05 กุมภาพันธ์ 2553
มาสด้าคึกคัก ในตลาดD-Segment
มาสด้าคึกคัก ในตลาดD-Segment
1-3 มาสด้า 6 ไมเนอร์เชนจ์
น่าจะเรียกว่ามีไม่บ่อยครั้งนักที่มาสด้าจะเตรียมของใหม่เอาไว้เปิดตัวในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยนกันอย่างมาก โดยเฉพาะของใหม่ที่ว่าเป็นรถยนต์รุ่นหลักในตลาด เพราะทิ้งระยะของการเผยข่าวคราวและความเคลื่อนไหวของการเปิดตัวโฉมใหม่ในแบบโมเดลเชนจ์ของ 5 หรือพรีมาซี่ได้ไม่นาน คราวนี้มาถึงคิวของรถยนต์ครอบครัวในกลุ่ม D-Segment อย่างมาสด้า 6 หรืออาเทนซ่าที่จะมีการปรับโฉมตามอายุตลาด
ก่อนที่จะไปถึงรายละเอียดของรถยนต์ใหม่ทั้ง 2 รุ่น หลายคนอาจจะงงถึงเรื่องชื่อรุ่นมาสด้า นับจากปี 2002 เป็นต้นมา มาสด้ามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการเรียกชื่อรุ่นรถยนต์สายพันธุ์หลักในตลาด โดยยังแบ่งเป็น 2 ชื่อสำหรับเวอร์ชัน JDM ที่ขายในตลาดญี่ปุ่น และอีกชื่อซึ่งเป็นตัวเลขสำหรับตลาดทั่วโลกเหมือนเดิม
สำหรับรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของชื่อรุ่นคือ 6 เพื่อทำตลาดแทนที่รุ่น 626 เดิม ส่วนในญี่ปุ่นก็เปลี่ยนชื่อจากคาเปลล่ามาเป็นอาเทนซ่า จากนั้นก็ถึงคิวของรุ่น 3มาแทนที่ 323 ในตลาดโลก ส่วนตลาดญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นแอกเซล่าแทนที่แฟมิเลีย
จากนั้นมาสด้าก็ทยอยเปลี่ยนเรื่อยๆ ซึ่งก็รวมถึงเดมิโอในตลาดโลกที่ถูกแทนที่ด้วยรุ่น 2 ขณะที่เวอร์ชัน JDM สำหรับบ้านตัวเองยังใช้ชื่อเดิม เช่นเดียวกับพรีมาซี่ มินิแวนที่อิงพื้นฐานของรถยนต์ไซส์คอมแพ็กต์ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นชื่อ 5 สำหรับตลาดโลก
สำหรับมาสด้า 5 หรือพรีมาซี่ ถือเป็นโมเดลเชนจ์หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมที่จะมีการเปลี่ยนไปตามรถยนต์รุ่นหลักที่ถูกอิงพื้นฐานในการพัฒนานั่นคือ มาสด้า 3 โดยเป็นมินิแวนแบบ 7 ที่นั่งซึ่งถูกส่งมาทำตลาดในระดับที่รองจากรุ่น MPV และพุ่งเป้าไปที่คู่ปรับในตลาดอย่างฮอนด้า สตรีม และโตโยต้า วิช
ในรุ่นใหม่นี้เป็นสายพันธุ์ที่ 3 นับจากมินิแวนรุ่นนี้เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1999 รูปลักษณ์ภายนอกได้รับอิทธิพลงานออกแบบสไตล์ใหม่ หรือ Design Language ที่เรียกว่า Nagare มาสด้านำมาใช้กับต้นแบบเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2006 แต่ถือเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้กับรถยนต์ในสายการผลิต
4-6 มาสด้า 5 หรือพรีมาซี่มากับการเปลี่ยนโฉมแล้ว
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดเน้นไปที่แบบ 4 สูบเรียงเป็นหลักโดยจะมีทั้งแบบ 1800 ซีซี. และ 2000 ซีซี. ในรุ่นหลังมาพร้อมระบบ i-Stop จะดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่เหมือนกับรถยนต์ไฮบริด และเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกกับมาสด้า 3 ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน เพื่อช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และการปล่อยมลพิษ โดยทั้ง 2 เครื่องยนต์นี้จะจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะซึ่งมีการปรับอัตราทดให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมือง และเน้นไปที่ความประหยัดน้ำมัน
อีกรุ่นที่มีการเตรียมเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันคือ การปรับโฉมของมาสด้า 6 ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ของสายพันธุ์ 6 และเปิดตัวครั้งแรกในในปี 2007 ที่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ซึ่งเมื่อนับดูระยะเวลาในการทำตลาดก็สมควรแก่เวลาของการปรับโฉมกระตุ้นตลาดแล้ว
การปรับโฉมของ 6 ในครั้งนี้สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง เพราะมีการเปลี่ยนทั้งไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้า เช่นเดียวกับด้านท้ายซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไฟท้ายและกันชนท้าย ขณะที่ภายในห้องโดยสารมีการอัพเกรดความหรูด้วยการเปลี่ยนวัสดุสำหรับตกแต่งใหม่ โดยการปรับโฉมครั้งนี้จะมีขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 ตัวถังคือ ซีดาน, สเตชันแวกอน และแฮทช์แบ็ก 5 ประตู
ทางเลือกของเครื่องยนต์ไม่แตกต่างจากเดิม ซึ่งในเวอร์ชันที่ขายในยุโรปจะมากับขุมพลังแบบ 4 สูบเรียงล้วนๆ ทั้งเบนซินที่มีความจุในระดับ 1800-2500 ซีซี. และเทอร์โบดีเซลบล็อกใหม่ 2200 ซีซี. แต่มีระดับความเร้าใจให้เลือก 3 แบบโดยมีกำลังขับเคลื่อนอยู่ระหว่าง 129-180 แรงม้า ส่วนในสหรัฐอเมริกามีเครื่องยนต์บล็อกใหญ่อย่างวี6 3700 ซีซี.ที่ยกมาจากเอสยูวีรุ่น CX-9 เป็นอีกทางเลือกของการขับเคลื่อน
นอกจากนั้นทางมาสด้ายังปรับเซ็ตระบบช่วงล่างใหม่ให้ตอบสนองการขับขี่ที่เร้าใจขึ้น เช่นเดียวกับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป เช่น ไฟหน้าเลี้ยวตามการหมุนของพวงมาลัย หรือระบบช่วยในการออกตัวเมื่ออยู่บนทางลาดชัน หรือ Hill-Launch Assist เหมาะสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา เพราะช่วยลดความเสียวในการถอนคลัตช์ขณะจอดรถติดบนทางลาดชัน
ทั้ง 2 รุ่นมีคิวเปิดตัวพร้อมกันในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 จะมีขึ้นในวันที่ 4-14 มีนาคมนี้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และจากนั้นก็จะเริ่มทยอยขายในตลาดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ส่วนจะมีชื่อของบ้านเรารวมอยู่ด้วยนั้น คงต้องติดตามดูกันต่อไป
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์/http://www.managerweekly.com/
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น