04 กุมภาพันธ์ 2553

2 รถต้นทุนต่ำ เพื่อตลาดเกิดใหม่

2 รถต้นทุนต่ำ เพื่อตลาดเกิดใหม่
นับจากการบูมของตลาดรถยนต์จีนในช่วงต้นๆ ของยุค 2000 ต้องยอมรับว่าตลาดรถยนต์เกิดใหม่ผุดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกจับตามอง ตลาดอย่างรัสเซีย, อเมริกาใต้, แอฟริกาใต้ หรืออย่างอินเดียมีอัตราการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ต่อปีในอัตราส่วนแบบก้าวกระโดด ซึ่งหมายถึงระดับความต้องการรถยนต์ในรถยนต์ของผู้บริโภคในประเทศที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำคัญคือ ด้วยจำนวนประชากรของประเทศหรือภูมิภาคเหล่านี้มีจำนวนมากในระดับร้อยล้านคนปลายๆ หรือพันล้านคนต้นๆ แม้ในตอนนี้กำลังซื้ออาจจะยังไม่มาก แต่ถ้าในอนาคตเศรษฐกิจดีขึ้น ด้วยจำนวนประชากรที่มากย่อมมีความได้เปรียบในเชิงของจำนวนและโอกาสในการเพิ่มตัวเลขยอดขาย ยกตัวอย่างเช่น ทางอินเดีย ในตอนนี้เป็นตลาดรถยนต์นั่งที่มียอดขายเป็นอันดับ 11 ของโลก แต่ในปี 2016 พวกเขาตั้งเป้าว่าจะต้องขยับตัวเองขึ้นไปติดเป็นอันดับ 7 ของโลกให้ได้

จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต่างเข้าไปก่อสร้างโรงงาน รวมถึงการพัฒนาโปรเจ็กต์ผลิตรถยนต์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศเหล่านี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ หรือเรียกกันว่า Low Cost Car

เพราะด้วยจำนวนประชากรที่มากทำให้มีความคุ้มค่าที่จะเสี่ยงลงทุนพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉพาะ แถมยังสามารถส่งออกไปขายยังตลาดแห่งอื่นที่เป็นตลาดเกิดใหม่ได้อีกด้วย หรืออาจจะส่งกลับไปขายยังประ เทศของตัวเองเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการใช้รถยนต์จริงๆ

อย่างในงานนิวเดลี มอเตอร์โชว์ หรือ Auto Expo ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา (และจะจัดงานไปจนถึงวันที่ 11 มกราคม) ฮอนด้า และโตโยต้าต่างพร้อมใจกันเปิดตัวรถยนต์ราคาประหยัดของตัวเอง ซึ่งรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้เกิดมาเพื่อเจาะตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย และก็ว่ากันว่าจะกลายมาเป็น Eco Car สำหรับขายในเมืองไทยด้วยเช่นกัน

จากรายงานของเว็บไซต์อย่าง autoblog ระบุว่า รถยนต์ทั้ง 2 คันนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อตลาดอินเดียโดยเฉพาะ แต่ด้วยเหตุผลที่อินเดียเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง ก็เลยใช้เวทีแห่งนี้ในการเปิดตัว ซึ่งรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้เมื่อมีการผลิตออกขายจริงแล้วจะมีราคาอยู่ในระดับ 500,000 รูปี หรือ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือไม่เกิน 350,000 บาท

แม้จะไม่ใช่รถยนต์ซูเปอร์ประหยัดเหมือนอย่างทาทา นาโน มีราคาเริ่มต้นในอินเดียเพียง 80,000 กว่าบาท หรือโปรเจ็กต์รถยนต์เพื่อคนยากอย่างที่มารูติ ผู้ผลิตรถยนต์ในอินเดียอีกรายกำลังทำอยู่ แต่นี่คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์เกิดใหม่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยการพัฒนารถยนต์ใหม่ขึ้นมาสักรุ่นเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าในประเทศเหล่านี้

จริงอยู่ที่ในช่วงที่ผ่านมา การให้ความสนใจกับตลาดรถยนต์เกิดใหม่ไม่ใช่เรื่องใหม่สด แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ก็มักใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการนำรถยนต์ของตัวเองที่เป็นโมเดลตกรุ่นในตลาดโลกมาผลิตขายในประเทศเหล่านี้ หรือไม่ก็ไปเทคโอเวอร์แบรนด์รถยนต์ในประเทศต่างๆ แล้วนำรถยนต์ของแบรนด์นั้นๆ มารีแบรนด์ขาย เหมือนอย่างที่เรโนลต์เข้าไปเทคโอเวอร์ยี่ห้อดาเซียของประเทศโรมาเนีย เพื่อเจาะตลาดรถยนต์ราคาประหยัดด้วยรุ่นโลแกน

ทาทา นาโนที่เปิดตัวในงานนี้เมื่อปี 2008 อาจจะถือว่าเป็นตัวจุดประกายของการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดรุ่นใหม่เพื่อตลาดเกิดใหม่ แต่ด้วยเงื่อนไขที่สุดหินในการควบคุมต้นทุนทั้งหมด ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นจะเดินตามทาทาในการผลิตรถยนต์ป้ายแดงที่ถูกที่สุดในโลกเหมือนกับนาโน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนาโนต้องออกมาขายในตลาดต่างแดน ซึ่งมีความต้องการที่แตกต่างโดยเฉพาะในด้านคุณภาพและความปลอดภัยที่จะต้องมีมากขึ้น ราคาของนาโนก็เลยกระโดดขึ้นมา อย่างเวอร์ชัน Europa ที่จะขายในยุโรปราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000 ปอนด์ หรือ 275,000 บาท สุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับโปรเจ็กต์ Low Cost ของโตโยต้า และฮอนด้า

สำหรับโตโยต้า Low Cost Car รุ่นนี้มาในชื่อ Etios โดยมีขายทั้งตัวถังซีดาน 4 ประตูและแฮทช์แบ็ก 5 ประตู พร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ 1500 ซีซี.และ 1200 ซีซี.รุ่นใหม่ โดยที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1400 ซีซี.เป็นอีกทางเลือก

ขณะที่ของฮอนด้ายังเป็นต้นแบบโดยจัดแสดงในชื่อ New Small Car ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงเวลาขายจริงคงต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดหลักๆ กันอีกครั้ง โดยทางฮอนด้าระบุมาอย่างชัดเจนเลยว่า ไลน์ผลิตของรถยนต์รุ่นนี้อยู่ในอินเดียและประเทศไทย โดยจะเริ่มทำตลาดในปี 2011 ส่วนชื่อรุ่นยังอุบไว้ก่อน ต่างจากโตโยต้าที่เผยออกมาเป็นคันจริงเลย และพร้อมขายแน่ปลายปี 2010

ใครที่สนใจก็เก็บเงินรอกันได้เลย เพราะบ้านเรามีขายแน่ๆ เนื่องจากทั้ง 2 รุ่นถูกเกี่ยวโยงเข้ากับโครงการ Eco Car ส่วนราคาจะเท่าไรนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป และคาดว่าคงไม่น่าจะแพงกว่า 350,000 บาทสักเท่าไร



ที่มา โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000006102

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น