ซูซูกิชักธงสู้ ส่งรถสวิฟท์เสริมแบรนด์
ซูซูกิส่งสัญญาณบุกตลาดรถยนต์อย่างจริงจังอีกครั้ง ด้วยการยึดบริษัทซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อบริหารเองอย่างเบร็ดเสร็จ ขณะเดียวกันก็ส่งรถ New Suzuki Swift ซับคอมแพ็กต์ชนค่ายใหญ่ทั้งฮอนด้าแจ๊ส, โตโยต้ายาริส และมาสด้า 2 ใหม่ หวังกรุยทางตลาดรถยนต์จากโครงการอีโคคาร์ ที่จะตามมาในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับปรับแผนงานบริหารดีลเลอร์ทั้งหมด เพิ่มศักยภาพแบรนด์สู้ศึกตลาดรถยนต์เมืองไทย
หลังจากปล่อยให้บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นในสัดส่วน 60% และกลุ่มตระกูลพรประภา 40% บริหารงานและทำตลาดรถยนต์ซูซูกิในเมืองไทยมานาน ในปีหน้าซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นฯ จะเข้ามาบริหารงานเต็มตัว 100% ซึ่งคาดกันว่า จะทำให้การแผนการทำตลาดของรถยนต์ซูซูกิ ในเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไป
เดิมนั้นรถยนต์ซูซูกิ ใช้งบประมาณการตลาดไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาทางทีวี และนิคยสาร กิจกรรมการตลาดอื่นๆ จะเป็นแบบไดเร็กถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยเฉพาะรถยนต์คอมแพ็กต์เอสยุวี รุ่น แกรนด์ วิทารา และคอมแพ็กต์เอ็มพีวี รุ่น เอพีวี สิ่งที่เพิ่มความเคลื่อนไหวให้กับซูซูกิในตลาดมากขึ้นคือ รถบรรทุกรุ่น แครี่ เป็นการเปิดตลาดรถปิกอัพเป็นครั้งแรก
ปัจจุบัน ซูซูกิ แครี่ ได้รัรบความนิยมมากในระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นรถที่มีขนาดบรรทุกได้มากกว่ารถปิกอัพขนาด 1 ตัวทั่วไป อีกตั้งยังใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจ หรือซื้อเพื่อไปทำธุรกิจ โดยนำรถรุ่นนี้ไปติดตั้งระบบแก๊ส ทั้ง LPG หรือ NGV ซึ่งสะดวกกว่าการซื้อปิกอัพเครื่องยนต์ดีเซลไปติดตั้งระบบแก๊ส เพื่อประหยัดต้นทุนค่าน้ำมันที่สูงโดยตลอด ยอดขายที่สูงขึ้นในตลาดปิกอัพทำให้ซูซูกิ เริ่มมองเห็นทิศทางการเติบโตของแบรนด์ เพราะตัวผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับมากขึ้น
ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่ จึงเป็นอีกโมเดลหนึ่งที่ต่อยอดการสร้างคตวามแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ รถรุ่นนี้เคยทำตลาดอยู่ในเมืองไทยช่วงหลาย 10 ปีก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากตลาดรถยนต์เมืองไทยไม่ยอมรับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งซูซูกิ สวิฟท์เดิมมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร อีกทั้งราคาน้ำมันในช่วงนั้นก็ไม่สูงมาก ผู้บริโภคจึงมองข้ามในเรื่องความประหยัดของรถเก๋ง
สำหรับซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งตัวในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 26 ที่ผ่านมา มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 74 กิโลวัตต์ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 599,000 บาท ในรุ่น GA และ 649,000 บาทในรุ่น GL ด้วยขนาดตัวรถ เครื่องยนต์และราคา สวิฟท์เป็นรถยนต์เซ็กเมนท์ซับคอมแพ็กต์ที่ถูกส่งมาประกบตั้งแต่ฮอนด้า แจ๊ส, โตโยต้า ยาริส รวมถึงมาสด้า 2 ที่พึงเปิดตัวก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์
อย่างไรก็ตามหากว่ากันด้วยเรื่องความแข็งแกร่งของแบรนด์ และเครือข่ายโชว์รูม ศูนย์บริการ ปัจจัยหลักของการทำตลาดรถยนต์ ซูซูกิ ยังตามหลังค่ายใหญ่อยู่อีกมาก และเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุง พร้อมทั้งขยายเครือข่าย ในการรับการเติบโตของแบรนด์รถยนต์ซูซูกิในอนาคต ทาคายูคิ ซูกิยามา ประธานบริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ในเวลานี้ได้โอนถ่ายงานให้บริการหลังการขายและอะไหล่ มาไว้กับ ซูซูกิซูซูกิ ออโตโมบิล เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายสีทีโอเอเป็นดีลเลอร์เพิ่มอีก 1 รายด้วย
ด้านผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะ สวิฟท์ใหม่นั้น ทาคายูคิ กล่าวว่า “ซูซูกิคาดหวังว่า รถยนต์นั่ง สวงิฟท์ใหม่ ที่ผลิตขึ้นภายใต้แนวคิด Suzuki’s Way of Life! จะสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความต้องการความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ซูซูกิมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจเหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค และได้รับการตอบรับที่ดีเหนือความคาดหมาย”
โดยซูซูกิได้วางกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด สำหรับ New Suzuki Swift โดยเจาะกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงาน ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เลือกและทำอะไรโดยไม่ซ้ำแบบใคร เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ใช้ชีวิตในเมือง ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง กล้าคิดกล้าทำสิ่งต่างๆ ตามสไตล์ของตัวเอง ซึ่งซูซูกิได้วางกลยุทธและแผนการตลาดที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไว้แล้ว ทั้งด้านตัวสินค้า ราคา ผู้จำหน่าย และการโฆษณาประชาสัมพันธ์
ขณะที่ วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้จัดการ แผนกการขาย บเกว่า ด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น ซูซูกิเน้นทำการสื่อสารตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายและสร้างกระแสจากส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ โดยมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสาร สื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อออนไลน์ และสื่อส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ซูซูกิจะได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์นั่งของไทย ทั้งนี้ ซูซูกิได้วางเป้าหมายทางการตลาด คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดในเมืองไทย โดยคาดการณ์ยอดขายไว้ที่ 2,000 คัน ภายในปี 2010
สัญญาณรุกครั้งนี้อาจยังไม่สามารถเขย่าบรรลังค์คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ฮอนด้า หรือมาสด้า ได้ในระยะเวลาอันสั้น และด้วยรถยนต์เพียงรุ่นเดียวอย่างสวิฟท์ ซึ่งคงต้องรอการปรากฏตัวอีกครั้งของรถยนต์ที่จะมาจากโรงงานของซูซูกิ ในโครงการอีโคคาร์ ที่ได้ใช้เม็ดเงินลงทุน 7,500 ล้านบาท และจะเริ่มผลิตอย่างเป็นทางการในปี 2555 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยจำนวนกว่า 10,000 คันต่อปี และเมื่อถึงเวลานั้น ซูซูกิ จะอาจจะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมอยากมากก็เป็นได้
ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000154303
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น