายในห้องเครื่อง ทั้งตัว ECUและ รีเรย์ต่างๆ จากนั้นฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น หรือใช้ไดร์เป่าผม เป่าให้แห้ง
4.ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ (ต้องรีบเอาน้ำออกจากระบบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันสนิมจับ) รวมถึงเปลี่ยนกรองอากาศ ซึ่งประเด็นนี้ใครทำเองได้ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการเร็วโอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้องและละเอียดมาก
...ทั้งหมดเป็นวิธีการดูแลเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้วรถโดนน้ำท่วมขนาดนี้ ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกทันที ซึ่งน่าจะดีกว่าถ้าเลือกใช้บริการจากรถยก และขอย้ำว่าห้ามสตาร์ทเครื่องโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามการที่รถสุดรักของคุณจะฟื้นกลับมาดีดั่งเดิมได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับเวลาที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือความสามารถในการนำกลับมาดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเภทของรถ กล่าวคือถ้ารถยิ่งมีระบบไฟฟ้าซับซ้อน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากตามไปด้วย
โดยฝ่ายเทคนิค โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บอกว่า ถ้ารถจมบาดาลอยู่ 1-2 วัน โอกาสแก้สภาพกลับมาเหมือนเดิมได้เกิน 90% แต่ถ้านานกว่านั้น ECUเข้าขั้นโคม่า ชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆจะโดนความชื้น สนิมเริ่มกิน รวมถึงขี้เกลือต่างๆเริ่มจับตัว ดังนั้นเปอร์เซ็นที่จะคืนสภาพก็จะลดลงตามวันเวลาที่แช่น้ำ
ในส่วนของราคาค่าซ่อม ขึ้นอยู่กับสภาพการและประเภทรถตามที่กล่าวไปข้างบน และน่าจะอยู่ระดับ 50,000-100,000 บาท (แต่ถ้าโอเวอร์ฮอล์เกินนี้แน่นอน) ซึ่งใครทำประกันภัยชั้นหนึ่ง หรือมีกรมธรรม์ครอบคลุมอุทกภัยเอาไว้น่าจะใจชื้นได้บ้าง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
20 ตุลาคม 2553
'มิตซูบิชิ'ปรับไลน์ผลิตรับตลาดบูม ดึงคาปาซิตี้ทะลุ2แสน-พร้อมส่งอีโคคาร์ขายญี่ปุ่น
"มิตซูบิชิ" ลุยเพิ่มกำลังผลิตปีหน้าเฉียด 2 แสนคัน ปรับระบบการผลิตใหม่เพิ่มกะ-ลดแทร็กไทม์ ลั่นมอเตอร์โชว์ปีཱི ส่ง อีโคคาร์ทำตลาดชัวร์ พร้อมเตรียมส่งกลับไปขายญี่ปุ่น มั่นใจปีหน้าตลาดโตต่อเนื่อง นายโนบุยุกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงนี้บริษัทมีปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ประกอบกับการลงทุนตั้งโรงงานแห่งใหม่ ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ ในปีหน้าบริษัทคงจะต้องเลือกใช้วิธีการปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการแก้ปัญหา "คอขวด" ต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มเครื่องจักรและลดระยะเวลาการผลิตรถให้น้อยลง โดยเฉพาะการปรับวิธีการผลิตจะเน้นไปให้น้ำหนักกับรุ่นที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะรถมิตซูบิชิ ปาเจโรสปอร์ต ที่ปีหน้าจะต้องมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างน้อยอีก 10% หรือประมาณ 2,000 คัน
"ปีหน้าการส่งมอบรถให้ลูกค้าคงดีขึ้นจากการขยายกำลังผลิต ต้องยอมรับว่าตลาดปีนี้ดีมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่กำลังการผลิตปีนี้เรามีถึง 195,000 คัน เพิ่มขึ้น 96% จากยอดการผลิต 99,208 ในปีที่ผ่านมา"
นายมูราฮาชิกล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนของการเตรียมความพร้อมเพื่อลงทุน สำหรับโครงการผลิตรถยนต์ นั่งขนาดเล็ก (อีโคคาร์) โดยได้เตรียมปรับปรุงพื้นที่สำหรับก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการรอบริษัทแม่ จากประเทศญี่ปุ่นประกาศความชัดเจนของการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท อีกครั้งหนึ่งในเร็ว ๆ นี้
เบื้องต้นบริษัทได้ตัดสินใจลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท สำหรับโครงการ อีโคคาร์ ตามแผนงานมิตซูบิชิจะผลิตรถ อีโคคาร์ในระดับ 2 แสนคันต่อปี โดย 85% หรือ 1.7 แสนคัน เป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดส่งออก และอีก 15% หรือ 3 หมื่นคัน เป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศ
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดรถอีโคคาร์ถือเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ และบริษัทเชื่อว่ายังมีพื้นที่ และโอกาสของการทำตลาดอีกค่อนข้างมาก หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าจะได้เห็นอีโคคาร์ของมิตซูบิชิในช่วงงานมอเตอร์โชว์ ในปี 2555 อย่างแน่นอน โดยรถรุ่นนี้จะถูกส่งกลับไปขายที่ญี่ปุ่นด้วย
"อีโคคาร์ของเราถือเป็นหนึ่งตามแผนงานโกลบอลสมอลคาร์ ซึ่งรถคันนี้จะเป็นรถที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และไม่ได้มีการใช้แพลตฟอร์มของรถรุ่นเดิมที่มีอยู่มาปรับปรุงใหม่แต่อย่างใด และเรามั่นใจว่า อีโคคาร์ของเรามีตลาดอย่างแน่นอน" นายมูราฮาชิกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่จะนำรถไฟฟ้ามาทดลองวิ่งและทำตลาดในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษา เตรียมความพร้อม เพื่อนำรถดังกล่าวเข้ามาทดลองวิ่งก่อนอย่างน้อย 5 คัน คาดว่าคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการทดลองอย่างน้อย 1 ปี จึงจะสามารถให้ คำตอบได้ถึงอนาคตของรถไฟฟ้าของมิตซูฯในเมืองไทย
สำหรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ที่ปัจจุบันรัฐบาลมีแนวคิดที่จะให้มีการรื้อโครงสร้างให้ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการปล่อยค่าไอเสียเป็นหลัก ซึ่งมิตซูบิชิเห็นด้วยกับการนำแนวคิดนี้มาประกอบการพิจารณาให้ภาษี แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการที่ค่ายรถยนต์ได้ลงทุนไปแล้ว รวมทั้งภาครัฐจะต้องมีระยะเวลาให้ค่ายรถได้เตรียมตัวพอสมควร
ขณะที่กลยุทธ์ทางการตลาดในปีหน้านั้น บริษัทคงจะมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าเดิมที่มีอยู่ รวมทั้งทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านกลยุทธ์ทั้งโปรโมชั่นและแคมเปญต่าง ๆ เนื่องจากปีหน้าบริษัทไม่มีสินค้ารุ่นใหม่ออกมาทำตลาด จะมีอีกทีก็อีโคคาร์ในปี 2553
ส่วนปัญหาเรื่องสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปัจจุบัน ส่งผลทั้งทางบวกและลบกับอุตสาหกรรม โดยในแง่ของผลดีคือสามารถที่จะซื้อวัตถุดิบในราคาต่ำ ขณะที่ข้อเสียคือการส่งออกที่จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลง
โดยในส่วนของมิตซูบิชิมองว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นไม่ได้มีผลกระทบกับการดำเนินงานของมิตซูบิชิแต่อย่างใด เห็นได้จากยอดการจำหน่ายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยจำนวนทั้งสิ้น 26,614 คัน เติบโต 118% ขณะที่ตลาดส่งออกมีจำนวนทั้งสิ้น 137,000 คัน เติบโต 93.5% และตัวเลขยอดการผลิตทั้งหมด 147,379 คัน สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มี 53,874 คัน หรือเติบโต 174%
"เรามีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ขยายตัวขึ้นตามกระแสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมียอดส่งออกสะสมที่จำนวน 137,500 คัน (รวม BU และ KD) มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดส่งออก 71,065 คัน อยู่ที่ 93.5% ถือเป็นความ ภาคภูมิใจของพนักงานและผู้จำหน่ายรถยนต์" โดยเฉพาะยอดขายในประเทศ มิตซูบิชิมียอดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มสินค้าในส่วนของรถยนต์นั่งรวม MPV มีอัตราการเติบโตสะสมที่ 161% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5,857 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่งแบบ CNG ถึง 42% ตามด้วยรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมัน E20 และรถยนต์ FFV-E85 ถึง 36% และ 22% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของกลุ่มรถยนต์นั่งในตลาดรวม ที่เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นตามกระแสความนิยมในตลาด
ส่วนรถปิกอัพไทรทัน มีอัตราการเติบโต 104% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรถยนต์แบบ CNG มียอดแบ็กออร์เดอร์อยู่กว่า 2 เดือน ส่วนยอดการส่งออกที่มีปัจจัยบวกการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจโลกทำให้เชื่อว่าทั้งปี มิตซูบิชิจะมียอดการส่งออก 183,000 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 68% โดยรถรุ่นที่ได้รับคำสั่งซื้อ เพิ่มสูงขึ้นมาก คือ ปาเจโร สปอร์ต ที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน ขณะที่ยอดขายในประเทศทั้งปี น่าจะมียอดจำหน่าย 37,500 คัน หรือครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5% ของตลาดรวมที่คาดว่าจะมากกว่า 750,000 คัน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
"ปีหน้าการส่งมอบรถให้ลูกค้าคงดีขึ้นจากการขยายกำลังผลิต ต้องยอมรับว่าตลาดปีนี้ดีมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่กำลังการผลิตปีนี้เรามีถึง 195,000 คัน เพิ่มขึ้น 96% จากยอดการผลิต 99,208 ในปีที่ผ่านมา"
นายมูราฮาชิกล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนของการเตรียมความพร้อมเพื่อลงทุน สำหรับโครงการผลิตรถยนต์ นั่งขนาดเล็ก (อีโคคาร์) โดยได้เตรียมปรับปรุงพื้นที่สำหรับก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการรอบริษัทแม่ จากประเทศญี่ปุ่นประกาศความชัดเจนของการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท อีกครั้งหนึ่งในเร็ว ๆ นี้
เบื้องต้นบริษัทได้ตัดสินใจลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท สำหรับโครงการ อีโคคาร์ ตามแผนงานมิตซูบิชิจะผลิตรถ อีโคคาร์ในระดับ 2 แสนคันต่อปี โดย 85% หรือ 1.7 แสนคัน เป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดส่งออก และอีก 15% หรือ 3 หมื่นคัน เป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศ
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดรถอีโคคาร์ถือเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ และบริษัทเชื่อว่ายังมีพื้นที่ และโอกาสของการทำตลาดอีกค่อนข้างมาก หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าจะได้เห็นอีโคคาร์ของมิตซูบิชิในช่วงงานมอเตอร์โชว์ ในปี 2555 อย่างแน่นอน โดยรถรุ่นนี้จะถูกส่งกลับไปขายที่ญี่ปุ่นด้วย
"อีโคคาร์ของเราถือเป็นหนึ่งตามแผนงานโกลบอลสมอลคาร์ ซึ่งรถคันนี้จะเป็นรถที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และไม่ได้มีการใช้แพลตฟอร์มของรถรุ่นเดิมที่มีอยู่มาปรับปรุงใหม่แต่อย่างใด และเรามั่นใจว่า อีโคคาร์ของเรามีตลาดอย่างแน่นอน" นายมูราฮาชิกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่จะนำรถไฟฟ้ามาทดลองวิ่งและทำตลาดในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษา เตรียมความพร้อม เพื่อนำรถดังกล่าวเข้ามาทดลองวิ่งก่อนอย่างน้อย 5 คัน คาดว่าคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการทดลองอย่างน้อย 1 ปี จึงจะสามารถให้ คำตอบได้ถึงอนาคตของรถไฟฟ้าของมิตซูฯในเมืองไทย
สำหรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ที่ปัจจุบันรัฐบาลมีแนวคิดที่จะให้มีการรื้อโครงสร้างให้ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการปล่อยค่าไอเสียเป็นหลัก ซึ่งมิตซูบิชิเห็นด้วยกับการนำแนวคิดนี้มาประกอบการพิจารณาให้ภาษี แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการที่ค่ายรถยนต์ได้ลงทุนไปแล้ว รวมทั้งภาครัฐจะต้องมีระยะเวลาให้ค่ายรถได้เตรียมตัวพอสมควร
ขณะที่กลยุทธ์ทางการตลาดในปีหน้านั้น บริษัทคงจะมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าเดิมที่มีอยู่ รวมทั้งทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านกลยุทธ์ทั้งโปรโมชั่นและแคมเปญต่าง ๆ เนื่องจากปีหน้าบริษัทไม่มีสินค้ารุ่นใหม่ออกมาทำตลาด จะมีอีกทีก็อีโคคาร์ในปี 2553
ส่วนปัญหาเรื่องสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปัจจุบัน ส่งผลทั้งทางบวกและลบกับอุตสาหกรรม โดยในแง่ของผลดีคือสามารถที่จะซื้อวัตถุดิบในราคาต่ำ ขณะที่ข้อเสียคือการส่งออกที่จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลง
โดยในส่วนของมิตซูบิชิมองว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นไม่ได้มีผลกระทบกับการดำเนินงานของมิตซูบิชิแต่อย่างใด เห็นได้จากยอดการจำหน่ายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยจำนวนทั้งสิ้น 26,614 คัน เติบโต 118% ขณะที่ตลาดส่งออกมีจำนวนทั้งสิ้น 137,000 คัน เติบโต 93.5% และตัวเลขยอดการผลิตทั้งหมด 147,379 คัน สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มี 53,874 คัน หรือเติบโต 174%
"เรามีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ขยายตัวขึ้นตามกระแสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมียอดส่งออกสะสมที่จำนวน 137,500 คัน (รวม BU และ KD) มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดส่งออก 71,065 คัน อยู่ที่ 93.5% ถือเป็นความ ภาคภูมิใจของพนักงานและผู้จำหน่ายรถยนต์" โดยเฉพาะยอดขายในประเทศ มิตซูบิชิมียอดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มสินค้าในส่วนของรถยนต์นั่งรวม MPV มีอัตราการเติบโตสะสมที่ 161% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5,857 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่งแบบ CNG ถึง 42% ตามด้วยรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมัน E20 และรถยนต์ FFV-E85 ถึง 36% และ 22% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของกลุ่มรถยนต์นั่งในตลาดรวม ที่เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นตามกระแสความนิยมในตลาด
ส่วนรถปิกอัพไทรทัน มีอัตราการเติบโต 104% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรถยนต์แบบ CNG มียอดแบ็กออร์เดอร์อยู่กว่า 2 เดือน ส่วนยอดการส่งออกที่มีปัจจัยบวกการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจโลกทำให้เชื่อว่าทั้งปี มิตซูบิชิจะมียอดการส่งออก 183,000 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 68% โดยรถรุ่นที่ได้รับคำสั่งซื้อ เพิ่มสูงขึ้นมาก คือ ปาเจโร สปอร์ต ที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน ขณะที่ยอดขายในประเทศทั้งปี น่าจะมียอดจำหน่าย 37,500 คัน หรือครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5% ของตลาดรวมที่คาดว่าจะมากกว่า 750,000 คัน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
รถพลังงานไฟฟ้า"อีเลคทริค วิคทอเรีย"
ปีเตอร์ โลเชอร์ ประธานซีเมนส์ ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีกับรถจำลองซึ่งเป็นรถพลังงานไฟฟ้าคันแรกของบริษัทซึ่งมีชื่อเรียกว่า"อีเลคทริค วิคทอเรีย"
ทั้งนี้ ทั้งคู่มาร่วมงานประชุมสุดยอดรถพลังงานไฟฟ้าที่เบอร์ลินเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตามแนวนโยบายของเยอรมนี ที่ต้องการผลักดันให้มีการใช้รถประเภทนี้กันมากขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ฟอร์ด โชว์เทคโนฯ3สูบต่อยอดรถเก๋งเพื่อคนเมือง
ฟอร์ด มอเตอร์ เปิดตัวรถเก๋งต้นแบบ ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ เครื่องเล็ก 3 สูบ หวังพัฒนาป้อนตลาดคนเมืองในอนาคต
รายงานข่าว จากฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนา รถต้นแบบของฟอร์ดรุ่นฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ซึ่งเป็นรถต้นแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี แนวคิดของฟอร์ด ในการออกแบบ รถคอนเซปต์รุ่นใหม่เกิดจากทิศทางการเติบโตของเมืองต่างๆ ทั่วโลก ที่มีความทันสมัย มหานครที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 20 แห่งทั่วโลก คือ ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มีความต้องการ ความคิดเห็น และความคาดหวังคล้ายคลึงกับชาวเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ มากกว่าที่จะคล้ายคลึงกับคนในประเทศเดียวกันที่อาศัยอยู่ในเมืองขนาดเล็ก ผู้บริโภคเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในสังคมเมือง จึงมองหาสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้อย่างลงตัว
"ปัจจุบัน ประชากรโลกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในเขตเมือง และภายใน พ.ศ. 2593 จำนวนดังกล่าวจะพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ท้องถนนและลานจอดรถที่ไม่เพียงพอ ความกังวลต่อการประหยัดน้ำมันของรถ รวมทั้งปริมาณและราคาของน้ำมันในปัจจุบัน ผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อยานพาหนะและการเดินทางต่างไปจากเดิมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
รายงานระบุต่อไปว่า ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ นั้น เปิดตัวพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ที่มีกำลังสูงสุดและช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วยการทำงานของเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร ที่ฟอร์ดจะผลิตในอนาคต เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายระยะยาวของฟอร์ดที่ต้องการ เพิ่มกำลังให้แก่เครื่องยนต์มากขึ้น จึงติดตั้ง ระบบ เทอร์โบชาร์จร่วมกับระบบไดเร็ก อินเจ็กชั่น เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ให้กำลังและแรงบิดเทียบเท่ากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ 1.6 ลิตร และคาดว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าระดับมาตรฐานที่ 100 กรัม/กิโลเมตร
ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ติดตั้งระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่ได้รับการออกแบบมาให้มอบพละกำลังแก่เครื่องยนต์ได้โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันลดลง ระบบส่งกำลังที่ให้แรงบิดสูงของเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ แบบ 3 สูบ 1.0 ลิตร และช่วงล่างที่ยึดเกาะถนน สไตล์สปอร์ต จึงทำให้ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ขับสนุก ตามแบบ ฉบับของฟอร์ด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์ รุ่นแรก ก็ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและมีสูบเพียง 3 สูบเท่านั้น
ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
รายงานข่าว จากฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนา รถต้นแบบของฟอร์ดรุ่นฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ซึ่งเป็นรถต้นแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี แนวคิดของฟอร์ด ในการออกแบบ รถคอนเซปต์รุ่นใหม่เกิดจากทิศทางการเติบโตของเมืองต่างๆ ทั่วโลก ที่มีความทันสมัย มหานครที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 20 แห่งทั่วโลก คือ ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มีความต้องการ ความคิดเห็น และความคาดหวังคล้ายคลึงกับชาวเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ มากกว่าที่จะคล้ายคลึงกับคนในประเทศเดียวกันที่อาศัยอยู่ในเมืองขนาดเล็ก ผู้บริโภคเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในสังคมเมือง จึงมองหาสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้อย่างลงตัว
"ปัจจุบัน ประชากรโลกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในเขตเมือง และภายใน พ.ศ. 2593 จำนวนดังกล่าวจะพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ท้องถนนและลานจอดรถที่ไม่เพียงพอ ความกังวลต่อการประหยัดน้ำมันของรถ รวมทั้งปริมาณและราคาของน้ำมันในปัจจุบัน ผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อยานพาหนะและการเดินทางต่างไปจากเดิมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
รายงานระบุต่อไปว่า ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ นั้น เปิดตัวพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ที่มีกำลังสูงสุดและช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วยการทำงานของเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร ที่ฟอร์ดจะผลิตในอนาคต เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายระยะยาวของฟอร์ดที่ต้องการ เพิ่มกำลังให้แก่เครื่องยนต์มากขึ้น จึงติดตั้ง ระบบ เทอร์โบชาร์จร่วมกับระบบไดเร็ก อินเจ็กชั่น เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ให้กำลังและแรงบิดเทียบเท่ากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ 1.6 ลิตร และคาดว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าระดับมาตรฐานที่ 100 กรัม/กิโลเมตร
ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ติดตั้งระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่ได้รับการออกแบบมาให้มอบพละกำลังแก่เครื่องยนต์ได้โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันลดลง ระบบส่งกำลังที่ให้แรงบิดสูงของเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ แบบ 3 สูบ 1.0 ลิตร และช่วงล่างที่ยึดเกาะถนน สไตล์สปอร์ต จึงทำให้ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ขับสนุก ตามแบบ ฉบับของฟอร์ด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์ รุ่นแรก ก็ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและมีสูบเพียง 3 สูบเท่านั้น
ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
หลุดอีกแล้ว...โบรชัวร์โตโยต้า วิตซ์/ยาริสใหม่
โฉมใหม่ของโตโยต้า ยาริส หรือใช้ชื่อว่าวิตซ์สำหรับเวอร์ชัน JDM เมื่อขายอยู่ในญี่ปุ่น กำลังจะเตรียมเปิดตัวในเร็วๆ นี้ แต่ทว่าในตอนนี้ มีการนำภาพบางส่วนของโบรชัวร์ของวิตซ์ใหม่ที่จะขายในญี่ปุ่นออกมาเผยแพร่ตามหน้าอินเตอร์เนตแล้วสำหรับรายละเอียดของตัวรถยังไม่มีหลุดออกมาให้รับทราบ นอกจากภาพของตัวรถรุ่นใหม่ ซึ่งมีการฟ้องด้วยภาพว่า ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร ยาวขึ้น 100 มิลลิเมตร แต่สูงลดลง 20 มิลลิเมตร นั่นหมายความว่า มิติตัวถังของวิตซ์ใหม่แบบตัวถัง 5 ประตูจะมีความยาว 3,885 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,510 มิลลิเมตร (อ้างอิงจากสเปกในประเทศไทย)
ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่ามีอะไรบ้าง....ต้องรอติดตามกันต่อไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่ามีอะไรบ้าง....ต้องรอติดตามกันต่อไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
17 ตุลาคม 2553
All-New Mazda BT-50 กระบะโฉมใหม่สไตล์รถยนต์นั่ง หรูทั้งนอกและใน ใช้งานสารพัดรูปแบบ
All-New Mazda BT-50 ควงแขนมาเปิดตัววันนี้พร้อมกับญาติสนิทอย่าง All-New Ford Ranger ในงาน Australian International Motor Show และถือว่าเป็นกระบะปิกอัพที่ถูกจับตามากที่สุดในช่วงนี้ก็ว่าได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ฉีกตัวเองให้ต่างออกไปจากกระบะรุ่นอื่นๆในท้องตลาด ด้วยรูปโฉมทั้งภายในและภายนอกที่ดูเหมือนกับรถยนต์นั่งมากกว่าที่จะเป็นรถกระบะปิกอัพ แม้แต่ Ford Ranger ที่มีการพัฒนาร่วมกันก็ยังไม่ฉีกแนวออกมามากถึงขนาดนี้ชัดเจนว่ารูปลักษณ์ภายนอกในส่วนของด้านหน้า เส้นสายได้รับอิทธิพลมาจากดีไซน์รถยนต์นั่งของ Mazda เอง ในขณะที่ภายในซึ่ง AutoSpinn เคยนำภาพทีเซอร์มาให้ชมแล้วดูหรูหราทันสมัยในแบบของรถยนต์นั่งยังไงยังงั้น โดย Mazda ตั้งใจออกแบบรถรุ่นนี้ให้รองรับการใช้งานได้ทั้งในแบบรถยนต์นั่งทั่วไปจนถึงรถสำหรับครอบครัวที่สามารถบุกตะลุยได้ทุกที่ในแบบรถ SUV อย่างไรก็ตาม Mazda ยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดอื่นๆของรถรุ่นนี้ ถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติมเราจะรีบนำมาเสนอทันทีครับ
ที่มา: Mazda , autospinn
ที่มา: Mazda , autospinn
เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ทีดีวี 6
ในขณะที่ค่ายรถยนต์หลาย ๆ ยี่ห้อเลือกที่จะเปลี่ยนโฉมรถรุ่นใหม่ ๆ ของตัวเองให้สวย ทันสมัยไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาใจคนซื้อ แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ค่ายที่ยังคงพยายามรักษาอัตลักษณ์ อันเป็นการแสดงตัวตนเอาไว้ เพื่อให้ผู้คนจดจำมองเห็นและรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
เรนจ์ โรเวอร์รุ่นแรกที่มีชื่อรุ่นว่า คลาสสิก นั้น ได้ถูกผลิตเพื่อออกจำหน่ายเมื่อ 40 ปีก่อนและถูกผลิตออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องถึง 4 รุ่นแล้ว โดยรุ่นที่ 2 คือ P38a เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1994 รุ่นที่ 3 คือ L322 ผลิตในปีค.ศ. 2001 และล่าสุด เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ทีดีวี 6 เป็นรถรุ่นที่ 4 ซึ่งนำมาลองขับในอาทิตย์นี้ จะใช้รหัสว่า L320 สนน ราคาอยู่ที่ 8,290,000 บาท
สำหรับรูปทรงของตัวรถนั้นก็ยังคงรักษา อัตลักษณ์เดิม ๆ ไว้ แม้จะมองดูแบบผ่าน ๆ หรือมองไกล ๆ ก็ยังพอจะเดาได้ว่าเป็นเรนจ์ โรเวอร์แน่นอน เมื่อเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ พบว่าตัวประตูหน้ามีขนาดใหญ่และเปิดได้มุมกว้างช่วยให้การเข้าออกง่ายดี เพียงแต่ตัวรถและเบาะนั่งที่อยู่ในตำแหน่ง ค่อนข้างสูงนั้น คงทำให้คนที่รูปร่างเล็กต้องออกแรงเวลาขึ้นไปนั่งกันสักนิด แต่โดยส่วนตัวผมชอบเบาะ นั่งที่สูง ๆ แบบนี้ เพราะมันทำให้สามารถ นั่งห้อยขาได้เหมือนนั่งเก้าอี้ทำงาน แถมยังให้มุมมองทัศนวิสัยโดยรอบได้กว้างไกลขึ้นอีกด้วย ในส่วนของที่นั่งตอนหลังนั้น ตัวประตูมีขนาดเล็กและเปิดทำมุมได้น้อยกว่าประตูหน้า การเข้าออกจึงไม่สะดวกเท่า ส่วนตัวเบาะหลังมีขนาดที่กว้างขวาง ถึงแม้จะนั่งกัน 3 คนก็ไม่อึดอัด นอกจากนี้ยังเย็นสบายเพราะมีช่องแอร์อยู่หลังคอนโซลกลางด้วย
ฝูงม้ากว่า 245 ตัวใต้ฝากระโปรงของ L320 คันนี้ได้มาจากเครื่องยนต์ดีเซล 3 ลิตร เทอร์โบคู่แบบวี 6 ที่มีจุดเด่นอยู่ตรงการใช้เทอร์โบ 2 ชุดทำงานร่วมกัน โดยเทอร์โบที่ใช้ใบพัดแบบแปรผันได้จะทำงานในช่วงแรกไปจนถึง 2,500 รอบ/ นาที จากนั้นเมื่อแรงดันของไอเสียเยอะขึ้น เทอร์โบที่ใช้ใบพัดแบบตายตัวก็จะเข้ามาช่วยด้วยอีกแรง ทำให้เครื่องยนต์บล็อกนี้สร้างแรงบิดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและมากถึง 600 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาเครื่องดีเซล 3 ลิตรด้วยกัน และที่สำคัญแรงบิดกว่า 90% หรือประมาณ 550 นิวตัน-เมตรจะเริ่มมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบที่ต่ำ ๆ เพียง 1,400 ไปจนถึง 3,000 รอบ/นาที ดังนั้นเรื่องอัตราเร่งออกตัวและการเร่งแซงจึงทำได้อย่างเยี่ยมยอด แถมยังไม่กินน้ำมันอีกด้วย โดยเฉลี่ยในเมืองทำได้ต่ำกว่า 10 กม./ลิตร ในขณะที่วิ่งนอกเมืองจะทำได้มากกว่า 13 กม./ลิตรเลยทีเดียว
ระบบช่วงล่างของเรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต จะใช้ถุงลมทำหน้าที่แทนสปริง ซึ่งนอกจากจะมีความนิ่มนวลและให้การทรงตัวที่มั่นคงแล้ว ยังสามารถปรับความสูงต่ำของรถได้จากภายในตัวรถด้วย ส่วนการใช้งานแบบออฟโรด เรนจ์ โรเวอร์ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของระบบ ขับเคลื่อนที่ผู้ขับรถสามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพ ของเส้นทาง และยังมีระบบช่วยชะลอรถเวลาขับลงทางลาดชันอีกด้วย ในการหยุดรถคันโตแรงเยอะแบบนี้ก็วางใจได้ เพราะมีทั้งระบบเพิ่มกำลังเบรกและระบบควบคุมการทรงตัวมาให้พร้อม
สรุปโดยรวมแล้วแม้รูปทรงของเรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 4 จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มาก แต่สำหรับบรรดาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่รถคันนี้ มีกลับล้ำสมัย ทำให้มันมีทั้งสมรรถนะอันเยี่ยม ยอด ประหยัด สะดวกสบาย และมีความปลอดภัยสูงมาก.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ทีดีวี 6
ที่มา เดลินิวส์
เรนจ์ โรเวอร์รุ่นแรกที่มีชื่อรุ่นว่า คลาสสิก นั้น ได้ถูกผลิตเพื่อออกจำหน่ายเมื่อ 40 ปีก่อนและถูกผลิตออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องถึง 4 รุ่นแล้ว โดยรุ่นที่ 2 คือ P38a เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1994 รุ่นที่ 3 คือ L322 ผลิตในปีค.ศ. 2001 และล่าสุด เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ทีดีวี 6 เป็นรถรุ่นที่ 4 ซึ่งนำมาลองขับในอาทิตย์นี้ จะใช้รหัสว่า L320 สนน ราคาอยู่ที่ 8,290,000 บาท
สำหรับรูปทรงของตัวรถนั้นก็ยังคงรักษา อัตลักษณ์เดิม ๆ ไว้ แม้จะมองดูแบบผ่าน ๆ หรือมองไกล ๆ ก็ยังพอจะเดาได้ว่าเป็นเรนจ์ โรเวอร์แน่นอน เมื่อเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ พบว่าตัวประตูหน้ามีขนาดใหญ่และเปิดได้มุมกว้างช่วยให้การเข้าออกง่ายดี เพียงแต่ตัวรถและเบาะนั่งที่อยู่ในตำแหน่ง ค่อนข้างสูงนั้น คงทำให้คนที่รูปร่างเล็กต้องออกแรงเวลาขึ้นไปนั่งกันสักนิด แต่โดยส่วนตัวผมชอบเบาะ นั่งที่สูง ๆ แบบนี้ เพราะมันทำให้สามารถ นั่งห้อยขาได้เหมือนนั่งเก้าอี้ทำงาน แถมยังให้มุมมองทัศนวิสัยโดยรอบได้กว้างไกลขึ้นอีกด้วย ในส่วนของที่นั่งตอนหลังนั้น ตัวประตูมีขนาดเล็กและเปิดทำมุมได้น้อยกว่าประตูหน้า การเข้าออกจึงไม่สะดวกเท่า ส่วนตัวเบาะหลังมีขนาดที่กว้างขวาง ถึงแม้จะนั่งกัน 3 คนก็ไม่อึดอัด นอกจากนี้ยังเย็นสบายเพราะมีช่องแอร์อยู่หลังคอนโซลกลางด้วย
ฝูงม้ากว่า 245 ตัวใต้ฝากระโปรงของ L320 คันนี้ได้มาจากเครื่องยนต์ดีเซล 3 ลิตร เทอร์โบคู่แบบวี 6 ที่มีจุดเด่นอยู่ตรงการใช้เทอร์โบ 2 ชุดทำงานร่วมกัน โดยเทอร์โบที่ใช้ใบพัดแบบแปรผันได้จะทำงานในช่วงแรกไปจนถึง 2,500 รอบ/ นาที จากนั้นเมื่อแรงดันของไอเสียเยอะขึ้น เทอร์โบที่ใช้ใบพัดแบบตายตัวก็จะเข้ามาช่วยด้วยอีกแรง ทำให้เครื่องยนต์บล็อกนี้สร้างแรงบิดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและมากถึง 600 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาเครื่องดีเซล 3 ลิตรด้วยกัน และที่สำคัญแรงบิดกว่า 90% หรือประมาณ 550 นิวตัน-เมตรจะเริ่มมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบที่ต่ำ ๆ เพียง 1,400 ไปจนถึง 3,000 รอบ/นาที ดังนั้นเรื่องอัตราเร่งออกตัวและการเร่งแซงจึงทำได้อย่างเยี่ยมยอด แถมยังไม่กินน้ำมันอีกด้วย โดยเฉลี่ยในเมืองทำได้ต่ำกว่า 10 กม./ลิตร ในขณะที่วิ่งนอกเมืองจะทำได้มากกว่า 13 กม./ลิตรเลยทีเดียว
ระบบช่วงล่างของเรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต จะใช้ถุงลมทำหน้าที่แทนสปริง ซึ่งนอกจากจะมีความนิ่มนวลและให้การทรงตัวที่มั่นคงแล้ว ยังสามารถปรับความสูงต่ำของรถได้จากภายในตัวรถด้วย ส่วนการใช้งานแบบออฟโรด เรนจ์ โรเวอร์ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของระบบ ขับเคลื่อนที่ผู้ขับรถสามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพ ของเส้นทาง และยังมีระบบช่วยชะลอรถเวลาขับลงทางลาดชันอีกด้วย ในการหยุดรถคันโตแรงเยอะแบบนี้ก็วางใจได้ เพราะมีทั้งระบบเพิ่มกำลังเบรกและระบบควบคุมการทรงตัวมาให้พร้อม
สรุปโดยรวมแล้วแม้รูปทรงของเรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 4 จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มาก แต่สำหรับบรรดาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่รถคันนี้ มีกลับล้ำสมัย ทำให้มันมีทั้งสมรรถนะอันเยี่ยม ยอด ประหยัด สะดวกสบาย และมีความปลอดภัยสูงมาก.
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ทีดีวี 6
ที่มา เดลินิวส์
16 ตุลาคม 2553
ตัดสินใจ!เรนเจอร์ VS บีที-50 ใครสวยกว่ากัน
วันนี้ (15ต.ค.) ออสเตรเลียน อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2010 ที่นครซิดนีย์ เปิดฉากอย่างเป็นทางการ โดยยึดซิดนีย์ คอนเวนชั่น แอนด์ เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ บริเวณ ดาร์ลิง ฮาเบอร์ เป็นสถานที่จัดงาน ระหว่าง 15-24 ตุลาคมนี้
สำหรับไฮไลต์สำคัญต้องยกให้การเผยโฉมครั้งแรกของปิกอัพ “ฟอร์ด เรนเจอร์” และ “มาสด้า บีที-50” ซึ่งเป็น World Premiere Launch เพียง 2 รุ่นในงานนี้เท่านั้น
สำหรับรายละเอียดรุ่นโมเดลเชนจ์ของ “เรนเจอร์” ทาง “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้นำเสนอไปบ้างแล้ว แต่ในส่วนของ “บีที-50” จะนำมาเปิดเผยเร็วๆนี้
…ชมภาพสดๆในงานเปิดตัวบนแผ่นดินออสซี่ แล้วเลือกดูว่าปิกอัพรุ่นไหน โดนใจกว่ากัน แต่ไม่ต้องรีบร้อนเพราะคุณมีเวลาคิดอีกประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะควักเงินซื้อ!?
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
สำหรับไฮไลต์สำคัญต้องยกให้การเผยโฉมครั้งแรกของปิกอัพ “ฟอร์ด เรนเจอร์” และ “มาสด้า บีที-50” ซึ่งเป็น World Premiere Launch เพียง 2 รุ่นในงานนี้เท่านั้น
สำหรับรายละเอียดรุ่นโมเดลเชนจ์ของ “เรนเจอร์” ทาง “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้นำเสนอไปบ้างแล้ว แต่ในส่วนของ “บีที-50” จะนำมาเปิดเผยเร็วๆนี้
…ชมภาพสดๆในงานเปิดตัวบนแผ่นดินออสซี่ แล้วเลือกดูว่าปิกอัพรุ่นไหน โดนใจกว่ากัน แต่ไม่ต้องรีบร้อนเพราะคุณมีเวลาคิดอีกประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะควักเงินซื้อ!?
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
เรนเจอร์ และ บีที-50
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ “ออกลาย...ซ่า ฟัน อันลิมิต”
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า โหมตลาดท้ายปี เปิดตัวรุ่นรถลายใหม่สไตล์ซ่า กราฟิคใหม่ แสบ ชัด จัดจ้าน ด้วยแนวคิดการออกแบบที่เอาลายแฟชั่นมาใส่บนตัวรถจักรยานยนต์ ภายใต้กลยุทธ์ทางการตลาดล่าสุด “ออกลาย...ซ่า สกู๊ปปี้ ไอ ฟัน อันลิมิต” พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ ตั้งเป้าขาย 25,000 คันต่อเดือน โดยสนนราคาเริ่มต้น 44,900 บาท
จุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด ส่วนงานวางแผนธุรกิจ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นการเริ่มต้นปีที่ 2 ของฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ที่จะมาป่วนความสนุกมันส์ในตลาดรถจักรยานยนต์แบบ เอ.ที หลังจากเดือนกันยายนที่ผ่านมาสามารถคว้าตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งมาครองได้สำเร็จ โดยรถลายใหม่นี้ได้ตั้งเป้าการจำหน่ายไว้ที่ 25,000 คันต่อเดือน มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 44,900 บาท” “สำหรับฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่นี้ ออกลายซ่ามากขึ้น เจ็บขึ้น พร้อมกับแก๊งพรีเซ็นเตอร์ใหม่ที่คราวนี้นับเป็นการรวมตัวกันของสุดยอดในวงการบันเทิง ด้วยสุดยอดเจ้าพ่อแรพเปอร์ของเมืองไทยอย่าง Thaitanium, สุดยอดวงดนตรีอินดี้ข้ามกระแสที่มาแรงที่สุด The Richman Toy, สุดยอดนางเอกหนังร้อยล้านคนล่าสุด หนูนา-หนึ่งธิดา จากภาพยนตร์ กวน มึน โฮ และที่สุดของความเก๋าคนเดิมที่เป็นสุดยอดนักแสดง หนุ่มหล่อล่ำ หน้าใส กระชากใจสาว มาริโอ้ เมาเร่อ ให้มารวมพลังซ่า สร้างปรากฏการณ์ความสนุกครั้งใหม่ไปพร้อมๆ กับสุดยอดรถจักรยานยนต์มาแรงแห่งปี ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ตามแบบฉบับคาแร็คเตอร์ความกวน ป่วน ซ่าของแต่ละคน มั่นใจ “สกู๊ปปี้ ไอ ออกลายซ่า” นี้ จะเป็นการนำเสนอความสด ใหม่ สู่ตลาดสองล้อและวงการแฟชั่น จนใครๆ ต้องเปลี่ยนใจหันกลับมามอง”
ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่ ได้เพิ่มความสนุกมันส์ อัพดีกรีความซ่าขนมากันเต็มๆ แบบอันลิมิต เพื่อเติมเต็มลายรถจักรยานยนต์ที่เต็มไปด้วยความสนุกที่มากขึ้นแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการโชว์ลวดลายกราฟิคใหม่ที่แสบชัด จัดจ้าน สะท้อนคาแร็คเตอร์ให้โดนใจวัยรุ่น วัยมันส์ทั่วไทย ใน “ออกลายซ่า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่ ฟัน อันลิมิต” โดยทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ซีรี่ส์ 3 ลายซ่าท้าความสนุก ประกอบด้วย
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Active Boy ซีรี่ส์มันส์ เต็มสตรีท ปลดปล่อยความซ่ากับสไตล์ Street Art สุดแสบ ออกลายดื้อเฉพาะตัวด้วย Underground Graffiti ประกาศความซ่าเข้าขากับคู่สีสุดจี๊ด...แสบซี๊ดรอบคัน พร้อมมันส์เต็มสตรีทกับ 4 สีสุดซ่า สีน้ำเงิน-ดำ, สีขาว-ดำ, สีแดง-ดำ และสีน้ำเงิน-ขาว
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Vivid Me ซีรีส์แสบ...แก่นซ่า ที่มากับลายแฟชั่นแบบ Polka Dot สุดเปรี้ยว เฮี้ยวซ่าแบบชาว Punk ออกลายซนเฉพาะซีรี่ส์ด้วย “Naughty Stripe” มิกซ์ด้วยลายหัวกะโหลกแสบซ่า Cheeky Skull…แก่นสุดฤทธิ์ พร้อมแสบแก่นซ่ากับ 2 สีสุดเฮี้ยว สีชมพู-ขาว และสีน้ำเงิน-ขาว
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Prestige Guy ซีรี่ส์เฉียบ...ดูดี โชว์ตัวตนอย่างมีชั้นเชิง ออกลายหรูเฉพาะซีรีส์ด้วยกราฟิค “P-Monogram” สไตล์แฟชั่นแบรนด์ชั้นสูง ถ่ายทอดความมีระดับ ลงตัวกับสีทูโทนสุดหรู...ซ่าดูดี พร้อมเฉียบกับ 3 สี สุดหรู สีขาว-ม่วง, สีแดง-เทา และสีดำ-เทา
พร้อมเตรียมพบกับหนังโฆษณาแสบซ่าตัวใหม่ล่าสุด 2 เวอร์ชั่นแรกที่จะออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ติดตามกับความป่วนซ่าในเวอร์ชั่นต่อๆ ไป และเตรียมพร้อมสำหรับการออกลายซ่าสุดอลังการของ ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ที่จะมาโชว์ดีกรีความเก๋ากวนตัวจริง ในงานมหกรรมความมันส์ สนุก สุดเซอร์ไพรส์ “Big Fun Fest by Honda” ในวันเสาร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน (หัวหมาก)
ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ “ออกลาย...ซ่า ฟัน อันลิมิต”
ที่มา manager
จุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด ส่วนงานวางแผนธุรกิจ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นการเริ่มต้นปีที่ 2 ของฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ที่จะมาป่วนความสนุกมันส์ในตลาดรถจักรยานยนต์แบบ เอ.ที หลังจากเดือนกันยายนที่ผ่านมาสามารถคว้าตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งมาครองได้สำเร็จ โดยรถลายใหม่นี้ได้ตั้งเป้าการจำหน่ายไว้ที่ 25,000 คันต่อเดือน มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 44,900 บาท” “สำหรับฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่นี้ ออกลายซ่ามากขึ้น เจ็บขึ้น พร้อมกับแก๊งพรีเซ็นเตอร์ใหม่ที่คราวนี้นับเป็นการรวมตัวกันของสุดยอดในวงการบันเทิง ด้วยสุดยอดเจ้าพ่อแรพเปอร์ของเมืองไทยอย่าง Thaitanium, สุดยอดวงดนตรีอินดี้ข้ามกระแสที่มาแรงที่สุด The Richman Toy, สุดยอดนางเอกหนังร้อยล้านคนล่าสุด หนูนา-หนึ่งธิดา จากภาพยนตร์ กวน มึน โฮ และที่สุดของความเก๋าคนเดิมที่เป็นสุดยอดนักแสดง หนุ่มหล่อล่ำ หน้าใส กระชากใจสาว มาริโอ้ เมาเร่อ ให้มารวมพลังซ่า สร้างปรากฏการณ์ความสนุกครั้งใหม่ไปพร้อมๆ กับสุดยอดรถจักรยานยนต์มาแรงแห่งปี ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ตามแบบฉบับคาแร็คเตอร์ความกวน ป่วน ซ่าของแต่ละคน มั่นใจ “สกู๊ปปี้ ไอ ออกลายซ่า” นี้ จะเป็นการนำเสนอความสด ใหม่ สู่ตลาดสองล้อและวงการแฟชั่น จนใครๆ ต้องเปลี่ยนใจหันกลับมามอง”
ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่ ได้เพิ่มความสนุกมันส์ อัพดีกรีความซ่าขนมากันเต็มๆ แบบอันลิมิต เพื่อเติมเต็มลายรถจักรยานยนต์ที่เต็มไปด้วยความสนุกที่มากขึ้นแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการโชว์ลวดลายกราฟิคใหม่ที่แสบชัด จัดจ้าน สะท้อนคาแร็คเตอร์ให้โดนใจวัยรุ่น วัยมันส์ทั่วไทย ใน “ออกลายซ่า สกู๊ปปี้ ไอ ใหม่ ฟัน อันลิมิต” โดยทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ซีรี่ส์ 3 ลายซ่าท้าความสนุก ประกอบด้วย
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Active Boy ซีรี่ส์มันส์ เต็มสตรีท ปลดปล่อยความซ่ากับสไตล์ Street Art สุดแสบ ออกลายดื้อเฉพาะตัวด้วย Underground Graffiti ประกาศความซ่าเข้าขากับคู่สีสุดจี๊ด...แสบซี๊ดรอบคัน พร้อมมันส์เต็มสตรีทกับ 4 สีสุดซ่า สีน้ำเงิน-ดำ, สีขาว-ดำ, สีแดง-ดำ และสีน้ำเงิน-ขาว
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Vivid Me ซีรีส์แสบ...แก่นซ่า ที่มากับลายแฟชั่นแบบ Polka Dot สุดเปรี้ยว เฮี้ยวซ่าแบบชาว Punk ออกลายซนเฉพาะซีรี่ส์ด้วย “Naughty Stripe” มิกซ์ด้วยลายหัวกะโหลกแสบซ่า Cheeky Skull…แก่นสุดฤทธิ์ พร้อมแสบแก่นซ่ากับ 2 สีสุดเฮี้ยว สีชมพู-ขาว และสีน้ำเงิน-ขาว
• ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ Prestige Guy ซีรี่ส์เฉียบ...ดูดี โชว์ตัวตนอย่างมีชั้นเชิง ออกลายหรูเฉพาะซีรีส์ด้วยกราฟิค “P-Monogram” สไตล์แฟชั่นแบรนด์ชั้นสูง ถ่ายทอดความมีระดับ ลงตัวกับสีทูโทนสุดหรู...ซ่าดูดี พร้อมเฉียบกับ 3 สี สุดหรู สีขาว-ม่วง, สีแดง-เทา และสีดำ-เทา
พร้อมเตรียมพบกับหนังโฆษณาแสบซ่าตัวใหม่ล่าสุด 2 เวอร์ชั่นแรกที่จะออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ติดตามกับความป่วนซ่าในเวอร์ชั่นต่อๆ ไป และเตรียมพร้อมสำหรับการออกลายซ่าสุดอลังการของ ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ ที่จะมาโชว์ดีกรีความเก๋ากวนตัวจริง ในงานมหกรรมความมันส์ สนุก สุดเซอร์ไพรส์ “Big Fun Fest by Honda” ในวันเสาร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน (หัวหมาก)
ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ “ออกลาย...ซ่า ฟัน อันลิมิต”
ที่มา manager
ดูกันเต็มเต็มอีกครั้งกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่
ในงานมหกรรมยานยนต์ ออสเตรเลีย อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ฟอร์ด มอเตอร์ ได้เปิดตัว เรนเจอร์ ใหม่ เพื่อพลิกประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถกระบะให้ดีเยี่ยมกว่าเคย
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เปิดตัวพร้อมความมุ่งมั่นในการเป็นรถกระบะระดับแถวหน้าของตลาด ด้วยพละกำลังและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงความสามารถในการลากจูงอย่างเหนือชั้น นอกจากการคงความแข็งแกร่งซึ่งเป็นเอกลักษ์สำคัญของเรนเจอร์แล้ว กระบะคันใหม่ของฟอรดยังมีพื้นที่ใช้งานกว้างขวาง มอบความสะดวกสบาย มีอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารครบครัน และให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมแบบเดียวกับที่ผู้บริโภคเคยคาดหวังเฉพาะจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเท่านั้น
เรนเจอร์ใหม่ ยังเป็นรถที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดคันหนึ่งเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน นับเป็นความสำเร็จจากการพัฒนาโครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คระดับโลกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford ของฟอร์ด และมาสด้า โครงสร้างตัวถังใหม่นี้จะนำมาแทนที่โครงสร้างตัวถัง 2 ชุดที่ใช้ผลิตอยู่ในปัจจุบัน เพื่อมอบโฉมหน้าใหม่ของกระบะสายพันธุ์แกร่งให้แก่ลูกค้าฟอร์ดทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย เรนเจอร์ ใหม่ จึงเป็นรถกระบะที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน อาทิ การติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลัง (Rearview Camera), Rear Park Assist, Trailer Sway Control และ Adaptive Load Control นอกจากนี้ ฟอร์ดยังวางแผนที่จะเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ ในรถฟอร์ด เรนเจอร์ เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เรนเจอร์ ใหม่ จะได้รับการผลิตเพื่อจำหน่ายใน 180 ประเทศใน 5 ทวีป และมีรายละเอียดให้เลือกหลากหลาย ทั้งตัวถัง 3 รูปแบบ ระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ 2 และ 4 ล้อ ทั้งแบบไฮ-ไรเดอร์ และโลว์-ไรเดอร์ และแยกเป็นรุ่นต่างๆ ถึง 5 รุ่น ขึ้นอยู่กับประเทศที่วางจำหน่าย
รถรุ่นใหม่บนรากฐานแห่งความสำเร็จอันยาวนาน
เกือบ 20 ปีแล้วที่เรนเจอร์สามารถครองตำแหน่งรถกระบะของฟอร์ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก และมอบความทนทานในการใช้งานสมกับการเป็นรถกระบะสไตล์แกร่งของฟอร์ดให้แก่ผู้ขับขี่หลายล้านคน ด้วยความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักและลากจูง รวมทั้งยังสามารถรองรับการขับขี่ในทุกสภาพถนนได้อย่างดีเยี่ยม เรนเจอร์ ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาขึ้นจากรถรุ่นก่อนให้มีความสามารถมากขึ้น และยังได้รับการพลิกโฉมหน้าให้มีความโดดเด่น ทันสมัย และบึกบึนยิ่งขึ้น เพื่อสะท้อนความแข็งแรงและความแกร่งของเรนเจอร์
ด้วยเฟรมรถ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและหลัง และระบบบังคับเลี้ยวใหม่ทั้งหมด เรนเจอร์ ใหม่ จึงมีความสามารถในการรับน้ำหนักและลากจูงมากขึ้น เรนเจอร์ ใหม่ เปิดตัวพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันใหม่ 3 รุ่น ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ฟอร์ด ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ที่ทันสมัยอย่างมาก 2 รุ่น และระบบส่งกำลังแบบ 6 สปีดรุ่นใหม่ที่ช่วยประหยัดน้ำมัน เมื่อเพิ่มเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังและระบบความปลอดภัยเข้าไปแล้ว ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จึงเป็นรถที่โดดเด่นทั้งด้านพละกำลัง การใช้งาน และเป็นรถระดับแถวหน้าของตลาด
ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของเรนเจอร์ ใหม่ สังเกตได้อย่างชัดเจนจากตัวถังภายนอกที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ขับขี่ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้น เรนเจอร์ ใหม่ ยังมอบความสะดวกสบายและความเงียบภายในห้องโดยสาร รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์มากมายและเทคโนโลยีทันสมัยที่ไม่เป็นรองใคร
เรนเจอร์คันแรกที่ได้รับการเปิดตัวในนครซิดนีย์ คือฟอร์ด เรนเจอร์ XLT ดับเบิลแค็บ สีน้ำเงิน (Aurora Blue) ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลประหยัดน้ำมันฟอร์ด ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ รุ่นใหม่ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลัง 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) และให้แรงบิดที่น่าประทับใจถึง 375 นิวตันเมตร
“เรนเจอร์ใหม่ที่เราเผยโฉมเป็นครั้งแรกของโลกในวันนี้ คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงความสำเร็จที่เกิดจากพลังของการทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford” แกรี่ โบส์ ผู้อำนวยการฝ่ายสายการผลิตประจำโครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คใหม่ของฟอร์ด กล่าว
“เรนเจอร์ ใหม่ ตอบสนองต่อความต้องการของเจ้าของรถกระบะทั่วโลกได้อย่างรอบด้าน จากการออกแบบและผลิตด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์เหนือชั้น เรนเจอร์ ใหม่ ยังผ่านการทดสอบในสภาวะที่ต้องใช้ความทนทานสูงสุดมาแล้วภายใต้สภาพแวดล้อมของการทดสอบสุดโหดใน 5 ทวีปทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ถึงการเป็นรถที่พร้อมใช้งานทั่วโลกอย่างแท้จริง เรนเจอร์เป็นรถที่มอบความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ และได้รับความไว้วางใจจากผู้ขับขี่ทั่วโลกเช่นกัน” โบส์ กล่าว
เพื่อตอบสนองต่อการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละมุมโลก ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จึงมาพร้อมตัวเลือกครบครัน ตั้งแต่รถกระบะเพื่อการใช้งานแบบเรียบง่าย ไปจนถึงรถรุ่นสูงๆ เช่น เรนเจอร์ ลิมิเต็ด และเรนเจอร์ ไวลด์แทรค ซึ่งยังไม่ได้รับการเปิดตัวในขณะนี้
การออกแบบที่เหนือชั้นของฟอร์ดยังได้รับการบรรจุเอาไว้ภายในห้องโดยสาร ด้วยการผสมผสานรูปลักษณ์ที่ตองสนองต่อสรีระของผู้ใช้งานแบบเดียวกับเครื่องมือก่อสร้างของ DEWALT®1 และการปกป้องอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ภายใต้เปลือกหุ้มที่ทันสมัยแบบเดียวกับนาฬิกา G-Shock®2 นักออกแบบขอบฟอร์ดจึงได้รับแรงบันดาลใจในการผสมผสานรูปทรงที่สวยงามเข้ากับการใช้ประโยชน์ของอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว และสร้างความมั่นใจว่า ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นอุปกรณ์ทั้งหมดภายในรถได้อย่างชัดเจน
ภายในห้องโดยสาร แผงวัสดุต่างๆ ได้รับการออกแบบให้สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้แผงหน้าปัดแบบธรรมดาที่ประกอบนอกสายการผลิต และติดตั้งในรถอย่างไม่ซับซ้อน ดังนั้น แม้ว่าแผงวัสดุต่างๆ จะได้รับการออกแบบให้มีความหลากหลาย ทว่า แต่ละชิ้นส่วนสามารถถอดเปลี่ยนกันได้อย่างง่ายดาย
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของรถได้รับความใส่ใจเพื่อให้มีคุณภาพและมีความประณีตในทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัสของวัสดุภายในห้องโดยสารหรือการเลือกเฉดสีต่างๆ ทุกชิ้นส่วนของรถบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกที่หรูหราภายในห้องโดยสารของเรนเจอร์ ใหม่
บนแผงหน้าปัดของเรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบให้รองรับการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ ที่แยกย่อยออกจากกัน อาทิ วิทยุ ฮีทเตอร์ และระบบระบายอากาศ เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารถจะได้รับการประกอบอย่างมีคุณภาพและไม่มีช่องว่างต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์
เดบบี ปาสโก ผู้จัดการฝ่ายสีและการตกแต่งของฟอร์ด เผยว่า วัสดุที่เลือกมาใช้ภายในห้องโดยสารทั้งหมดจะต้องมีความทนทานมากเป็นพิเศษ เบาะจะต้องนั่งสบายและในขณะเดียวกัน ยังต้องสามารถรองรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย
วัสดุภายในห้องโดยสารจะต้องทนทานต่อการใช้งานหนักและความรุนแรงต่างๆ ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอื่นๆ วัสดุสำหรับเบาะนั่งจะต้องทนทานต่อการวางหรือโยนเครื่องมือเข้ามาในห้องโดยสาร หรือบางครั้งผู้ขับขี่ก็ลืมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้ที่กระเป๋าด้านหลังเบาะ แผงประตูจะต้องไม่ครูดหรือถลอกได้ง่ายเมื่อถูกรองเท้าบู๊ตเปื้อนดินข่วน นอกจากนั้น ผู้ขับขี่รถกระบะยังมองหารถที่มีห้องโดยสารที่ดูสวยงามและมอบความสะดวกสบายสำหรับการใช้ในชีวิตส่วนตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
สำหรับเรนเจอร์ ใหม่ รุ่นดับเบิลแค็บ เบาะนั่งด้านหลังสามารถจุผู้โดยสารได้ 3 คนอย่างสบายๆ ระยะห่างของเข่าและเท้าระหว่างเสากลางไปจนถึงเบาะด้านหลังมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ การเข้า-ออกจากรถจึงเป็นเรื่องสะดวกสบายอย่างมากสำหรับผู้โดยสารที่นั่งเบาะหลัง
พื้นที่เก็บของที่เหลือเฟือยังเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของเรนเจอร์ ใหม่ ด้วยช่องเก็บของต่างๆ สูงสุดถึง 20 ช่อง ช่องเก็บของด้านข้างประตูทั้ง 4 บานของรุ่นดับเบิลแค็บมีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ขวดน้ำ และในบางรุ่น แผงคอนโซลกลางที่ลึกกลงไปยังช่วยเก็บความเย็นให้กับเครื่องดื่มของคุณได้อีกด้วย ช่องเก็บของด้านหน้ารถมีขนาดใหญ่พอสำหรับใส่คอมพิวเตอร์พกพาได้ และบนคอนโซลยังมีช่องเล็กๆ สำหรับวางโทรศัพท์เคลื่อนที่และของกระจุกกระจิกต่างๆ
ใต้ที่นั่งด้านหลังมีช่องเก็บของส่วนตัวซ่อนอยู่เพื่อใช้เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของชิ้นเล็กๆ ขณะที่เรนเจอร์ ดับเบิลแค็บบางรุ่นมีที่วางแก้วน้ำ 2 ใบ ติดตั้งอยู่ในที่เท้าแขนตรงกลางเบาะนั่งด้านหลัง
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของเรนเจอร์ ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าน้ำมัน ชิ้นส่วนต่างๆ มากมายจึงได้รับการออกแบบให้ช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยการทดสอบรถแบบเสมือนจริงซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งสูตร 1 (ฟอร์มูล่า วัน) เรนเจอร์ ใหม่ ทั้งคันจึงต้องผ่านการทดสอบลักษณะทางอากาศพลศาสตร์แบบเสมือนจริงมาแล้วกว่า 1,000 ครั้งระหว่างการออกแบบรูปทรงของรถ
ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว วิศวกรของฟอร์ดได้แสดงให้เห็นว่าเส้นตัดบริเวณเหนือบังโคลนช่วยแยกทิศทางลมออกจากกันและลดแรงเสียดทานลงได้ ไฟด้านหลังได้รับการติดตั้งแบบแนวตั้งมากขึ้น เสาหน้าได้รับการปรับให้มีขนาดที่เหมาะสม และได้เติมสปอยเลอร์เล็กๆ เข้าไปบริเวณท้ายรถ สปอยเลอร์ใต้กันชนด้านหน้านับว่ามีบทบาทสำคัญในการบังคับทิศทางลมใต้ตัวถังรถ ช่วยให้ลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงได้มาก
“การลดแรงต้านลมนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งเราสามารถเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันได้ตามเป้าหมาย” เมโทรส กล่าว
เรนเจอร์ ใหม่ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะได้รับการติดตั้งชุดเกียร์ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อเข้าสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อได้อย่างง่ายดายจากสวิตช์ที่ติดตั้งอยู่บนคอนโซล หากต้องการเพิ่มแรงบิดหรือแรงเบรกขณะขับลงทางลาด ผู้ขับขี่ยังสามารถเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำได้
เรนเจอร์ ใหม่ ที่ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อเฉพาะรุ่นยังสามารถติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์หรือลิมิตเต็ดสลิปได้ด้วย
ในขณะที่อัตราการประหยัดน้ำมันที่แน่นอนจะได้รับการเปิดเผยในช่วงใกล้กับการเริ่มต้นผลิต ฟอร์ดคาดการณ์ว่า ระบบส่งกำลังของเรนเจอร์ ใหม่ จะช่วยให้รถรุ่นนี้มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีมาก
คุณภาพในการขับขี่และโครงสร้างตัวถังที่ดีขึ้นอีกขั้น
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สร้างความโดดเด่นสะดุดตาให้กับเรนเจอร์ ใหม่ โครงสร้างตัวถังยังนับเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่จะมอบสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ควบคู่กับความสะดวกสบายแบบเดียวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ลดความพยายามในการหมุนพวงมาลัย ให้การบังคับทิศทางที่แม่นยำ และมอบเสถียรภาพในการขับขี่บนถนนที่ดียิ่งขึ้นให้กับเรนเจอร์ ใหม่
ขณะที่ประสิทธิภาพในการขับบนถนนออฟโร้ดได้รับการยกระดับขึ้นด้วยเฟรมตัวถังที่แข็งแรงขึ้น ความสูงของรถจากพื้นอยู่ที่ 232 มิลลิเมตร และส่วนประกอบของระบบส่งกำลังที่ได้รับการยกสูงขึ้นจากเฟรมตัวถังให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
แม้ว่าความกว้างของฐานล้อจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,220 มิลลิเมตร และระยะห่างของล้อจากซ้ายไปขวาที่กว้างขึ้น โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ที่ 1,560 มิลลิเมตร และรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้ออยู่ที่ 1,590 มิลลิเมตร ทั้งด้านหน้าและหลัง แต่เรนเจอร์ ใหม่ ยังมีวงเลี้ยวในระดับที่ช่วยให้สามารถจอดและขับบนถนนแคบๆ ได้สบาย ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็คแอนด์พิเนียนได้รับการออกแบบให้มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และช่วยให้ควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำ
สำหรับด้านหน้า ระบบกันสะเทือนของเรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยคอยล์สปริงในระบบกันสะเทือนใหม่สำหรับรุ่นขับเคลื่อนแบบ 2 และ 4 ล้อมีความคล้ายคลึงกัน และมอบสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้น นอกจากนี้ ยังได้รับการออกแบบให้ทำงานร่วมกับวาล์วแดมเปอร์และอัตราสปริงที่เหมาะสมในแต่ละรุ่นเพื่อชดเชยน้ำหนัก จุดศูนย์ถ่วง และการกระจายแรงขับที่แตกต่างกัน
ทางด้านหลัง ระบบกันสะเทือนได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลและมั่นใจ ด้วยระบบกันสะเทือนหลังที่ได้รับการปรับจูนอย่างละเอียดให้ตอบสนองต่อการขับขี่ในสภาพถนนที่แตกต่างกัน โดยไม่ทำให้ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักมากๆ ลดลงแต่อย่างใด
ในแถบอเมริกาใต้ที่ผู้ขับขี่นิยมการขับบนถนนดินด้วยความเร็วสูง ระบบกันสะเทือนหลังของเรนเจอร์ ใหม่ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการมอบความมั่นคงและมั่นใจจากการแกว่งและการลื่นไหลของรถที่น้อยลงเมื่อขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระ
ฟอร์ดตระหนักถึงความจำเป็นของลูกค้าที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่มักจะต้องเผชิญน้ำท่วมเมื่อฝนตกหนัก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นหลักๆ และท่ออากาศของเรนเจอร์ ใหม่ จึงได้รับการติดตั้งไว้ในตำแหน่งสูงภายในห้องเครื่อง เรนเจอร์ ใหม่ จึงสามารถตะลุยน้ำท่วมได้อย่างน่าประทับใจ
นอกจากนั้น ด้วยชุดเบรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ความสามารถในการหยุดรถของเรนเจอร์ ใหม่ จึงอยู่ในระดับที่เหนือชั้น เรนเจอร์ทุกรุ่นได้รับการติดตั้งจานเบรกขนาดใหญ่ถึง 302x32 มิลลิเมตร และคาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ ซึ่งผลิตขึ้นจาก วัสดุ phenolic เพื่อลดน้ำหนักและช่วยให้ทนความร้อนดียิ่งขึ้น
สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ใช้เบรกหลังแบบดรัมเบรกขนาด 270x55 มิลลิเมตร ขณะที่รุ่นไฮ-ไรเดอร์ และ 4x4 ใช้ดรัมเบรกหลังขนาด 295x55 มิลลิเมตร
ระบบเบรกของเรนเจอร์ได้รับการทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมสุดโหดมาแล้ว และพร้อมตอบสนองต่อทุกสภาพการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในประเทศสวีเดนที่อุณหภูมิติดลบ 30 องศา หรือการขับขี่ภายใต้สภาพอากาศร้อนจัดในแคลิฟอร์เนีย เดด วัลเลย์ ไปจนถึงการขับบนถนนที่มีการจราจรแออัด และบนทางด่วน ออโตบาห์น ของเยอรมนี ไปจนถึงถึงการขับในป่าทึบของออสเตรเลีย
ระบบเบรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกันของเรนเจอร์ ใหม่ สามารถป้องกันอาการเบรกลื่น (Fade resistance) ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่บรรทุกน้ำหนักมาก ขณะที่เบรกของรถอื่นๆ เริ่มลื่นไหลและทำให้ระยะเบรกไกลขึ้น เรนเจอร์ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถยับยั้งการลื่นไหลได้เหนือขึ้นไปอีกระดับ
สำหรับประสิทธิภาพในการเบรก เรนเจอร์จะได้รับการติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program -ESP) ที่รวมถึงระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction control) สำหรับทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งระบบป้องกันรถแฉลบ และลดโอกาสในการพลิกค่ำ
แม้ว่าผู้ขับขี่จะไม่รู้สึกถึงการทำงาน แต่เซ็นเซอร์ของระบบ ESP ที่ได้รับการติดตั้งในเรนเจอร์ ใหม่ จะคอยตรวจจับความเร็วของล้อทั้ง 4 ล้อและเมื่อมีการเร่งความเร็ว หรือในการเบรก หากล้อใดแฉลบออกนอกทิศทาง ระบบจะส่งแรงเบรกไปยังล้อดังกล่าว เพื่อช่วยควบคุมให้รถสามารถทรงตัวได้อย่างปลอดภัย
ภายใต้สภาพการขับขี่สุดโหด ระบบ Traction control จะทำหน้าที่ช่วยลดแรงบิดด้วยการควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ และการจ่ายน้ำมัน
การเบรกที่ปลอดภัยสูงสุดของเรนเจอร์ ใหม่ ยังรวมถึงการทำงานของระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-Lock Brake System -ABS) ให้อยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติทันทีที่มีการเบรกอย่างเฉียบพลัน ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brakeforce Distribution -EBD) ของฟอร์ดยังช่วยรักษาแรงเบรกที่แม่นยำในส่วนของเบรกหลัง เพื่อช่วยลดระยะในการเบรก นอกจากนี้ ไฟกระพริบเตือนการหยุดรถกระทันหันยังทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อเตือนรถคันหลังทันทีที่ระบบเบรกเอบีเอสเริ่มทำงาน
ประสิทธิภาพในการลากจูง ความเกาะถนน และเสถียรภาพในการขับขี่ของเรนเจอร์ ใหม่ นับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด ด้วยการติดตั้ง Trailer Sway Mitigation และ Adaptive Load Control หากส่วนของกระบะเริ่มที่จะแกว่ง ระบบจะส่งแรงเบรกไปเพื่อช่วยชะลอความเร็ว และทำให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมแม้ในขณะที่บรรทุกของมาเต็มท้ายรถ ระบบควบคุมการปรับตามน้ำหนักบรรทุกจึงสามารถปรับการทำงานตามน้ำหนักบรรทุกเพื่อควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถตลอดการขับขี่
เช่นเดียวกับรถรุ่นใหม่ของฟอร์ดทุกรุ่น เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบให้มอบความปลอดภัยที่เหนือชั้นแก่ผู้ขับขี่ อาทิ การใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงสูงในโครงสร้างตัวถังเพื่อช่วยปกป้องความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน
วิศวกรของฟอร์ดยังใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการประเมินผลจากการชนอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการทดสอบการชนทั้งคันแบบเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ถึง 9,000 ครั้ง ก่อนที่รถต้นแบบคันแรกจะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบการชนจริงๆ
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ติดตั้งเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันความปลอดภัยหลังการชนใหม่ ซึ่งรวมถึงการที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างได้ในตัวถังทุกแบบเป็นครั้งแรก
เทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ในเรนเจอร์ ใหม่ ประกอบด้วย ระบบช่วยการถอยหลังจอด และกล้องมองภาพด้านหลัง ที่นอกจากจะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังช่วยปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนโดยรวมอีกด้วย
ความสามารถในการบรรทุกไม่ว่าคุณจะต้องการบรรทุกทีมงานสัก 5 คน หรือจะต้องขนอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมทั้งทราย และก้อนกรวด หรือการขนสินค้าเกษตรไปจำหน่ายในต่างจังหวัด ไม่ว่าสัมภาระของคุณจะอยู่ในรูปแบบใด พื้นที่บรรทุกสัมภาระของเรนเจอร์ ใหม่ รุ่นดับเบิลแค็บก็พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้คุณในทุกสถานที่ แม้ว่าคุณจะบรรทุกผู้โดยสารมาแบบเต็มคันรถ
มิติของกระบะท้ายของเรนเจอร์ ใหม่ มีความยาว 1,549 มิลลิเมตร สูง 511 มิลลิเมตร และกว้างสูงสุดสำหรับบรรทุกของได้ 1,560 มิลลิเมตร ขณะที่รุ่นดับเบิ้ลแค็บมีความกว้างเพิ่มขึ้นกว่า 100 มิลลิเมตร และความจุในการบรรทุกสูงสุดถึง 1.21 ลูกบาศก์เมตร
ความกว้างระหว่างฐานล้อของเรนเจอร์ ใหม่ อยู่ที่ 1,139 มิลลิเมตร สำหรับทุกรุ่น นอกจากนี้ บริเวณกระบะท้ายของรถยังได้รับการขยายให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นบริเวณเหนือซุ้มล้อเพื่อรองรับการวางสิ่งของที่มีความยาวเช่นแผ่นไม้ หรือแผ่นยิปซัมให้สามารถวางราบไปได้โดยไม่ติดซุ้มล้อ ความกว้างของประตูท้ายรถที่ด้านบนสุดของกระบะอยู่ที่ 1,330 มิลลิเมตร
การออกแบบใหม่ยกแผง และอีกมากมายที่จะตามมาไม่บ่อยนักที่ทีมวิศวกรและนักออกแบบจะมีโอกาสสร้างสรรค์รถกระบะคันหนึ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก และเรนเจอร์ ใหม่ ก็นับเป็นบทพิสูจน์ความท้าทายที่ฟอร์ดได้เปิดโอกาสให้ทีมงานแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่
ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีนับจากนี้ เรนเจอร์ ใหม่ จะเดินหน้าสู่สายการผลิต และจะเป็นรถที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถกระบะในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่โดดเด่น ความประณีตและความสะดวกสบายในการขับขี่ โครงสร้างตัวถังรถที่รองรับการขับขี่แบบออฟโร้ดได้อย่างเต็มที่ และระบบส่งกำลังที่ประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดมั่นต่อการเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งอย่างแท้จริง
เรนเจอร์ ใหม่ จะได้รับการผลิตในโรงงานหลัก 3 แห่งทั่วโลก ที่พร้อมผลิตรถในปริมาณมาก และตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในภูมิภาคที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การผลิตรถในปริมาณมากที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องนี้ จะเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางปีหน้าที่จังหวัดระยอง ในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตเพื่อจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา ฟอร์ดได้ปฏิรูปโรงงานในประเทศ อาร์เจนติน่า และแอฟริกาใต้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้สามารถตอบสนองความต้องการในภูมิภาคหลักอื่นๆ ได้ในช่วงถัดไปของการเปิดตัว กลยุทธ์การผลิตแบบใหม่ของฟอร์ดที่ใช้โครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คระดับโลกเพียงชุดเดียว จะส่งผลให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ผลิตขึ้นในแต่ละภูมิภาคมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าจะไม่มีแผนการวางจำหน่ายในสหรัฐและแคนาดา แต่เรนเจอร์ ใหม่ จะวางจำหน่ายใน 180 ประเทศทั่วโลก นับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของฟอร์ดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างไกลมากที่สุด เรนเจอร์ ใหม่ จึงสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รถกระบะเป็นรถที่มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ขับขี่ในหลายๆ ภูมิภาคของโลก และฟอร์ด เรนเจอร์ ก็เป็นรถระดับโลกที่มีความสำคัญอย่างมากต่อฟอร์ดเช่นเดียวกัน
เรนเจอร์ยังเป็นตัวแทนที่ชี้ให้เห็นว่า ฟอร์ดสามารถใช้ทรัพยากรระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำงานประจำอยู่ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขณะที่สำนักงานบรอดเมโดว์ คอมเพล็กซ์ ของฟอร์ด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมลเบิร์น ถูกใช้เป็นห้องทำงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์ และสนามทดสอบรถของฟอร์ดในเมืองจีลองที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก็ได้กลายฐานการทำงานหลักให้กับทีมพัฒนารถกระบะเรนเจอร์ระดับโลกของฟอร์ด
“การทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford ช่วยให้เรานำเอาความแข็งแกร่งด้านต่างๆ มาใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์เรนเจอร์ ใหม่” คูแซค กล่าว “การที่รถกระบะขนาดคอมแพ็คมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้คนทั่วโลก เรนเจอร์ ใหม่ จึงถือเป็นรถที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกชิ้นใหม่อันดับต่อไปของเรา”
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เปิดตัวพร้อมความมุ่งมั่นในการเป็นรถกระบะระดับแถวหน้าของตลาด ด้วยพละกำลังและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงความสามารถในการลากจูงอย่างเหนือชั้น นอกจากการคงความแข็งแกร่งซึ่งเป็นเอกลักษ์สำคัญของเรนเจอร์แล้ว กระบะคันใหม่ของฟอรดยังมีพื้นที่ใช้งานกว้างขวาง มอบความสะดวกสบาย มีอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารครบครัน และให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมแบบเดียวกับที่ผู้บริโภคเคยคาดหวังเฉพาะจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเท่านั้น
เรนเจอร์ใหม่ ยังเป็นรถที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดคันหนึ่งเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน นับเป็นความสำเร็จจากการพัฒนาโครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คระดับโลกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford ของฟอร์ด และมาสด้า โครงสร้างตัวถังใหม่นี้จะนำมาแทนที่โครงสร้างตัวถัง 2 ชุดที่ใช้ผลิตอยู่ในปัจจุบัน เพื่อมอบโฉมหน้าใหม่ของกระบะสายพันธุ์แกร่งให้แก่ลูกค้าฟอร์ดทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย เรนเจอร์ ใหม่ จึงเป็นรถกระบะที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน อาทิ การติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลัง (Rearview Camera), Rear Park Assist, Trailer Sway Control และ Adaptive Load Control นอกจากนี้ ฟอร์ดยังวางแผนที่จะเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ ในรถฟอร์ด เรนเจอร์ เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เรนเจอร์ ใหม่ จะได้รับการผลิตเพื่อจำหน่ายใน 180 ประเทศใน 5 ทวีป และมีรายละเอียดให้เลือกหลากหลาย ทั้งตัวถัง 3 รูปแบบ ระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ 2 และ 4 ล้อ ทั้งแบบไฮ-ไรเดอร์ และโลว์-ไรเดอร์ และแยกเป็นรุ่นต่างๆ ถึง 5 รุ่น ขึ้นอยู่กับประเทศที่วางจำหน่าย
รถรุ่นใหม่บนรากฐานแห่งความสำเร็จอันยาวนาน
เกือบ 20 ปีแล้วที่เรนเจอร์สามารถครองตำแหน่งรถกระบะของฟอร์ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก และมอบความทนทานในการใช้งานสมกับการเป็นรถกระบะสไตล์แกร่งของฟอร์ดให้แก่ผู้ขับขี่หลายล้านคน ด้วยความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักและลากจูง รวมทั้งยังสามารถรองรับการขับขี่ในทุกสภาพถนนได้อย่างดีเยี่ยม เรนเจอร์ ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาขึ้นจากรถรุ่นก่อนให้มีความสามารถมากขึ้น และยังได้รับการพลิกโฉมหน้าให้มีความโดดเด่น ทันสมัย และบึกบึนยิ่งขึ้น เพื่อสะท้อนความแข็งแรงและความแกร่งของเรนเจอร์
ด้วยเฟรมรถ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและหลัง และระบบบังคับเลี้ยวใหม่ทั้งหมด เรนเจอร์ ใหม่ จึงมีความสามารถในการรับน้ำหนักและลากจูงมากขึ้น เรนเจอร์ ใหม่ เปิดตัวพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันใหม่ 3 รุ่น ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ฟอร์ด ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ที่ทันสมัยอย่างมาก 2 รุ่น และระบบส่งกำลังแบบ 6 สปีดรุ่นใหม่ที่ช่วยประหยัดน้ำมัน เมื่อเพิ่มเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังและระบบความปลอดภัยเข้าไปแล้ว ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จึงเป็นรถที่โดดเด่นทั้งด้านพละกำลัง การใช้งาน และเป็นรถระดับแถวหน้าของตลาด
ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของเรนเจอร์ ใหม่ สังเกตได้อย่างชัดเจนจากตัวถังภายนอกที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ขับขี่ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้น เรนเจอร์ ใหม่ ยังมอบความสะดวกสบายและความเงียบภายในห้องโดยสาร รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์มากมายและเทคโนโลยีทันสมัยที่ไม่เป็นรองใคร
เรนเจอร์คันแรกที่ได้รับการเปิดตัวในนครซิดนีย์ คือฟอร์ด เรนเจอร์ XLT ดับเบิลแค็บ สีน้ำเงิน (Aurora Blue) ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลประหยัดน้ำมันฟอร์ด ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ รุ่นใหม่ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลัง 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) และให้แรงบิดที่น่าประทับใจถึง 375 นิวตันเมตร
“เรนเจอร์ใหม่ที่เราเผยโฉมเป็นครั้งแรกของโลกในวันนี้ คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงความสำเร็จที่เกิดจากพลังของการทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford” แกรี่ โบส์ ผู้อำนวยการฝ่ายสายการผลิตประจำโครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คใหม่ของฟอร์ด กล่าว
“เรนเจอร์ ใหม่ ตอบสนองต่อความต้องการของเจ้าของรถกระบะทั่วโลกได้อย่างรอบด้าน จากการออกแบบและผลิตด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์เหนือชั้น เรนเจอร์ ใหม่ ยังผ่านการทดสอบในสภาวะที่ต้องใช้ความทนทานสูงสุดมาแล้วภายใต้สภาพแวดล้อมของการทดสอบสุดโหดใน 5 ทวีปทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ถึงการเป็นรถที่พร้อมใช้งานทั่วโลกอย่างแท้จริง เรนเจอร์เป็นรถที่มอบความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ และได้รับความไว้วางใจจากผู้ขับขี่ทั่วโลกเช่นกัน” โบส์ กล่าว
เพื่อตอบสนองต่อการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละมุมโลก ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จึงมาพร้อมตัวเลือกครบครัน ตั้งแต่รถกระบะเพื่อการใช้งานแบบเรียบง่าย ไปจนถึงรถรุ่นสูงๆ เช่น เรนเจอร์ ลิมิเต็ด และเรนเจอร์ ไวลด์แทรค ซึ่งยังไม่ได้รับการเปิดตัวในขณะนี้
การออกแบบที่เหนือชั้นของฟอร์ดยังได้รับการบรรจุเอาไว้ภายในห้องโดยสาร ด้วยการผสมผสานรูปลักษณ์ที่ตองสนองต่อสรีระของผู้ใช้งานแบบเดียวกับเครื่องมือก่อสร้างของ DEWALT®1 และการปกป้องอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ภายใต้เปลือกหุ้มที่ทันสมัยแบบเดียวกับนาฬิกา G-Shock®2 นักออกแบบขอบฟอร์ดจึงได้รับแรงบันดาลใจในการผสมผสานรูปทรงที่สวยงามเข้ากับการใช้ประโยชน์ของอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว และสร้างความมั่นใจว่า ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นอุปกรณ์ทั้งหมดภายในรถได้อย่างชัดเจน
ภายในห้องโดยสาร แผงวัสดุต่างๆ ได้รับการออกแบบให้สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้แผงหน้าปัดแบบธรรมดาที่ประกอบนอกสายการผลิต และติดตั้งในรถอย่างไม่ซับซ้อน ดังนั้น แม้ว่าแผงวัสดุต่างๆ จะได้รับการออกแบบให้มีความหลากหลาย ทว่า แต่ละชิ้นส่วนสามารถถอดเปลี่ยนกันได้อย่างง่ายดาย
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของรถได้รับความใส่ใจเพื่อให้มีคุณภาพและมีความประณีตในทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัสของวัสดุภายในห้องโดยสารหรือการเลือกเฉดสีต่างๆ ทุกชิ้นส่วนของรถบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกที่หรูหราภายในห้องโดยสารของเรนเจอร์ ใหม่
บนแผงหน้าปัดของเรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบให้รองรับการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ ที่แยกย่อยออกจากกัน อาทิ วิทยุ ฮีทเตอร์ และระบบระบายอากาศ เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารถจะได้รับการประกอบอย่างมีคุณภาพและไม่มีช่องว่างต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์
เดบบี ปาสโก ผู้จัดการฝ่ายสีและการตกแต่งของฟอร์ด เผยว่า วัสดุที่เลือกมาใช้ภายในห้องโดยสารทั้งหมดจะต้องมีความทนทานมากเป็นพิเศษ เบาะจะต้องนั่งสบายและในขณะเดียวกัน ยังต้องสามารถรองรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย
วัสดุภายในห้องโดยสารจะต้องทนทานต่อการใช้งานหนักและความรุนแรงต่างๆ ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอื่นๆ วัสดุสำหรับเบาะนั่งจะต้องทนทานต่อการวางหรือโยนเครื่องมือเข้ามาในห้องโดยสาร หรือบางครั้งผู้ขับขี่ก็ลืมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้ที่กระเป๋าด้านหลังเบาะ แผงประตูจะต้องไม่ครูดหรือถลอกได้ง่ายเมื่อถูกรองเท้าบู๊ตเปื้อนดินข่วน นอกจากนั้น ผู้ขับขี่รถกระบะยังมองหารถที่มีห้องโดยสารที่ดูสวยงามและมอบความสะดวกสบายสำหรับการใช้ในชีวิตส่วนตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
สำหรับเรนเจอร์ ใหม่ รุ่นดับเบิลแค็บ เบาะนั่งด้านหลังสามารถจุผู้โดยสารได้ 3 คนอย่างสบายๆ ระยะห่างของเข่าและเท้าระหว่างเสากลางไปจนถึงเบาะด้านหลังมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ การเข้า-ออกจากรถจึงเป็นเรื่องสะดวกสบายอย่างมากสำหรับผู้โดยสารที่นั่งเบาะหลัง
พื้นที่เก็บของที่เหลือเฟือยังเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของเรนเจอร์ ใหม่ ด้วยช่องเก็บของต่างๆ สูงสุดถึง 20 ช่อง ช่องเก็บของด้านข้างประตูทั้ง 4 บานของรุ่นดับเบิลแค็บมีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ขวดน้ำ และในบางรุ่น แผงคอนโซลกลางที่ลึกกลงไปยังช่วยเก็บความเย็นให้กับเครื่องดื่มของคุณได้อีกด้วย ช่องเก็บของด้านหน้ารถมีขนาดใหญ่พอสำหรับใส่คอมพิวเตอร์พกพาได้ และบนคอนโซลยังมีช่องเล็กๆ สำหรับวางโทรศัพท์เคลื่อนที่และของกระจุกกระจิกต่างๆ
ใต้ที่นั่งด้านหลังมีช่องเก็บของส่วนตัวซ่อนอยู่เพื่อใช้เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของชิ้นเล็กๆ ขณะที่เรนเจอร์ ดับเบิลแค็บบางรุ่นมีที่วางแก้วน้ำ 2 ใบ ติดตั้งอยู่ในที่เท้าแขนตรงกลางเบาะนั่งด้านหลัง
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของเรนเจอร์ ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าน้ำมัน ชิ้นส่วนต่างๆ มากมายจึงได้รับการออกแบบให้ช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยการทดสอบรถแบบเสมือนจริงซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งสูตร 1 (ฟอร์มูล่า วัน) เรนเจอร์ ใหม่ ทั้งคันจึงต้องผ่านการทดสอบลักษณะทางอากาศพลศาสตร์แบบเสมือนจริงมาแล้วกว่า 1,000 ครั้งระหว่างการออกแบบรูปทรงของรถ
ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว วิศวกรของฟอร์ดได้แสดงให้เห็นว่าเส้นตัดบริเวณเหนือบังโคลนช่วยแยกทิศทางลมออกจากกันและลดแรงเสียดทานลงได้ ไฟด้านหลังได้รับการติดตั้งแบบแนวตั้งมากขึ้น เสาหน้าได้รับการปรับให้มีขนาดที่เหมาะสม และได้เติมสปอยเลอร์เล็กๆ เข้าไปบริเวณท้ายรถ สปอยเลอร์ใต้กันชนด้านหน้านับว่ามีบทบาทสำคัญในการบังคับทิศทางลมใต้ตัวถังรถ ช่วยให้ลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงได้มาก
“การลดแรงต้านลมนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งเราสามารถเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันได้ตามเป้าหมาย” เมโทรส กล่าว
เรนเจอร์ ใหม่ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะได้รับการติดตั้งชุดเกียร์ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อเข้าสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อได้อย่างง่ายดายจากสวิตช์ที่ติดตั้งอยู่บนคอนโซล หากต้องการเพิ่มแรงบิดหรือแรงเบรกขณะขับลงทางลาด ผู้ขับขี่ยังสามารถเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำได้
เรนเจอร์ ใหม่ ที่ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อเฉพาะรุ่นยังสามารถติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์หรือลิมิตเต็ดสลิปได้ด้วย
ในขณะที่อัตราการประหยัดน้ำมันที่แน่นอนจะได้รับการเปิดเผยในช่วงใกล้กับการเริ่มต้นผลิต ฟอร์ดคาดการณ์ว่า ระบบส่งกำลังของเรนเจอร์ ใหม่ จะช่วยให้รถรุ่นนี้มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีมาก
คุณภาพในการขับขี่และโครงสร้างตัวถังที่ดีขึ้นอีกขั้น
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สร้างความโดดเด่นสะดุดตาให้กับเรนเจอร์ ใหม่ โครงสร้างตัวถังยังนับเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่จะมอบสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ควบคู่กับความสะดวกสบายแบบเดียวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ลดความพยายามในการหมุนพวงมาลัย ให้การบังคับทิศทางที่แม่นยำ และมอบเสถียรภาพในการขับขี่บนถนนที่ดียิ่งขึ้นให้กับเรนเจอร์ ใหม่
ขณะที่ประสิทธิภาพในการขับบนถนนออฟโร้ดได้รับการยกระดับขึ้นด้วยเฟรมตัวถังที่แข็งแรงขึ้น ความสูงของรถจากพื้นอยู่ที่ 232 มิลลิเมตร และส่วนประกอบของระบบส่งกำลังที่ได้รับการยกสูงขึ้นจากเฟรมตัวถังให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
แม้ว่าความกว้างของฐานล้อจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,220 มิลลิเมตร และระยะห่างของล้อจากซ้ายไปขวาที่กว้างขึ้น โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ที่ 1,560 มิลลิเมตร และรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้ออยู่ที่ 1,590 มิลลิเมตร ทั้งด้านหน้าและหลัง แต่เรนเจอร์ ใหม่ ยังมีวงเลี้ยวในระดับที่ช่วยให้สามารถจอดและขับบนถนนแคบๆ ได้สบาย ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็คแอนด์พิเนียนได้รับการออกแบบให้มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และช่วยให้ควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำ
สำหรับด้านหน้า ระบบกันสะเทือนของเรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยคอยล์สปริงในระบบกันสะเทือนใหม่สำหรับรุ่นขับเคลื่อนแบบ 2 และ 4 ล้อมีความคล้ายคลึงกัน และมอบสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้น นอกจากนี้ ยังได้รับการออกแบบให้ทำงานร่วมกับวาล์วแดมเปอร์และอัตราสปริงที่เหมาะสมในแต่ละรุ่นเพื่อชดเชยน้ำหนัก จุดศูนย์ถ่วง และการกระจายแรงขับที่แตกต่างกัน
ทางด้านหลัง ระบบกันสะเทือนได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลและมั่นใจ ด้วยระบบกันสะเทือนหลังที่ได้รับการปรับจูนอย่างละเอียดให้ตอบสนองต่อการขับขี่ในสภาพถนนที่แตกต่างกัน โดยไม่ทำให้ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักมากๆ ลดลงแต่อย่างใด
ในแถบอเมริกาใต้ที่ผู้ขับขี่นิยมการขับบนถนนดินด้วยความเร็วสูง ระบบกันสะเทือนหลังของเรนเจอร์ ใหม่ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการมอบความมั่นคงและมั่นใจจากการแกว่งและการลื่นไหลของรถที่น้อยลงเมื่อขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระ
ฟอร์ดตระหนักถึงความจำเป็นของลูกค้าที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่มักจะต้องเผชิญน้ำท่วมเมื่อฝนตกหนัก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นหลักๆ และท่ออากาศของเรนเจอร์ ใหม่ จึงได้รับการติดตั้งไว้ในตำแหน่งสูงภายในห้องเครื่อง เรนเจอร์ ใหม่ จึงสามารถตะลุยน้ำท่วมได้อย่างน่าประทับใจ
นอกจากนั้น ด้วยชุดเบรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ความสามารถในการหยุดรถของเรนเจอร์ ใหม่ จึงอยู่ในระดับที่เหนือชั้น เรนเจอร์ทุกรุ่นได้รับการติดตั้งจานเบรกขนาดใหญ่ถึง 302x32 มิลลิเมตร และคาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ ซึ่งผลิตขึ้นจาก วัสดุ phenolic เพื่อลดน้ำหนักและช่วยให้ทนความร้อนดียิ่งขึ้น
สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ใช้เบรกหลังแบบดรัมเบรกขนาด 270x55 มิลลิเมตร ขณะที่รุ่นไฮ-ไรเดอร์ และ 4x4 ใช้ดรัมเบรกหลังขนาด 295x55 มิลลิเมตร
ระบบเบรกของเรนเจอร์ได้รับการทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมสุดโหดมาแล้ว และพร้อมตอบสนองต่อทุกสภาพการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในประเทศสวีเดนที่อุณหภูมิติดลบ 30 องศา หรือการขับขี่ภายใต้สภาพอากาศร้อนจัดในแคลิฟอร์เนีย เดด วัลเลย์ ไปจนถึงการขับบนถนนที่มีการจราจรแออัด และบนทางด่วน ออโตบาห์น ของเยอรมนี ไปจนถึงถึงการขับในป่าทึบของออสเตรเลีย
ระบบเบรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกันของเรนเจอร์ ใหม่ สามารถป้องกันอาการเบรกลื่น (Fade resistance) ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่บรรทุกน้ำหนักมาก ขณะที่เบรกของรถอื่นๆ เริ่มลื่นไหลและทำให้ระยะเบรกไกลขึ้น เรนเจอร์ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถยับยั้งการลื่นไหลได้เหนือขึ้นไปอีกระดับ
สำหรับประสิทธิภาพในการเบรก เรนเจอร์จะได้รับการติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program -ESP) ที่รวมถึงระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction control) สำหรับทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งระบบป้องกันรถแฉลบ และลดโอกาสในการพลิกค่ำ
แม้ว่าผู้ขับขี่จะไม่รู้สึกถึงการทำงาน แต่เซ็นเซอร์ของระบบ ESP ที่ได้รับการติดตั้งในเรนเจอร์ ใหม่ จะคอยตรวจจับความเร็วของล้อทั้ง 4 ล้อและเมื่อมีการเร่งความเร็ว หรือในการเบรก หากล้อใดแฉลบออกนอกทิศทาง ระบบจะส่งแรงเบรกไปยังล้อดังกล่าว เพื่อช่วยควบคุมให้รถสามารถทรงตัวได้อย่างปลอดภัย
ภายใต้สภาพการขับขี่สุดโหด ระบบ Traction control จะทำหน้าที่ช่วยลดแรงบิดด้วยการควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ และการจ่ายน้ำมัน
การเบรกที่ปลอดภัยสูงสุดของเรนเจอร์ ใหม่ ยังรวมถึงการทำงานของระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-Lock Brake System -ABS) ให้อยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติทันทีที่มีการเบรกอย่างเฉียบพลัน ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brakeforce Distribution -EBD) ของฟอร์ดยังช่วยรักษาแรงเบรกที่แม่นยำในส่วนของเบรกหลัง เพื่อช่วยลดระยะในการเบรก นอกจากนี้ ไฟกระพริบเตือนการหยุดรถกระทันหันยังทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อเตือนรถคันหลังทันทีที่ระบบเบรกเอบีเอสเริ่มทำงาน
ประสิทธิภาพในการลากจูง ความเกาะถนน และเสถียรภาพในการขับขี่ของเรนเจอร์ ใหม่ นับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด ด้วยการติดตั้ง Trailer Sway Mitigation และ Adaptive Load Control หากส่วนของกระบะเริ่มที่จะแกว่ง ระบบจะส่งแรงเบรกไปเพื่อช่วยชะลอความเร็ว และทำให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมแม้ในขณะที่บรรทุกของมาเต็มท้ายรถ ระบบควบคุมการปรับตามน้ำหนักบรรทุกจึงสามารถปรับการทำงานตามน้ำหนักบรรทุกเพื่อควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถตลอดการขับขี่
เช่นเดียวกับรถรุ่นใหม่ของฟอร์ดทุกรุ่น เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบให้มอบความปลอดภัยที่เหนือชั้นแก่ผู้ขับขี่ อาทิ การใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงสูงในโครงสร้างตัวถังเพื่อช่วยปกป้องความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน
วิศวกรของฟอร์ดยังใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการประเมินผลจากการชนอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการทดสอบการชนทั้งคันแบบเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ถึง 9,000 ครั้ง ก่อนที่รถต้นแบบคันแรกจะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบการชนจริงๆ
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ติดตั้งเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันความปลอดภัยหลังการชนใหม่ ซึ่งรวมถึงการที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างได้ในตัวถังทุกแบบเป็นครั้งแรก
เทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ในเรนเจอร์ ใหม่ ประกอบด้วย ระบบช่วยการถอยหลังจอด และกล้องมองภาพด้านหลัง ที่นอกจากจะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังช่วยปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนโดยรวมอีกด้วย
ความสามารถในการบรรทุกไม่ว่าคุณจะต้องการบรรทุกทีมงานสัก 5 คน หรือจะต้องขนอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมทั้งทราย และก้อนกรวด หรือการขนสินค้าเกษตรไปจำหน่ายในต่างจังหวัด ไม่ว่าสัมภาระของคุณจะอยู่ในรูปแบบใด พื้นที่บรรทุกสัมภาระของเรนเจอร์ ใหม่ รุ่นดับเบิลแค็บก็พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้คุณในทุกสถานที่ แม้ว่าคุณจะบรรทุกผู้โดยสารมาแบบเต็มคันรถ
มิติของกระบะท้ายของเรนเจอร์ ใหม่ มีความยาว 1,549 มิลลิเมตร สูง 511 มิลลิเมตร และกว้างสูงสุดสำหรับบรรทุกของได้ 1,560 มิลลิเมตร ขณะที่รุ่นดับเบิ้ลแค็บมีความกว้างเพิ่มขึ้นกว่า 100 มิลลิเมตร และความจุในการบรรทุกสูงสุดถึง 1.21 ลูกบาศก์เมตร
ความกว้างระหว่างฐานล้อของเรนเจอร์ ใหม่ อยู่ที่ 1,139 มิลลิเมตร สำหรับทุกรุ่น นอกจากนี้ บริเวณกระบะท้ายของรถยังได้รับการขยายให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นบริเวณเหนือซุ้มล้อเพื่อรองรับการวางสิ่งของที่มีความยาวเช่นแผ่นไม้ หรือแผ่นยิปซัมให้สามารถวางราบไปได้โดยไม่ติดซุ้มล้อ ความกว้างของประตูท้ายรถที่ด้านบนสุดของกระบะอยู่ที่ 1,330 มิลลิเมตร
การออกแบบใหม่ยกแผง และอีกมากมายที่จะตามมาไม่บ่อยนักที่ทีมวิศวกรและนักออกแบบจะมีโอกาสสร้างสรรค์รถกระบะคันหนึ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก และเรนเจอร์ ใหม่ ก็นับเป็นบทพิสูจน์ความท้าทายที่ฟอร์ดได้เปิดโอกาสให้ทีมงานแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่
ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีนับจากนี้ เรนเจอร์ ใหม่ จะเดินหน้าสู่สายการผลิต และจะเป็นรถที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถกระบะในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่โดดเด่น ความประณีตและความสะดวกสบายในการขับขี่ โครงสร้างตัวถังรถที่รองรับการขับขี่แบบออฟโร้ดได้อย่างเต็มที่ และระบบส่งกำลังที่ประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดมั่นต่อการเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งอย่างแท้จริง
เรนเจอร์ ใหม่ จะได้รับการผลิตในโรงงานหลัก 3 แห่งทั่วโลก ที่พร้อมผลิตรถในปริมาณมาก และตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในภูมิภาคที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การผลิตรถในปริมาณมากที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องนี้ จะเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางปีหน้าที่จังหวัดระยอง ในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตเพื่อจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา ฟอร์ดได้ปฏิรูปโรงงานในประเทศ อาร์เจนติน่า และแอฟริกาใต้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้สามารถตอบสนองความต้องการในภูมิภาคหลักอื่นๆ ได้ในช่วงถัดไปของการเปิดตัว กลยุทธ์การผลิตแบบใหม่ของฟอร์ดที่ใช้โครงสร้างตัวถังรถกระบะขนาดคอมแพ็คระดับโลกเพียงชุดเดียว จะส่งผลให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ผลิตขึ้นในแต่ละภูมิภาคมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าจะไม่มีแผนการวางจำหน่ายในสหรัฐและแคนาดา แต่เรนเจอร์ ใหม่ จะวางจำหน่ายใน 180 ประเทศทั่วโลก นับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของฟอร์ดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างไกลมากที่สุด เรนเจอร์ ใหม่ จึงสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รถกระบะเป็นรถที่มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ขับขี่ในหลายๆ ภูมิภาคของโลก และฟอร์ด เรนเจอร์ ก็เป็นรถระดับโลกที่มีความสำคัญอย่างมากต่อฟอร์ดเช่นเดียวกัน
เรนเจอร์ยังเป็นตัวแทนที่ชี้ให้เห็นว่า ฟอร์ดสามารถใช้ทรัพยากรระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำงานประจำอยู่ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขณะที่สำนักงานบรอดเมโดว์ คอมเพล็กซ์ ของฟอร์ด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมลเบิร์น ถูกใช้เป็นห้องทำงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์ และสนามทดสอบรถของฟอร์ดในเมืองจีลองที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก็ได้กลายฐานการทำงานหลักให้กับทีมพัฒนารถกระบะเรนเจอร์ระดับโลกของฟอร์ด
“การทำงานภายใต้แนวคิดแบบ One Ford ช่วยให้เรานำเอาความแข็งแกร่งด้านต่างๆ มาใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์เรนเจอร์ ใหม่” คูแซค กล่าว “การที่รถกระบะขนาดคอมแพ็คมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้คนทั่วโลก เรนเจอร์ ใหม่ จึงถือเป็นรถที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกชิ้นใหม่อันดับต่อไปของเรา”
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 ตุลาคม 2553
วอลโว่“S60” เฉียด3ล้าน
ค่าย “วอลโว่” ลุยตลาดรถหรูปลายปี ส่ง “เอส60 ใหม่” รุ่นนำเข้าทั้งคัน ประเดิมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 203 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันเลื่องชื่อที่อัดมาครบครัน เคาะราคา 2.99 ล้านบาท ทั้งยังเดินแผนรุ่นประกอบในประเทศ คาดพร้อมผลิตจริงปีหน้า
บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมเปิดตัวซีดานหรูรุ่นใหม่ “วอลโว่ เอส60 ” (All New S60) หรือรุ่นโมเดลเชนจ์ ซึ่งถือว่านำเข้ามาเอาใจเศรษฐีไทยอย่างรวดเร็ว เพราะในตลาดโลกเพิ่งเริ่มขายจริงช่วงกลางปีที่ผ่านมา
เจเนอเรชันที่ 2 ของ “เอส60” เผยโฉมครั้งแรกในงาน “เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010” กับรูปลักษณ์สดใหม่รอบคัน โดยยึดแนวทางการออกแบบยุคใหม่ของวอลโว่ที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น ด้านหน้าผสานระหว่างเส้นสายเฉียบคมกับกระจังหน้าทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งทีมออกแบบของวอลโว่เรียกสไตล์แบบนี้ว่า Racetrack Design ส่วนด้านท้ายออกแบบให้แนวเสา C-Pillarลาดเทเพื่อความโฉบเฉี่ยวทันสมัย
ภายในเน้นการออกแบบเรียบหรูและคงไว้ด้วยประโยชน์ใช้สอย ส่วนจุดเด่นอันเป็นจุดขายของวอลโว่ยังอยู่ที่ระบบความปลอดภัยที่ใส่มาไม่อั้น โดยเฉพาะรุ่น “เอส60 ใหม่” นำระบบ"Pedestrian Detection with Full Auto Brake" ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่รถจะหยุดเองอัตโนมัติหากระบบตรวจจับคนเดินถนนพบว่ามีความเสี่ยงที่อาจเกิดการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผู้ขับ หากผู้ขับไม่ทำการหยุดรถ ระบบจะทำการหยุดรถให้โดยอัตโนมัติมีแบบเต็มแรงเบรก
นอกจากนี้ยังมีระบบDAC-Driver Alert Control ซึ่งเป็นระบบตรวจสภาพของผู้ขับ หากมีสัญญาณของอาการง่วงนอนหรือหลับในปรากฏขึ้นมาก็จะแจ้งเตือน รวมถึงBLIS-Blind Spot Information System ระบบแจ้งเตือนถึงสิ่งกีดขวางที่อาจจะอยู่ในมุมอับซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกระจกมองข้างหรือมองหลัง เวลาที่ผู้ขับกำลังจะเปลี่ยนช่องทาง
ด้านเครื่องยนต์เบนซิน2.0T ไดเรกอินเจกชัน ขนาด 1999 ซีซี 4 สูบ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 203 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ (ดูอัลคลัทซ์) 6 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.0 วินาที ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยวอลโว่เคลมไว้ที่ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร
ด้านระบบกันกระเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี Dynamic Stability and Traction Control (DSTC)
สำหรับ “เอส60 ใหม่” วอลโว่นำเข้ามาจากโรงงานเมืองเกนท์ ประเทศเบลเยี่ยม สนนราคา2.99 ล้านบาท ส่วนใครอยากได้ความหรูที่ราคาย่อมเยากว่านี้ ต้องรอรุ่นประกอบในประเทศ ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปีหน้า
"การทำตลาดรถซีเคดียังเป็นนโยบายหลักของวอลโว่ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันนอกจากรุ่นเอส80 และรถอเนกประสงค์รุ่นเอ็กซ์ซี90 แล้ว เรากำลังเจรจาขอประกอบครอสโอเวอร์รุ่นซี60 ในไทยอีกรุ่น ส่วนวอลโว่ เอส60 แม้เบื้องต้นจะเป็นการนำเข้าทาตลาดแบบซีบียู แต่แน่นอนต่อไปจะต้องขึ้นไลน์ประกอบในไทย คาดว่าปีหน้าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ และการทำซีเคดีในไทยจะทำให้ส่วนต่างของราคา ลดลงจากการนำเข้าแบบซีบียูเป็นล้านบาท ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสเป็นเจ้าของรถวอลโว่ได้ง่ายขึ้น" ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”
อย่างไรก็ตามสำหรับงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “เอส60 ใหม่” นับว่าไม่ธรรมดา เพราะ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จะนำไปอวดโฉมที่งาน ELLE Fashion Week 2010 Autumn/Winter ระหว่าง 14-17 ตุลาคมนี้ ณ ลานอเนกประสงค์หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยฉันทนา กล่าวว่า วอลโว่ เอส60 ใหม่ เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี พร้อมความโดดเด่นทางด้านการดีไซน์ซึ่งถูกออกแบบให้มีความโฉบเฉี่ยวกว่า วอลโว่รุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ Naughty Volvo
“ดังนั้นเพื่อให้เหมาะสมกับเป็นแฟชั่นคาร์ เราพร้อมจะเปิดตัว เอส60อย่างยิ่งใหญ่ในงาน ELLE Fashion Week 2010 ในโชว์ชุดพิเศษร่วมกับ Greyhound ภายใต้ชื่อโชว์ชุด The Naughty Volvo Realized by Greyhound ซึ่งจะเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่รถยนต์จะได้ขึ้นมาโลดแล่นบนแฟชั่นรันเวย์ ร่วมกับนางแบบชื่อดังที่สวมใส่ชุดพิเศษที่คัดสรรโดยดีไซน์เนอร์ Greyhound เพื่อวอลโว่ S60 โดยเฉพาะ”ฉันทนา กล่าว
วอลโว่“S60” เฉียด3ล้าน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมเปิดตัวซีดานหรูรุ่นใหม่ “วอลโว่ เอส60 ” (All New S60) หรือรุ่นโมเดลเชนจ์ ซึ่งถือว่านำเข้ามาเอาใจเศรษฐีไทยอย่างรวดเร็ว เพราะในตลาดโลกเพิ่งเริ่มขายจริงช่วงกลางปีที่ผ่านมา
เจเนอเรชันที่ 2 ของ “เอส60” เผยโฉมครั้งแรกในงาน “เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010” กับรูปลักษณ์สดใหม่รอบคัน โดยยึดแนวทางการออกแบบยุคใหม่ของวอลโว่ที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น ด้านหน้าผสานระหว่างเส้นสายเฉียบคมกับกระจังหน้าทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งทีมออกแบบของวอลโว่เรียกสไตล์แบบนี้ว่า Racetrack Design ส่วนด้านท้ายออกแบบให้แนวเสา C-Pillarลาดเทเพื่อความโฉบเฉี่ยวทันสมัย
ภายในเน้นการออกแบบเรียบหรูและคงไว้ด้วยประโยชน์ใช้สอย ส่วนจุดเด่นอันเป็นจุดขายของวอลโว่ยังอยู่ที่ระบบความปลอดภัยที่ใส่มาไม่อั้น โดยเฉพาะรุ่น “เอส60 ใหม่” นำระบบ"Pedestrian Detection with Full Auto Brake" ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่รถจะหยุดเองอัตโนมัติหากระบบตรวจจับคนเดินถนนพบว่ามีความเสี่ยงที่อาจเกิดการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผู้ขับ หากผู้ขับไม่ทำการหยุดรถ ระบบจะทำการหยุดรถให้โดยอัตโนมัติมีแบบเต็มแรงเบรก
นอกจากนี้ยังมีระบบDAC-Driver Alert Control ซึ่งเป็นระบบตรวจสภาพของผู้ขับ หากมีสัญญาณของอาการง่วงนอนหรือหลับในปรากฏขึ้นมาก็จะแจ้งเตือน รวมถึงBLIS-Blind Spot Information System ระบบแจ้งเตือนถึงสิ่งกีดขวางที่อาจจะอยู่ในมุมอับซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกระจกมองข้างหรือมองหลัง เวลาที่ผู้ขับกำลังจะเปลี่ยนช่องทาง
ด้านเครื่องยนต์เบนซิน2.0T ไดเรกอินเจกชัน ขนาด 1999 ซีซี 4 สูบ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 203 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ (ดูอัลคลัทซ์) 6 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.0 วินาที ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยวอลโว่เคลมไว้ที่ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร
ด้านระบบกันกระเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี Dynamic Stability and Traction Control (DSTC)
สำหรับ “เอส60 ใหม่” วอลโว่นำเข้ามาจากโรงงานเมืองเกนท์ ประเทศเบลเยี่ยม สนนราคา2.99 ล้านบาท ส่วนใครอยากได้ความหรูที่ราคาย่อมเยากว่านี้ ต้องรอรุ่นประกอบในประเทศ ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปีหน้า
"การทำตลาดรถซีเคดียังเป็นนโยบายหลักของวอลโว่ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันนอกจากรุ่นเอส80 และรถอเนกประสงค์รุ่นเอ็กซ์ซี90 แล้ว เรากำลังเจรจาขอประกอบครอสโอเวอร์รุ่นซี60 ในไทยอีกรุ่น ส่วนวอลโว่ เอส60 แม้เบื้องต้นจะเป็นการนำเข้าทาตลาดแบบซีบียู แต่แน่นอนต่อไปจะต้องขึ้นไลน์ประกอบในไทย คาดว่าปีหน้าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ และการทำซีเคดีในไทยจะทำให้ส่วนต่างของราคา ลดลงจากการนำเข้าแบบซีบียูเป็นล้านบาท ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสเป็นเจ้าของรถวอลโว่ได้ง่ายขึ้น" ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”
อย่างไรก็ตามสำหรับงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “เอส60 ใหม่” นับว่าไม่ธรรมดา เพราะ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จะนำไปอวดโฉมที่งาน ELLE Fashion Week 2010 Autumn/Winter ระหว่าง 14-17 ตุลาคมนี้ ณ ลานอเนกประสงค์หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยฉันทนา กล่าวว่า วอลโว่ เอส60 ใหม่ เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี พร้อมความโดดเด่นทางด้านการดีไซน์ซึ่งถูกออกแบบให้มีความโฉบเฉี่ยวกว่า วอลโว่รุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ Naughty Volvo
“ดังนั้นเพื่อให้เหมาะสมกับเป็นแฟชั่นคาร์ เราพร้อมจะเปิดตัว เอส60อย่างยิ่งใหญ่ในงาน ELLE Fashion Week 2010 ในโชว์ชุดพิเศษร่วมกับ Greyhound ภายใต้ชื่อโชว์ชุด The Naughty Volvo Realized by Greyhound ซึ่งจะเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่รถยนต์จะได้ขึ้นมาโลดแล่นบนแฟชั่นรันเวย์ ร่วมกับนางแบบชื่อดังที่สวมใส่ชุดพิเศษที่คัดสรรโดยดีไซน์เนอร์ Greyhound เพื่อวอลโว่ S60 โดยเฉพาะ”ฉันทนา กล่าว
วอลโว่“S60” เฉียด3ล้าน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)