07 สิงหาคม 2553

Ford Explorer 4X4 เธอ...เปลี่ยนไป

Ford Explorer 4X4 เธอ...เปลี่ยนไป ฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์ ถือเป็นหนึ่งในเอสยูวียอดนิยมและแต่ละปีมียอดขายนับแสนคันในตลาดสหรัฐอเมริกา...แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคเบ่งบานของตลาดรถยนต์ประเภทนี้ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1990 และต้นๆ ของช่วงทศวรรษ 2000

เพราะหลังจากนั้น ภาพรวมทางด้านยอดขายของตลาดเอสยูวีก็นับวันจะเตี้ยลงๆ เนื่องจากรสนิยมของลูกค้ารุ่นใหม่ๆ เปลี่ยนไป ส่วนลูกค้าเก่าๆ ถึงแม้ว่าอยากจะขับ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสภาพการกินน้ำมันแบบสุดโหดของเอสยูวีสไตล์อเมริกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันก็ขึ้นเอาๆ แบบไม่เกรงใจเงินในกระเป๋า ก็เลยตัดใจต้องถอยฉากดีกว่า
กับสภาพเช่นนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีเอสยูวีขนาดกลางและขนาดใหญ่อยู่ในไลน์อัพรถยนต์ที่ขายในตลาดต่างทราบถึงเรื่องนี้ดี ส่วนการจะพยายามสร้างจุดเด่นทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงให้กลุ่มลูกค้าทั้งรุ่นเก่าและใหม่ให้กลับมาสนใจได้อีกหรือไม่นั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางการตลาด และแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ของแต่ละค่ายว่าจะเด็ดแค่ไหน

ฟอร์ดก็กำลังทำเช่นนี้อยู่กับเอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อดูผ่านๆ อาจจะคิดว่าก็เป็นแค่โมเดลเชนจ์อีกรุ่นของเอสยูวีสายพันธุ์นี้ แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียดจะพบว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจาก 4 เจเนอเรชั่นที่ทำตลาดก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพื้นฐานทางวิศวกรรม ซึ่งดูแล้วเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะจำเป็นเท่าไร

อย่างที่เราทราบกันดีว่า แม้ฟอร์ดจะประสบปัญหาทางด้านการเงินและพยายามฟื้นฟูกิจการของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2006 นับจากนายใหม่อย่าง อลัน มูลัลลี่ เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO และพยายามลดต้นทุนการผลิตและพัฒนารถยนต์มาโดยตลอด แต่เอ็กซ์พลอเรอร์นั้นเดิมแชร์พื้นฐานร่วมกับปิกอัพขนาดกลางรุ่นเรนเจอร์ (คนละแบบกับบ้านเรา) มาโดยตลอด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนพื้นฐานตรงนี้ เพราะปิกอัพเหล่านี้ก็ยังมีขายอยู่ในตลาด และสามารถแชร์พื้นฐานร่วมกันได้

แต่สุดท้ายฟอร์ดกลับเลือกที่จะเปลี่ยนให้เอ็กซ์พลอเรอร์มาใช้พื้นฐานของรถเก๋งขนาดกลางอย่างฟอร์ด ทอรัส หรือลินคอล์น MKS และ MKT ใช้เลย์เอาต์ตัวถังแบบเครื่องยนต์วางขวางด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีจุดเด่นในเรื่องการตอบสนองการขับทั้งสมรรถนะ การยึดเกาะ และความนุ่มนวลบนออนโรดที่ไม่ต่างจากรถเก๋งเพราะใช้พื้นฐานระบบช่วงล่างเดียวกันแบบปีกนกคู่ SLA สำหรับด้านหน้า และอิสระ มัลติลิงก์สำหรับด้านหลัง แต่การลุยบนเส้นทางออฟโรดเป็นรองเอสยูวีที่ใช้แชสซีส์แบบขั้นบันไดของปิกอัพ

ตรงนี้เป็นความกล้าที่จะเสี่ยงมาก เพราะเท่ากับเอาเดิมพันในด้านความเชื่อมั่นของลูกค้าเก่ามาเสี่ยง แต่ถ้ามองอีกมุมก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าจะเสี่ยง เนื่องจากฟอร์ดน่าจะคิดและทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้วว่า กลุ่มลูกค้าของพวกเขาใช้งานเอ็กซ์พลอเรอร์ในแบบไหนมากกว่ากันระหว่าง 'ออนโรด' กับ 'ออฟโรด' และถ้าผลลัพธ์ออกมาอย่างที่เป็นอยู่ในลักษณะนี้ เชื่อว่าคำตอบที่ได้จากลูกค้าน่าจะเป็น 'ออนโรด' ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่ฟอร์ดได้ทำไปแล้วกับเอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่

แน่นอนว่าตรงนี้อาจถูกมองเป็นจุดด้อยสำหรับตัวผลิตภัณฑ์ในการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าอีกกลุ่มที่ยึดมั่นสมรรถนะในการใช้งานแบบออฟโรด แต่ฟอร์ดก็พยายามทำให้เกิดปัญหานี้น้อยที่สุดด้วยการที่ยังใช้คำว่า 'SUV' หรือ Sport Utility Vehicle ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่อไป แทนที่จะเปลี่ยนมาใช้คำว่า Crossover ซึ่งเป็นคำที่ฮอตฮิตสำหรับลูกค้าที่ชอบความอเนกประสงค์ในยุคนี้

นอกจากนั้น อีกประเด็นหลักที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้พื้นตัวถังรุ่นนี้ทำให้เอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่ได้รับอานิสงส์ เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ในรหัส EcoBoost และทำให้เอ็กซ์พลอเรอร์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่กำลังมองหาเอสยูวียุคใหม่ที่มีความประหยัดน้ำมันได้

สำหรับปัจจุบัน ทิศทางของการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน สมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ การใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุต่ำจับคู่กับระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบ หรือไม่ก็ซูเปอร์ชาร์จ พร้อมกับติดตั้งเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย เช่น ระบบ Di หรือระบบวาล์วแปรผัน เข้าไป เพื่อช่วยในการรีดกำลังให้กับเครื่องยนต์ ขณะที่ความประหยัดก็ลดลง

เครื่องยนต์ EcoBoost ที่นำมาใช้เป็นแบบ 4 สูบ 2000 ซีซี. เทอร์โบ พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ Di แต่รีดกำลังออกมาได้มากถึง 237 แรงม้า มากกว่าที่ได้รับจากเครื่องยนต์วี6 4000 ซีซี. วางอยู่ในเอ็กซ์พลอเรอร์รุ่นเดิมถึง 27 แรงม้า และมีขายเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า

แต่ถ้าราคาน้ำมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ฟอร์ดก็มีอีกทางเลือกกับเครื่องยนต์วี6 พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT มีความจุ 3500 ซีซี. แต่สามารถรีดกำลังออกมาได้ 290 แรงม้า ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ได้จากเครื่องยนต์วี8 4600 ซีซี. และมีขายทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อตลอดเวลา

ส่วนจุดเด่นอื่นๆ ของตัวรถ ทางฟอร์ดก็พยายามคงความเป็นเอ็กซ์พลอเรอร์เอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์บึกบึนแข็งแกร่ง ในรุ่นใหม่นี้ถูกประยุกต์มาจากเส้นสายบนตัวถังของต้นแบบรุ่นเอ็กซ์พลอเรอร์ อเมริกาที่เปิดตัวในปี 2008 รวมถึงจำนวนเบาะนั่งในห้องโดยสาร สามารถรองรับทั้งผู้ขับและผู้โดยสารรวม 7 ที่นั่ง ด้วยเบาะนั่งแบบ 3 แถว สามารถพับได้อย่างอเนกประสงค์ตามความต้องการ แต่แต่งเติมความหรูหราในทุกรายละเอียด เพื่อให้เอ็กซ์พลอเรอร์สามารถแข่งขันกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดได้

เปิดตัวออกมาแล้ว พร้อมกับระบุราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 28,190 เหรียญสหรัฐ โดยจะเริ่มทำตลาดและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ในช่วงต้นปีหน้า แต่ในช่วงแรกคงเป็นตลาดอเมริกาเหนือเพียงอย่างเดียว ส่วนประเด็นที่ว่า ความเปลี่ยนแปลงไปของเอ็กซ์พลอเรอร์จะมีอะไรต่อความเชื่อมั่น และส่งผลต่อเนื่องไปยังยอดขายในตลาดหรือไม่นั้น...เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

06 สิงหาคม 2553

เผยโฉม All-New Citroen C4 คอมแพคท์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ก่อนเปิดตัวที่ Paris Motor Show

เผยโฉม All-New Citroen C4 คอมแพคท์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ก่อนเปิดตัวที่ Paris Motor Show Citroen ปล่อยภาพชุดเต็มของ All-New C4 รถ Compact Hatchback 5 ประตู รุ่นปี 2011 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ 1-2 วันก่อนเพิ่งปล่อยภาพชุดแรกออกมาเรียกความสนใจจากตลาดรถในระดับ C-Segment ที่มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Volkwagen Golf, Renault Megane, Ford Focus, Opel Astra และ Toyota Auris All-New C4 มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Paris Motor Show ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้และจะเริ่มลุยตลาดด้วยการบุกยุโรปก่อนตลาดอื่นๆ C4 มีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลอย่างละ 3 รุ่นให้เลือก โดยเครื่องยนต์เบนซินจะมีเวอร์ชั่นที่รองรับ LPG ด้วยอีก 1 รุ่น รุ่นเครื่องยนต์เบนซินได้แก่ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 95 แรงม้า มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 120 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่รองรับการใช้ก็าซ LPG และรุ่นเทอร์โบเบนซิน 1.6 ลิตร 155 แรงม้า ที่ขับเคลื่อนผ่านเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ประกอบด้วยเครื่องยนต์ HDi 1.6 ลิตร 90 และ 105 แรงม้า ที่ใช้เกียร์ธรรมดา และรุ่นเครื่องยนต์ HDi 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล HDi 1.6 ลิตร จะมีเวอร์ชั่น e-HDi ที่มาพร้อมระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ และระบบไมโครไฮบริดแบบใหม่จาก Citroen ที่ใช้กับระบบ Stop & Start เจนเนอเรชั่นล่าสุดด้วย โดยกำลังรถจะเท่ากับของเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร รุ่นมาตราฐาน แต่ประหยัดน้ำมันมากกว่าและปล่อย CO2 สู่อากาศน้อยกว่า (คาดว่าจะอยู่ในระดับ 99 กรัม/กิโลเมตร ในขณะที่รุ่นมาตรฐานจะอยู่ที่ 109 กรัม/กิโลเมตร)

ที่มา autospinn.com

New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive เริ่มขายแล้ววันนี้ที่ญี่ปุ่น

New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive เริ่มขายแล้ววันนี้ที่ญี่ปุ่น ไม่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นรถรุ่นใหม่ๆที่มาพร้อมกับระบบ All-Wheel-Drive (AWD) ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแทนที่จะเป็น option ล่าสุดกรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นกับ Mazda Premacy รุ่นใหม่ที่ชูความสดใหม่ด้วยการใช้ระบบ AMD เป็นจุดขาย Premacy หรือชื่อในตลาดอื่นๆนอกญี่ปุ่นคือ Mazda5 มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ 20E และ 20S ที่มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ทั้งสองรุ่น ขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะMazda เผยว่าผู้ขับขี่สามารถเลือกระบบขับเคลื่อนให้เป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) หรือขับเคลื่อนล้อหลัง (AWD) ได้โดยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว ซึ่งรถอเนกประสงค์ระบบ AWD รุ่นนี้ได้เริ่มมีจำหน่ายแล้ววันนี้ในประเทศญี่ปุ่นในราคาเริ่มต้น 2,109,000 เยน สำหรับรุ่น 20E และ 2,314,000 เยนสำหรับรุ่น 20S ครับ
New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive
New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive

ที่มา: Mazda,autospinn

03 สิงหาคม 2553

“มาสด้า3”ปรับลุคปลุกกระแสให้ดังอีกครั้ง

“มาสด้า3”ปรับลุคปลุกกระแสให้ดังอีกครั้ง หลังปล่อยให้ “มาสด้า2” ออกมาวาดลวดลาย ทำยอดขายกระฉูด ล่าสุดค่าย “ซูม ซูม” ไม่ลืมข้าเก่าเต่าเลี้ยง จัดการกระตุ้นความสดใหม่ให้เก๋งคอมแพกต์ “มาสด้า3” โดยเน้นการปรับโฉมสปอร์ตรอบคัน พร้อมเพิ่มออปชันอำนวยความสะดวก ส่วนราคาขยับตั้งแต่ 6,000 - 31,000 บาทแล้วแต่รุ่น
สำหรับ “มาสด้า 3 ลุคใหม่” แบ่งเป็น 6 รุ่นย่อยเหมือนเดิม แต่การปรับโฉมครั้งนี้ไม่ได้ไปแตะต้องรุ่นล่างสุด “1.6 กรู๊ฟ” ตัวถังซีดาน และคงราคาขายเดิม 755,000 บาท ส่วนรุ่นย่อยอื่นเปลี่ยนแปลงถ้วนหน้า โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 (สปิริต, สปิริต สปอร์ต) ที่มากับชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน ส่วนกันชนหน้าออกแบบใหม่ สปอยเลอร์หลังคาพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม และปลายท่อไอเสียสแตนเลส

ภายในตกแต่งโครเมี่ยมบริเวณช่องแอร์ แผงประตู และเบรกมือ พร้อมเพิ่มช่องต่อ AUX เสียบเครื่องเล่นแบบพกพา รวมถึงติดเซ็นเซอร์ถอยหลังมาเป็นมาตรฐาน (ยกเว้นรุ่น1.6 กรู๊ฟ)
ด้านเครื่องยนต์ MZR คงสมรรถนะเดิม ทั้งขนาด 1.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-มตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) และระบบคันเร่งแบบ Drive-By-Wire ส่วน ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ช่วงล่างอิสระ4 ล้อ (4W Independent Suspension) ด้านหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัท โช้คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ โช้คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ขึ้นชื่อเรื่องการขับขี่สนุกสนานและเกาะถนน
ความปลอดภัยระดับดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and load limiter) แป้นเบรกออกแบบพิเศษสามารถยุบตัวเมื่อเกิดการชนด้านหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ พร้อมการยุบตัวของพวงมาลัยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการกระแทกที่ศีรษะและหน้าอก (Crashable brake pedal, collapsible steering column) รวมถึงถุงลมนิรภัยพร้อมม่านนิรภัยแบบ 8 จุด
สำหรับราคา “มาสด้า 3 ลุคใหม่” รุ่น 1.6 สปิริต 830,000 บาท รุ่น 1.6 สปิริต สปอร์ต (แฮทซ์แบ็ก) 857,000 บาท ส่วน 2.0 แมกซ์ 966,000 บาท และตัวท็อป 2.0 แมกซ์ สปอร์ต (แฮทซ์แบ็ก) 1,035,000 บาท
โดย“โชอิชิ ยูกิ” บอสใหญ่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าการเปิดตัวเก๋ง “มาสด้า3 ลุคใหม่” จะส่งผลให้ยอดขายมาสด้า3 ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 6,000 คัน ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับรถรุ่นอื่นๆ จะดันยอดขายรวมปี 2553 เพิ่มขึ้นถึง 164% หรือ 35,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด5% ของตลาดรถยนต์โดยรวม

“ตลาดรถยนต์ในปีนี้ค่อนข้างคึกคัก หลังจากที่หลายๆค่ายออกมากระตุ้นกันขนานใหญ่ ส่งผลให้ตลาดรวมเพิ่มสูงขึ้นถึง 50% โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์มาสด้าช่วงหกเดือนแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย.2553) ทำได้ 16,895 คัน เพิ่มขึ้น 240% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (4,970 คัน) และจากกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์และคุณภาพรถยนต์ทั้ง 5 รุ่นของมาสด้าที่จำหน่ายในประเทศไทยในเวลานี้ โดยเฉพาะมาสด้า2 ใหม่ และมาสด้า3 ที่ประสานกันดึงลูกค้าเข้าโชว์รูม จนทำให้ยอดขายมาสด้า มีอัตราการเติบโตสูงสุดในตลาดรถยนต์เมืองไทย”

นอกจากนี้มาสด้ายังคาดการณ์ว่าปี 2553 จะเป็นปีทองของตลาดรถยนต์ไทย ด้วยยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะทำได้เกิน 700,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2552 (548,620 คัน) ประมาณ 28%

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์