22 กุมภาพันธ์ 2553

Nissan Patrol : ออฟโรดร่างยักษ์


Nissan Patrol : ออฟโรดร่างยักษ์
ตกเป็นข่าวอยู่นานสองนานรวมถึงมีภาพ Spyshot หลุดออกมาให้ติดตามเป็นระยะๆ ในที่สุดสายพันธุ์เอสยูวีร่างยักษ์อย่างเพโทรลของนิสสันที่มีอายุอานามในการทำตลาดมาหลายสิบปีและคลาสสิคพอๆ กับชื่อแลนด์ครูสเซอร์ของโตโยต้า ก็ถูกเปิดตัวออกมาแล้ว เป็นโมเดลเชนจ์ที่พลิกโฉมครั้งสำคัญสู่การผสมผสานระหว่างความหรูหราและความแข็งแกร่ง

ตลาดญี่ปุ่นจะรู้จักกับตัวลุยรุ่นนี้ในชื่อซาฟารี (Safari) และทำตลาดมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แต่สำหรับตลาดโลก ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ที่ออสเตรเลีย, อเมริกาใต้และกลาง, ตะวันออกกลาง นิสสันจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ เพโทรล ซึ่งรุ่นใหม่ล่าสุดนี้เป็นสายพันธุ์ที่ 7 และจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นเดิมที่มีอายุในการทำตลาดนานเอาเรื่อง และในเมืองไทย นิสสันก็เคยนำเข้ามาบุกตลาดอยู่พักหนึ่ง

นอกจากนั้น ในรุ่นใหม่นี้ว่ากันว่ามีข่าวพัวพันกับการปรับไลน์อัพของนิสสันในตลาดสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะข่าว (ลือ) ระบุว่า นิสสันอาจจะถอดตัวลุยรุ่นใหญ่อย่างอาร์มาดา หรืออินฟินิตี้ QX65 ออกไป และนำชื่อเพโทรลเข้ามาขายที่เมืองลุงแซมเป็นครั้งแรก โดยตัวรถได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับอาร์มาดา ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Chassis on Frame เพื่อเน้นความแข็งแกร่งและสมรรถนะในการลุย

The Hero Comes Home คือ คำขวัญของเพโทรลใหม่รุ่นนี้เพื่อสื่อให้เห็นถึงการบุกตลาดครั้งใหม่หลังจากที่เงียบหายไปนาน เพราะในเจนเนอเรชันที่ 6 ทำตลาดนานตั้งแต่ปี 1997-2010 โดยตลาดหลักของเพโทรลมุ่งเน้นไปที่ออสเตรเลียและตะวันออกกลางซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตัวลุยรุ่นนี้ โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ซึ่งเพโทรลเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่สามารถขับผ่าน Simpson Desert ในปี 1962

จึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมพัฒนาของนิสสันเลือกที่จะใช้พื้นที่ในตะวันออกกลางและออสเตรเลียเป็นจุดหลักในการพัฒนาตัวลุยรุ่นนี้ เพื่อออกแบบและปรับปรุงตัวรถให้สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของลูกค้ากลุ่มหลัก

ด้วยการผสมผสานทั้งความหรูและความแข็งแกร่งเข้าด้วยกันอย่างลงตัวโดยที่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ในการออกแบบของนิสสันโดยเฉพาะสไตล์ของรูปลักษณ์ด้านหน้า ซึ่งถูกใช้ในตัวลุยรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอสยูวี หรือปิกอัพของนิสสันที่ขายอยู่ในตลาดทั่วโลก

แม้จะเกิดมาเพื่อลุยงานหนักได้ แต่จากการสำรวจของนิสสันพบว่า มีไม่เกิน 15% ของกลุ่มลูกค้าที่จะนำเอสยูวีของตัวเองออกไปใช้งานชนิดบุกป่าฝ่าดงจริง ดังนั้น งานออกแบบภายในจึงเน้นไปที่ความหรูหรามากกว่า โดยเลือกวัสดุชั้นดีในการตกแต่ง เบาะนั่ง 3 แถวสามารถเลือกพับได้ตามความต้องการ และเบาะนั่งแถวที่ 2 มีพื้นที่ช่วงขา หรือ Legroom มากกว่ารุ่นเดิม 100 มิลลิเมตร ทำให้นั่งสบายขึ้น

ตกเป็นข่าวอยู่นานสองนานรวมถึงมีภาพ Spyshot หลุดออกมาให้ติดตามเป็นระยะๆ ในที่สุดสายพันธุ์เอสยูวีร่างยักษ์อย่างเพโทรลของนิสสันที่มีอายุอานามในการทำตลาดมาหลายสิบปีและคลาสสิคพอๆ กับชื่อแลนด์ครูสเซอร์ของโตโยต้า ก็ถูกเปิดตัวออกมาแล้ว เป็นโมเดลเชนจ์ที่พลิกโฉมครั้งสำคัญสู่การผสมผสานระหว่างความหรูหราและความแข็งแกร่ง






ตลาดญี่ปุ่นจะรู้จักกับตัวลุยรุ่นนี้ในชื่อซาฟารี (Safari) และทำตลาดมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แต่สำหรับตลาดโลก ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ที่ออสเตรเลีย, อเมริกาใต้และกลาง, ตะวันออกกลาง นิสสันจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ เพโทรล ซึ่งรุ่นใหม่ล่าสุดนี้เป็นสายพันธุ์ที่ 7 และจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นเดิมที่มีอายุในการทำตลาดนานเอาเรื่อง และในเมืองไทย นิสสันก็เคยนำเข้ามาบุกตลาดอยู่พักหนึ่ง

นอกจากนั้น ในรุ่นใหม่นี้ว่ากันว่ามีข่าวพัวพันกับการปรับไลน์อัพของนิสสันในตลาดสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะข่าว (ลือ) ระบุว่า นิสสันอาจจะถอดตัวลุยรุ่นใหญ่อย่างอาร์มาดา หรืออินฟินิตี้ QX65 ออกไป และนำชื่อเพโทรลเข้ามาขายที่เมืองลุงแซมเป็นครั้งแรก โดยตัวรถได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับอาร์มาดา ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Chassis on Frame เพื่อเน้นความแข็งแกร่งและสมรรถนะในการลุย





The Hero Comes Home คือ คำขวัญของเพโทรลใหม่รุ่นนี้เพื่อสื่อให้เห็นถึงการบุกตลาดครั้งใหม่หลังจากที่เงียบหายไปนาน เพราะในเจนเนอเรชันที่ 6 ทำตลาดนานตั้งแต่ปี 1997-2010 โดยตลาดหลักของเพโทรลมุ่งเน้นไปที่ออสเตรเลียและตะวันออกกลางซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตัวลุยรุ่นนี้ โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ซึ่งเพโทรลเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่สามารถขับผ่าน Simpson Desert ในปี 1962

จึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมพัฒนาของนิสสันเลือกที่จะใช้พื้นที่ในตะวันออกกลางและออสเตรเลียเป็นจุดหลักในการพัฒนาตัวลุยรุ่นนี้ เพื่อออกแบบและปรับปรุงตัวรถให้สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของลูกค้ากลุ่มหลัก





ด้วยการผสมผสานทั้งความหรูและความแข็งแกร่งเข้าด้วยกันอย่างลงตัวโดยที่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ในการออกแบบของนิสสันโดยเฉพาะสไตล์ของรูปลักษณ์ด้านหน้า ซึ่งถูกใช้ในตัวลุยรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอสยูวี หรือปิกอัพของนิสสันที่ขายอยู่ในตลาดทั่วโลก

แม้จะเกิดมาเพื่อลุยงานหนักได้ แต่จากการสำรวจของนิสสันพบว่า มีไม่เกิน 15% ของกลุ่มลูกค้าที่จะนำเอสยูวีของตัวเองออกไปใช้งานชนิดบุกป่าฝ่าดงจริง ดังนั้น งานออกแบบภายในจึงเน้นไปที่ความหรูหรามากกว่า โดยเลือกวัสดุชั้นดีในการตกแต่ง เบาะนั่ง 3 แถวสามารถเลือกพับได้ตามความต้องการ และเบาะนั่งแถวที่ 2 มีพื้นที่ช่วงขา หรือ Legroom มากกว่ารุ่นเดิม 100 มิลลิเมตร ทำให้นั่งสบายขึ้น






เครื่องยนต์มาพร้อมกับความไม่เกรงใจกับราคาน้ำมัน เพราะที่เปิดตัวออกมานี้มีทางเลือกเดียวเป็นขุมพลังรหัส VK56VD ที่ได้รับการปรับปรงจากบล็อกของอาร์มาดา (VK56DE) เป็นแบบวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 5,600 ซีซี ที่มาพร้อมกับระบบวาล์วแปรผัน VVL-Variable Valve event and Lift และระบบเบนซินไดเร็กต์อินเจ๊กชัน DIG (Direct Injection Gasoline) ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า (แบบเดิม 317 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 56.0 กก.-ม. (แบบเดิม 53.1 กก.-ม.) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ซึ่งมีการปรับอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้นจากรุ่นเดิมเพื่อตอบสนองในการด้านกำลังทั้งออนโรดและออฟโรดได้ดีขึ้น

ส่วนของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนิสสันเผยว่ามีการติดตั้งระบบใหม่ที่เรียกว่า ALL MODE 4X4 ซึ่งให้ความสะดวกในการเลือกใช้รูปแบบของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งจะมีการปรับทั้งอัตราทดของเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อและการตอบสนองลิ้นปีผีเสื้อของเครื่องยนต์ให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทางด้วยโหมด 4 แบบ คือ ขับในทราย (Sand), บนทางเรียบ (On-Road), บนหิมะหรือทางลื่น (Snow) และบนหิน (Rock) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานและคนขับไม่ต้องมานั่งเดาว่าสภาพเส้นทางแบบนี้ควรใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4Hi หรือ 4Lo ดี

สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ติดตั้งเข้ามาและมีความน่าสนใจ คือ Hydraulic Body Motion Control System (HBMC) หรือระบบควบคุมการทรงตัว ซึ่งจะช่วยควบคุมอาการโคลงตัวไปมาของตัวถังในระหว่างที่มีการเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้ง รวมถึงการขับบนเส้นทางออฟโรดที่จะต้องโยนตัวไปมา ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อโดยด้านหลังเปลี่ยนจากคานแข็งในรุ่นเดิมเพื่อให้มีรูปแบบที่สอดคล้องกับระบบ HBMC

นอกจากนั้น ยังมีระบบแจ้งเตือนลมยางอ่อน หรือ Tyre Pressure Monitor System (TPMS) และHill Start Assist and Hill Descent Control ซึ่งช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการออกตัวบนทางลาดชัน และการขับรถลงจากทางลาดชันมากๆ เพราะระบบจะล็อกความเร็วเอาไว้ไม่เกิน 7 กิโลเมตร/ชั่วโมงเมื่ออยู่ในโหมด 4H และ 4 กิโลเมตร/ชั่วโมงในโหมด 4L
แฟนๆ ของนิสสันที่กำลังมองหาตัวลุยระดับหรูเอาไว้ใช้งานก็อดใจรอกันได้อีกไม่นาน เพราะคาดว่านิสสันจะส่งเพโทรลใหม่ออกขายในตลาดทั่วโลกภายในกลางปีนี้ ส่วนราคาจะอยู่ที่เท่าไร ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาตอนนี้


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น