Hyunda Sonata Hybrid เปิดตลาดท้าชนคัมรี่ ไฮบริด
ตลาดรถยนต์ลูกผสม หรือ Hybrid Car ในสหรัฐอเมริกาเริ่มคึกคักกันมากขึ้น เมื่อทางฮุนไดจัดการเผยโฉมทางเลือกใหม่ในตลาดด้วยการจับเอาซีดานครอบครัวสายพันธุ์โซนาตารุ่นใหม่ล่าสุดมาแต่งหน้าทาปากใหม่ให้แตกต่างจากรุ่นธรรมดา พร้อมเปิดฝากระโปรงหน้าจับเครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดลงไปประจำการ โดยจะเริ่มทำตลาดในเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้
การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของโซนาตารุ่นใหม่ล่าสุดในรหัส YF ที่เปิดตัวขายเมื่อปลายปี 2009 พร้อมกับระบบไฮบริดรุ่นใหม่ของฮุนไดที่เรียกว่า Hybrid Blue Drive โดยจะเป็นคู่ปรับโดยตรงของฟอร์ด ฟิวชัน และโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด
ระบบไฮบริดของฮุนไดเป็นแบบ Parallel ที่สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งแบบเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือทั้ง 2 ส่วนช่วยในการขับเคลื่อนซึ่งกันและกัน และทางฮุนไดบอกว่าระบบนี้เป็นระบบแรกและระบบเดียวในโลกที่ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม โพลีเมอร์ ซึ่งตามปกติแล้ว รถยนต์ไฮบริดส่วนใหญ่จะใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิล เมทัล ไฮดราย แต่ก็มีส่วนน้อยที่ใช้แบบลิเธียม ไอออน
ฮุนไดเผยว่าแบตเตอรี่แบบลิเธียม โพลีเมอร์ที่ผลิตโดยทาง LG Chem ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ทางด้านแบตเตอรี่ให้กับเชฟโรเลต โวลต์ด้วยนั้น มีจุดเด่นเรื่องของขนาดที่เล็กลงแต่ให้ประสิทธิภาพในการเก็บกระแสไฟฟ้าที่ดี แถมยังมีการระบายความร้อนที่ดี ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ในระหว่างการใช้งานเหมือนกับแบตเตอรี่แบบอื่นๆ
น้ำหนักของชุดแพ็คแบตเตอรี่ขนาด 270 โวลต์/5.7 แอมป์ของโซนาตา ไฮบริดมีน้ำหนักเพียง 95 ปอนด์ หรือ 43.2 กิโลกรัม ขณะที่ของคัมรี่มีน้ำหนักถึง 123.9 ปอนด์ (56.3 กิโลกรัม) และทางฮุนไดกล้ารับประกันการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี หรือระยะทาง 150,000 ไมล์ (241,350 กิโลเมตร)
ส่วนประกอบของระบบ Hybrid Blue Drive มีเครื่องยนต์สันดาปภายในรหัส Theta II แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,400 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CVVT-Continuously Variable Valve Timing ที่มีการปรับระบบการเผาไหม้มาเป็นแบบ Atkinson Cycle เหมือนกับเครื่องยนต์ ระบบไฮบริดของโตโยต้า ทำให้ช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันขึ้นจากเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเดิมๆ มีกำลังสูงสุด 169 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 21.5 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบต่อนาที
ส่วนเรี่ยวแรงที่หายไปในช่วงรอบต้นๆ ของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบการเผาไหม้แบบนี้จะถูกแทนที่ด้วยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 30 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 20.8 กก.-ม. โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งแทนที่ในตำแหน่งทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ของเกียร์แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะรุ่นใหม่ และมีสมองกลควบคุมการทำงานของระบบเป็นรุ่น HPC หรือ Hybrid Power Control ซึ่งเมื่อทั้ง 2 ส่วนทำงานร่วมกัน จะมีการผลิตกำลังออกมาสูงสุด 209 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 26.9 กก.-ม.
ขณะที่ในโหมด EV ซึ่งขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่นั้น ตัวรถสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุดถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่า EV Mode ในรถยนต์ไฮบริดคู่แข่ง ส่วนระยะทางที่แล่นได้ แม้ว่าฮุนไดไม่ได้บอก แต่เชื่อว่าคงจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ประมาณ 2 กิโลเมตร ก่อนกระแสไฟฟ้าจะหมด และปลุกให้เครื่องยนต์ตื่นขึ้นมาทำงานแทน
นอกจากระบบไฮบริดที่ไฮเทคกว่าคู่แข่งแล้ว ทางฮุนไดยังมีการปรับปรุงในส่วนของตัวรถโดยรวมอีกด้วยซึ่งนอกจากจะเพื่อให้เกิดความแตกต่างจากโซนาต้ารุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาแล้ว ยังหวังผลในเรื่องการลดการต้านของลมระหว่างขับเคลื่อน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมัน
โครงสร้างตัวถังยังเหมือนเดิม แต่ก็มีการปรับปรุงรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ เปลี่ยนไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้า และกันชนหน้า-หลัง โดยมีเป้าหมายในการลดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd ของตัวรถ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันขึ้น และโซนาตา ไฮบริดจะมีค่า Cd อยู่ที่ 0.25
อีกทั้งยังมีการลดน้ำหนัก และทำให้โซนาตา ไฮบริดกลายเป็นรถยนต์ไฮบริดในกลุ่ม D-Segment ที่มีน้ำหนักตัวน้อยที่สุด ด้วยตัวเลข 3,457 ปอนด์ หรือ 1,571 กิโลกรัม เบากว่าคู่ปรับอย่างฟอร์ด ฟิวชั่น ไฮบริดร่วม 263 ปอนด์ หรือ 119 กิโลกรัมเลยทีเดียว
จากการผสมผสานทั้งเทคโนโลยีและการปรับปรุงในส่วนต่างๆ ของตัวรถ ทำให้ความประหยัดน้ำมันจากการทดสอบของฮุนไดมีตัวเลขอยู่ที่ 37 ไมล์ต่อแกลลอน (14.9 กิโลเมตรต่อลิตร) สำหรับการวิ่งในเมือง และ 39 ไมล์ต่อแกลลอน (15.8 กิโลเมตรต่อลิตร) สำหรับนอกเมือง
การเปิดตัวมีขึ้นครั้งแรกในงาน “นิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2010 “ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนการผลิตขายในตลาดคงต้องรอจนถึงช่วงปลายปีนี้ โดยคาดว่าจะมีขายทั้งตลาดเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่สำหรับรถยนต์ไฮบริด ส่วนบ้านเราจะมีด้วยหรือไม่นั้น คงต้องรอดูเมื่อถึงเวลาที่ฮุนไดเปลี่ยนโฉมโซนาตารุ่นปัจจุบันมาเป็นรุ่นใหม่ในรหัส YF
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น