30 มกราคม 2554

โปรตอน ซาก้า ซีดานรุ่นราคาประหยัด

โปรตอน ซาก้า เป็นรถซีดานรุ่นเล็กที่ทางพระนครออโต้เซลส์นำมาขายในบ้านเราแทนรถคอมแพ็ค 5 ประตู โปรตอน แซฟวี่ โดยสนนราคาค่าตัวของซาก้านั้น เริ่มต้นตั้งแต่ 399,000 บาท ในรุ่นเบสไลน์ เกียร์ธรรมดา และราคา 434,000 บาท สำหรับเกียร์อัตโนมัติ ส่วนรุ่นมีเดียมไลน์ ที่เสริมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งและมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น จะมีราคา 429,000 บาทในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 464,000 บาท ในรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งเป็นซาก้ารุ่นที่เราจะมาลองขับกันในอาทิตย์นี้

นับตั้งแต่แรกเห็นซาก้าเมื่อตอนที่เปิดตัวครั้งแรกจนมาถึงวันที่ได้ลองขับ โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกสะดุดตากับรูปลักษณ์ของรถรุ่นนี้เท่าไร เพราะถ้าเทียบกับบรรดาคู่แข่งในรุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่เพื่อนร่วมค่ายอย่างแซฟวี่แล้ว หน้าตาของ ซาก้าออกจะเรียบร้อยไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่มีการติดชุดแต่งอย่างสปอยเลอร์หลัง แต่ด้วยขนาดที่จุ๋มจิ๋มมากมันเลยดูธรรมดาจนเหมือนไม่มีอะไรโดดเด่น

ส่วนภายในห้องโดยสารด้านหน้ามีขนาดที่กว้างขวาง ประตูเปิดทำมุมได้เกือบ 90 องศา ช่วยให้เข้าออกง่ายไม่มีปัญหา ทัศนวิสัยการมองทั้งหน้าและหลังชัดเจนดี ตัวเบาะนั่งคู่หน้ามีขนาดใหญ่นั่งสบาย การออกแบบตัวคอนโซลหน้าดูคล้าย ๆ กับรุ่นแซฟวี่ เพียงแค่เปลี่ยนช่องแอร์มาใช้แบบกลม ชุดเครื่องเสียงติดรถทันสมัยมากขึ้น สามารถเล่นเอ็มพี 3 ได้และมีช่องยูเอสบีให้ด้วย การควบคุมก็สะดวกมือด้วยปุ่มควบคุมบนก้านพวงมาลัย

ห้องโดยสารด้านหลังมีตัวประตูที่เปิดได้มุมกว้าง ตัวเบาะรองนั่งหลังถูกออกแบบให้มีขนาดที่สั้น และยังปาดมุมตรงส่วนปลายออกเพื่อช่วยให้การเข้าออกง่ายขึ้น ส่วนช่วงเพดานรถที่สูงก็ให้ความรู้สึกสบาย นั่งแล้วไม่ติดหัว ความยาวของตัวเบาะหลังถ้านั่งแค่ 2 คนจะกำลังดี 3 คนอึดอัดหน่อย สำหรับคนที่ชอบรถจุของได้เยอะ ๆ คงจะรู้สึกขัดใจกับเบาะหลังที่พับลงไม่ได้แน่ ๆ เลย

ทางด้านสมรรถนะการขับขี่ พวงมาลัยเพาเวอร์จะหนักไปหน่อยสำหรับการขับในเมืองที่รถติด ๆ แต่ถ้าเป็นช่วงขับนอกเมืองที่ใช้ความเร็วได้สูงขึ้นก็ถือว่าให้ความมั่นคงดี ส่วนทางด้านพละกำลัง ซาก้ามีอัตราเร่งออกตัวได้ว่องไว และยังมีอัตราเร่งแซงที่ดีน่าพอใจในช่วงที่ความเร็วต่ำกว่า 100 กม./ชม. แต่ความเร็วปลายระดับ 120 กม./ชม.ขึ้นไปกลับไม่ค่อยไหลลื่นนัก ความเร็วสูงสุดเท่าที่ทำได้อยู่ประมาณ 160 กม./ชม ซาก้าสามารถใช้น้ำมันอี 20 ได้ ส่วนอัตราการกินน้ำมันเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 10-11 กม./ลิตร

สำหรับการทำงานของระบบช่วงล่าง ที่ช่วงความเร็วต่ำ ๆ หรือขณะวิ่งผ่านถนนขรุขระ จะให้ความรู้สึกนิ่มนวลนั่งสบายดี ส่วนในช่วงที่ใช้ความเร็วสูง ๆ ถ้าเป็นทางตรงก็ยังทรงตัวมั่นคงดีไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นทางโค้งแคบ ๆ รถจะมีอาการโคลงตัวอยู่บ้าง เพราะซาก้าใช้ยางแก้มสูงขนาด 195/60 R14 สำหรับการทำงานของระบบเบรกแบบหน้าดิสก์ หลังดรัมมีประสิทธิภาพดี และแม้จะเบรกอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีระบบเอบีเอส รถก็ไม่เสียการทรงตัว วางใจได้ เสียแต่ว่าตัวเบรกแข็งและแป้นเบรกอยู่ค่อนข้างสูง ทำให้ต้องออกแรงในการเหยียบแป้นเบรกมากไป

สรุปโดยรวมแล้ว ในเรื่องราคาของซาก้าน่าสนใจเสียแต่หน้าตาจืดไปหน่อย ถ้ามีการปรับโฉมโดยใส่ชุดแต่งเพิ่มให้ดุดันกว่านี้ เชื่อว่าน่าจะโดนใจคนวัยเริ่มทำงานขึ้นอีกเยอะ.



ข้อมูลทางเทคนิค โปรตอน ซาก้า มีเดียมไลท์ เกียร์อัตโนมัติ

มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,257/1,680/1,502 มม.

เครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว

ความจุกระบอกสูบ 1,332 ซีซี

กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที

แรงบิดสูงสุด 120 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

เกียร์ อัตโนมัติ 4 จังหวะ

ราคา 464,000 บาท

...........................

สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
ที่มา เดลินิวส์

มินิ คันทรีแมน ปราดเปรียว ขับสนุก

มินิ คันทรีแมน ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับแฟน ๆ มินิในเมืองไทย ด้วยแนวคิดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์แบบครอสโอเวอร์ มีห้องโดยสารกว้างขวางสำหรับผู้ใหญ่ 4 คนนั่งได้อย่างสบาย อีกทั้งยังผสมผสานกับอารมณ์การขับที่สนุกสนานและปราดเปรียวว่องไวในสไตล์รถโกคาร์ท การออกแบบภายในของคันทรีแมนยังมีรูปแบบที่แปลกใหม่สะดุดตา นอกจากจะมีความโดดเด่นแล้วยังมีประโยชน์ใช้สอยลงตัว เช่น นวัตกรรมใหม่สำหรับการจัดเก็บสิ่งของภายในห้องโดยสารได้อย่างชาญฉลาด และในรุ่นมินิ คูเปอร์ เอส ออล 4 คันทรีแมน ยังได้ติดตั้งระบบมินิ คอนเนคเต็ด ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้

อีกทั้งรถรุ่นนี้ยังมุ่งเน้นการขับขี่ในเมืองอย่างปราดเปรียว เปี่ยมด้วยสไตล์และรสนิยมที่โดดเด่นและตอบสนองประโยชน์ใช้สอยด้วยคอนเซปต์ตัวถังแบบ 4 ประตู 4 ที่นั่ง พร้อมด้วยฝาท้ายขนาดใหญ่ที่เปิดได้กว้าง ห้องโดยสารที่สามารถปรับให้แปรเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ เพื่อรองรับความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน

คันทรีแมนมีให้เลือก 2 รุ่นคือ มินิ คูเปอร์ เอส ออล 4 คันทรีแมน เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-5,000 รอบ/นาที และสามารถเพิ่มเป็น 260 นิวตัน-เมตร ในขณะเร่งแซงด้วยฟังก์ชั่นโอเวอร์บูสต์ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และอีกรุ่นคือ มินิ คูเปอร์ คันทรีแมน เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตรที่ 4,250 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สนนราคาอยู่ที่ 3,290,000 และ 2,790,000 บาท.

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

26 มกราคม 2554

Kia KV7 อเนกประสงค์ทรงปีกนกยานยนต์แห่งอนาคต

Kia KV7 อเนกประสงค์ทรงปีกนกยานยนต์แห่งอนาคต เกีย มอเตอร์ เป็นผู้นำเทรนด์ในด้านการออกแบบอีกครั้ง ด้วยฝีมือของการสร้างสรรค์จากหน่วยงานออกแบบในสหรัฐอเมริกา จับเอาความสปอร์ตมาบวกกับความอเนกประสงค์บนตัวถังทรงเหลี่ยมเหมือนกล่อง และจัดแสดงผ่านทางต้นแบบที่ชื่อว่า KV7

KV7 เป็นการนำเสนอไอเดียของการผสมผสานความอเนกประสงค์ของรูปแบบตัวถังทรงเอ็มพีวีให้เข้ากับความสปอร์ต โดยมีการสร้างสรรค์ประตูบานหลังให้ถูกเปิดขึ้นในลักษณะของปีกนกภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า Activity MPV และเป็นผลงานของศูนย์ออกแบบที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
ตรงนี้ถือเป็นความท้าทายในด้านการแตกไอเดียเพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ของยานยนต์สันทนาการที่สามารถตอบรับความต้องการในด้านความอเนกประสงค์ และในขณะเดียวกันก็จะต้องมีความโดดเด่น และสวยสะดุดตาด้วยเช่นกัน และยิ่งท้าทายความสามารถของเกียเพิ่มขึ้นอีก เมื่อทางทอม เคิร์นส์ หัวหน้าทีมออกแบบของเกีย มอเตอร์ อเมริกา เลือกใช้ตัวถังที่เป็นทรงเหลี่ยมเป็นแกนหลักในการต่อยอดการพัฒนา

‘เหมือนกับที่เราเคยประสบความสำเร็จกับการออกแบบของโซล ทำไมเราจะต้องเมินตัวถังในลักษณะนี้ด้วยล่ะ การสร้างสรรค์และเติมความสปอร์ตให้กับตัวถังที่เป็นทรงเหลี่ยมถือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของนักออกแบบ และ KV7 คือ บทสรุปของการสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดของการผสมผสานจุดเด่น 2 อย่าง คือ ความอเนกประสงค์ และความสปอร์ตเข้าไว้ด้วยกัน’ เคิร์นส์กล่าว
KV7 มาในสไตล์เอ็มพีวีแบบ 5 ประตู แต่เด่นตรงที่ประตูบานท้ายถูกเปิดขึ้นในแบบปีกนกเหมือนกับรถสปอร์ตอย่าง SLS AMG ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งตรงนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยและเร้าใจให้กับตัวรถแล้ว ยังเอื้อประโยชน์ในแง่ที่ว่าเป็นการเพิ่มความสะดวกในการเข้าและออกจากห้องโดยสารของผู้โดยสารไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งด้านหน้า หรือแถวที่ 2 อีกด้วย เพราะว่าตัวรถไม่มีเสากลาง หรือ B-Pillar มาคั่นกลางให้เกะกะ
ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกเน้นความสวยและโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบใหม่ซึ่งมาพร้อมกับหลอดแบบ LED ซึ่งเกียเผยว่ากำลังปรับปรุงและพัฒนาระบบไฟหน้าซึ่งใช้หลอด LED เพื่อนำมาติดตั้งให้กับรถยนต์ในสายการผลิตรุ่นใหม่ๆ
ส่วนห้องโดยสารเน้นความปลอดโปร่ง และโล่งสบาย เพราะเบาะนั่งมีเพียง 2 แถวเท่านั้น และสามารถปรับรูปแบบการจัดวางของเบาะนั่งได้ตามความต้องกรและเพียบพร้อมด้วยพื้นที่ใช้สอย ขณะที่การเลือกโทนสีเพื่อใช้การตกแต่งก็เน้นสีอ่อน เพื่อความสบายตาและปลอดโปร่ง
เรื่องรายละเอียดอย่างเครื่องยนต์ดูเหมือนจะเป็นประเด็นรองๆ ที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากเท่ากับรูปลักษณ์ภายนอก เพราะเครื่องยนต์ที่วางอยู่ด้านหน้าเป็นบล็อก 4 สูบในรหัส Theta II ขนาด 2,000 ซีซี พ่วงด้วยเทอร์โบ ทำให้มีกำลังสูงสุด 285 แรงม้า และจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เรียกว่ากินน้ำมันเหมือน 4 สูบ แต่สมรรถนะเร้าใจเทียบเท่ากับเครื่องยนต์วี6

ในแง่ของโอกาสที่จะกลายเป็นจริงในอนาคต ทางเกียยังไม่ได้แย้มข้อมูลอะไรออกมาในตอนนี้ ถ้าจะขายจริง คงต้องมีการปรับอีกเยอะ โดยเฉพาะประตูแบบปีกนก และรูปแบบภายในห้องโดยสาร
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

25 มกราคม 2554

5 วิธียืดอายุแอร์รถยนต์ให้ใช้ได้นานๆ

นอกจากผู้ใช้รถจะต้องมีการบำรุงรักษารถยนต์ด้วยตัวเอง และนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการ เพื่อบำรุงรักษาตามระยะแล้ว ผู้ใช้รถควรจะต้องใช้รถอย่างถูกวิธี มิฉะนั้นรถยนต์อาจชำรุดเสียหายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หรืออาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนต่างๆของรถยนต์ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ในครั้งนี้จะเป็นเรื่องเกียวกับวิธีถนอมและยืดอายุใช้งานแอร์รถยนต์แบบไม่ยุ่งยาก

1 วิธีการดูแลเบื้องต้น

รถยนต์สมัยใหม่แทบไม่ต้องวุ่นวายมาก เพียงดูจุดเล็ก ๆ สามารถยืดอายุการใช้งานได้ เช่น ไม่ปรับตำแหน่งของเทอร์โมสตรัทไปที่ Cool อยู่ตลอดเวลา จะช่วยถนอมคอมเพรสเซอร์ไม่ให้ทำงานหนักตลอดเวลา หรือไม่เปิดกระจกเมื่อเปิดแอร์ เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก ต่อมาอาจใช้วิธีปิดการทำงานของคอมแอร์ แต่ยังเปิดพัดลมอยู่ ก่อนที่จะจอดรถ อย่างน้อยประมาณ 5 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานของอีแวปพอเรเตอร์ได้ โดยเฉพาะเวลากลางคืน

2 เราจะต้องล้างตู้แอร์เมื่อไหร่

ถามมาว่าใช้ใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวตัดสิน ถึงจะล้างทำความสะอาดตู้แอร์สักครั้ง จะใช้เงื่อนไขของเวลา หรือระยะทางดี เพราะรถยนต์แต่ละคันมันก็ผ่านการใช้งานต่างกัน รถยนต์บางคันใช้งานมาแค่ปีเดียว แต่ก็ต้องวิ่งเป็นระยะทางกว่า 100,000 กม. ขณะบางคันอาจใช้งานแค่ 10,000 กม. ก็มีให้เห็นเช่นกัน ดังนั้นอาจบอกไม่ได้เฉพาะเจาะจงสำหรับรถยนต์แต่ละคัน ทางผู้ผลิตจึงแนะนำโดยใช้วิธีการเฉลี่ย โดยทำการล้างตู้แอร์ประมาณทุก ๆ 1 ปี หรือราว ๆ 20,000 กม. ก็ได้เหมือนกัน นอกจากการล้างตู้แอร์แล้ว ทางผู้ผลิตยังแนะนำให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ด้วยพร้อมกันเลย แน่นอนแบบนี้จะต้องปล่อยสารทำความเย็นเก่าออกให้หมดก่อน และถึงจะสามารถถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ได้

3 วาล์วแอร์จะเปลี่ยนตอนไหนถึงจะเหมาะ

ไม่มีอะไรที่บอกได้แบบเฉพาะเจาะจงว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อไหร่ เพราะอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างเอ็กซ์แพนชั่นวาล์วผู้ผลิตแนะนำเอาไว้ที่ระยะทางประมาณ 50,000 กม. หรือเป็นเวลาประมาณ 2 ปีเศษโดยเฉพาะเอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว หากมีปัญหาระบบปรับอากาศรถยนต์จะมีปัญหามาก บางทีการฉีดสารทำความเย็นอาจเกิดการผิดพลาดได้ นอกจากสาเหตุสำคัญที่มันมักจะเสียหาย เช่น การอุดตัน บางครั้งการล้าตัวของสปริงภายในตัววาล์ว หลังผ่านการใช้งาน หรือชิ้นส่วนไม่ได้มาตรฐาน จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา แนะนำให้เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดอายุการใช้งาน แม้การทำงานยังปรกติ แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ภายหลัง แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลยครับ อย่าฝืนใช้ เพราะถ้าหากมันงอแงขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาในการถอดเปลี่ยน

4 ดรายเออร์ต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่

อุปกรณ์สำคัญอย่างรีซีฟเวอร์ดรายเออร์จะมีอายุการใช้งานที่สั้นที่สุดเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ตัวอื่น ๆ ทางผู้ผลิตแนะนำให้เปลี่ยนทุก ๆ ระยะทางราว 30,000 กม. เนื่องจากอุปกรณ์ตัวนี้เมื่อเริ่มการใช้งานมันก็จะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เพราะเป็นอุปกรณ์ที่คอยกรองสิ่งสกปรกในระบบปรับอากาศ โดยกรองสิ่งสกปรกที่ปะปนมาพร้อมกับสารทำความเย็นในระบบ นอกจากนั้นมันยังมีสารดูดความชื้นภายในตัวรีซีฟเวอร์ดรายเออร์ สารดูดความชื้นมีทั้งแบบซิลิก้าเจล และโมบิลเจล ในระบบต่าง ๆ กัน โดยเจ้าสารดูดความชื้นนี้จะทำหน้าที่ดูดเอาความชื้นที่เกิดขึ้นในระบบ แล้วปะปนมากับสารทำความเย็นมาเก็บไว้ที่ตัวเอง ซึ่งสารดูดความชื้นมันก็มีวันที่จะถึงจุดอิ่มตัว

5 ล้างตู้แอร์วิธีไหนคุ้มค่าสุด ๆ

ตามหลักการถอดตู้แอร์ออกมาล้างย่อมสะอาดกว่า ส่วนการล้างแบบไม่ถอดนั้นจะสะดวกและประหยัดเวลากว่า หากกล่าวตามการใช้งานในชีวิตประจำวันมันขึ้นอยู่กับการดูแลของเจ้าของรถเองมากกว่าว่าคุณดูแลรถของคุณแล้วดูแลในส่วนของระบบปรับอากาศอย่างไร คือ ถ้าคุณดูแลรักษาตู้แอร์เป็นประจำล้างแอร์เป็นประจำอยู่แล้ว การล้างโดยไม่ถอดตู้ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยให้ตู้แอร์คุณมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นได้ ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มที่ได้ เพราะระยะเวลาทุก ๆ 20,000 กม. คราบสกปรกคงไม่มากนักที่การล้างแบบไม่ถอดจะทำความสะอาดได้อย่างหมดจด หากคุณไม่เคยดูแลมันเลยไม่เคยล้างเลย แล้วจู่ ๆ ตันขึ้นมาอย่างนี้ แน่นอนว่าคราบสิ่งสกปรกมันคงจะมีมาก ก็สมควรที่จะถอดมาล้างจะดีกว่า แล้วหากคิดว่าจะให้ความสำคัญกับมันหลังจากถอดมาล้างในครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปก็ล้างแบบไม่ถอดก็ได้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

23 มกราคม 2554

ซันยอง โครันโด น้องใหม่จากแดนกิมจิ

ซันยอง โครันโด น้องใหม่จากแดนกิมจิ
ซันยอง ออโต เซลส์ ผู้นำเข้ารถยนต์ซันยองจากเกาหลี ได้เปิดตัว ซันยอง โครันโด รถยนต์ขับเคลื่อนอเนกประสงค์ (เอสยูวี) ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จากแดนกิมจิ ซึ่งรถคันนี้เห็นหน้าตาออกมาดูดี หล่อเหลากว่ารุ่นพี่ ๆ ที่นำเข้ามาทำตลาดก่อนหน้านี้ โดยน้อง ใหม่โครันโดมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังม้าสูงสุดถึง 175 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และให้กำลังแรงบิดที่มหาศาลถึง 360 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-3,000 รอบ/นาที ซึ่งจะให้อัตราเร่งที่คล่องแคล่วทั้งในรอบความเร็วต่ำและในขณะที่เร่งแซง

ระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเกียร์ดังกล่าวได้รับการรังสรรค์ใหม่ให้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ ซึ่งจะให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยมและตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองที่ต้องการความคล่องตัวด้วยอัตราเร่งที่ปราดเปรียวและยังคงให้ความประหยัดในยามที่ต้องใช้งานในการเดินทางไกล โครันโดได้รับการออกแบบเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยมีระดับมลพิษที่ต่ำเพียง 157 กรัม/กม. ซึ่งเป็นอัตราที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอันเข้มงวดยูโร 5 ที่จะกำหนดบังคับใช้กับรถยนต์ทุกแบบในสหภาพยุโรปในปีค.ศ. 2012

ภายนอกรถดูดีหน้าตาไม่ได้เป็นกิมจิจ๋า มีกลิ่นอายฝรั่งปนอยู่นิด ๆ ส่วนภายในตัวรถ เบาะนั่งหนังแท้ปรับด้วยระบบไฟฟ้าด้านคนขับ เบาะคู่หน้าแบบอุ่นด้วยระบบไฟฟ้า มีสวิตช์การควบคุมเปลี่ยนเกียร์ และวิทยุอยู่ที่พวงมาลัย กระจกมองหลังปรับแสงสะท้อนอัตโนมัติ

ในช่วงแรกที่เปิดตัวนี้ ค่ายซันยองได้นำเข้าโครันโด เกียร์ธรรมดาเข้ามาจำหน่าย ราคา 1.79 ล้านบาท ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติจะเข้ามาประมาณปลายเดือน มี.ค.ปีนี้.


เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

เชฟโรเลต แคปติวา ขุมพลังใหม่ เร้าใจ สุดประหยัด

เชฟโรเลตเปลี่ยนหัวใจขับเคลื่อนใหม่ให้ “แคปติวา” รถอเนกประสงค์สุดล้ำ เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ เร้าใจด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่บล็อก 4 สูบแถวเรียงความจุกระบอกสูบ 2.4 ลิตร DOHC พร้อมระบบแคมชาฟท์แปรผันคู่ต่อเนื่อง (ดับเบิล ซีวีซี) ที่สามารถปรับเปลี่ยนท่อไอดีและไอเสียได้ตามรอบเครื่องยนต์ เพิ่มสมรรถนะและความประหยัด

เครื่องยนต์ใหม่ของ แคปติวาได้ผ่านการทดสอบอย่างหนักตามมาตรฐานของ จีเอ็มและเชฟโรเลต ที่เรียกว่า โกลบอล เอนจิน ดูราบิลิตี (GED) ถูกติดตั้งอยู่ในเชฟโรเลต แคปติวาเพื่อวิ่งทดสอบในสภาพภูมิอากาศและสภาพถนนที่แตกต่างกันทั่วโลก เพื่อให้แน่ใจว่า แคปติวาที่ใช้ขุมพลังขับเคลื่อนใหม่นี้จะสามารถรองรับกับการใช้งานในทุกรูปแบบ

นอกจากความทนทานแล้ว เครื่องยนต์ใหม่ยังให้ความเร้าใจด้วยพละกำลังสูงสุดถึง 165 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ 6 สปีด พร้อมไดรเวอร์ ชิฟท์ คอนโทรล (DSC) ที่ถือเป็นครั้งแรก และก้าวล้ำหน้ากว่ารถในระดับเดียวกัน

ระบบขับเคลื่อนของแคปติวา มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (AWD) พร้อมระบบเสริมแรงบิดอัจฉริยะ (แอ๊คทีฟ ทอร์ค ออน ดีมานด์) ช่วยเสริมพละกำลังให้แก่ระบบขับเคลื่อนแบบ AWD จากการทำงานของคลัตช์แม่เหล็กไฟฟ้ากับคลัตช์แบบเปียกซึ่งจะทำหน้าที่ส่งกำลังสู่ระบบเฟืองท้ายเพื่อกระจายแรงบิดที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลัง ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลและเสริมกำลังให้แก่สภาพการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป

นอกจากนี้แคปติวายังได้รับการติดตั้งระบบเครื่องเสียงด้วยเทคโนโลยีสามมิติจากยุโรปใหม่ล่าสุด ซึ่งจะมีระบบประมวลผลที่ช่วยปรับคุณภาพของทุกความถี่เสียงให้มีมิติความละเอียดและคมชัดที่สุดจากลำโพง 6 ตัวในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 8 ตัวในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ

ภายในยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ต่าง ๆ ทั้งระบบมัลติมีเดียที่สามารถดูหนัง ฟังเพลงทั้งจากแผ่นซีดี และเอสดี การ์ด (รองรับไฟล์เอ็มพี 4) พร้อมการติดตั้งช่องต่ออุปกรณ์เสริมและยูเอสบี เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเสียงแบบพกพาและระบบบลูทูธ (เฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ) อีกด้วย การออกแบบภายในห้องโดยสารคงความหรูหราทันสมัย เพิ่มความสดใหม่ด้วยแผงมาตรวัดดีไซน์ใหม่แบบเรืองแสงสีน้ำเงินเข้ม พร้อมความกว้างขวางสะดวกสบายจากเบาะโดยสาร 7 ที่นั่ง เมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ราบลงจะมีปริมาตรในการขนสัมภาระอยู่ที่ 465 ลิตร และเมื่อปรับเบาะแถวที่ 2-3 ให้เรียบในระดับเดียวกันจะเพิ่มพื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 930 ลิตร

ส่วนชุดกันสะเทือนของแคปติวาที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัทและใช้ระบบช่วงล่างอิสระ 4-ลิงก์ ที่ด้านหลัง ให้การยึดเกาะถนนอย่างปลอดภัยและความนุ่มนวลเพื่อการขับขี่ พร้อมเสริมความโดดเด่นที่เหนือชั้นกว่ารถอเนกประสงค์รุ่นใด ๆ ด้วยช่วงล่างแบบยกตัวอัตโนมัติ ที่จะช่วยปรับระดับของช่วงล่างให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เช่น เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระที่ด้านท้ายรถ น้ำหนักที่ถ่วงท้ายก็จะทำให้หน้ารถเชิดขึ้น แต่ด้วยกลไกอัตโนมัติของช่วงล่างใหม่ก็จะปรับช่วงล่างด้านหลังให้ยกสูงขึ้นอัตโนมัติ เพื่อรักษาสมดุลของรถ ลดอาการหน้ารถเชิดขึ้นและยังช่วยให้ควบคุมรถได้มั่นคงปลอดภัย

ดังนั้นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เพื่อเพิ่มจุดเด่นให้กับแคปติวาครั้งนี้ก็ต้องให้ลูกค้าได้พิสูจน์กันต่อไป.

ลำยอง ปกป้อง
เชฟโรเลต แคปติวา ขุมพลังใหม่ เร้าใจ สุดประหยัด
ที่มา เดลินิวส์

22 มกราคม 2554

New Mazda โชว์ภาำพแรก Minagi Concept Compact SUV ก่อนงาน Geneva Motor Show

New Mazda โชว์ภาำพแรก Minagi Concept Compact SUV ก่อนงาน Geneva Motor Show
งานมอเตอร์โชว์ใหญ่ของปีอย่าง Geneva Motor Show จะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ Mazda เลยขอสร้างกระแสก่อนงานด้วยการเปิดภาพทีเซอร์ชุดแรกของ Minagi รถ Compact SUV ที่ยังเป็น Concept Car อยู่ โดยลือกันว่าถ้ามีการผลิตในเชิงพาณิชย์ออกมาแล้วจะมีชื่อรุ่นว่า CX-5 และจะใช้ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันและระบบส่งกำลังเจนเนอเรชั่นใหม่จาก Mazda ที่เรียกกันว่า SKYACTIV

Mazda ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆของเทคโนโลยีนี้เพียงแต่เผยว่า Minagi จะได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนและโครงสร้างแบบ SKYACTIV ซึ่งจะช่วยทำให้น้ำหนักของรถลดลงไปอย่างมากในขณะที่ยังคงระดับของความปลอดภัยเอาไว้เช่นเดิม นอกจาก Minagi แล้ว Mazda เตรียมเปิดตัว Shinari เป็นครั้งแรกในยุโรปและเตรียมโชว์เทคโนโลยี SKYACTIV ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

New Mazda SKYACTIV-G direct injection gasoline engine

New Mazda SKYACTIV-D clean diesel engine

New Mazda SKYACTIV-Drive automatic transmission

New Mazda SKYACTIV-MT manual transmission

ที่มา: Mazda,autospinn

New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น

New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น
ที่ประเทศญี่ปุ่น Suzuki ได้เปิดตัว MR Wagon รถสไตล์ kei car ซึ่งเป็นรถขนาดเล็กน้ำหนักเบาที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 660 ซีซีรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ CVT
New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น
MR Wagon kei car รุ่นนี้ได้รับการติดตั้งแพลตฟอร์มซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีมิติความยาว x ความกว้าง x ความสูง ที่ 3,395 x 1,475 x, 1,625 มิลลิเมตร โดยมีฐานล้อยาวกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนหน้านี้ถึง 65 มิลลิเมตร คือ 2,425 มิลลิเมตร ทำให้ MR Wagon ให้พื้นที่ผู้โดยสารภายในกว้างขวางขึ้นและให้ความนุ่มนวล รวมถึงมีความเสถียรในการขับขี่มากกว่ารุ่นก่อน
New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น
สำหรับตลาดญี่ปุ่น Suzuki จะมีเครื่องยนต์ให้ลือก 2 รุ่นคือ เครื่องยนต์ 3 สูบ 0.7 ลิตร แบบ NA (Naturally Aspirated) และแบบเทอร์โบที่ให้กำลังสูงสุด 54 แล 64 แรง
ม้า ตามลำดับ โดยลูกค้าสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ FWD หรือ AWD ส่วนไฮไลท์ที่สำคัญอื่นๆของ Suzuki MR Wagon ได้แก่ ชุดเครื่องเสียงระบบสัมผัสที่ติดตั้งบริเวณส่วนบนของคอนโซลกลาง ระบบ ESP ที่มากับระบบ Hill Hold Control เป็นต้น
New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น
Suzuki ได้เริ่มจำหน่าย MR Wagon ในประเทศญี่ปุ่นแล้วในราคาเริ่มต้นที่ 1,131,900 เยน

New Suzuki MR Wagon รถเล็กสไตล์ kei car เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เริ่มขายที่ญี่ปุ่น
ที่มา AUTOSPINN

ออดี้ฮ็อตยึดท็อปชาร์ตตลาดหรูยุโรป

แม้ในตลาดสหรัฐอเมริกา และภาพรวมตลาดโลกจะทำยอดขายสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่ทว่าออดี้กลับผงาดขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูของยุโรปเมื่อทำยอดขายในปีที่แล้วแซงหน้าทั้งบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วยตัวเลขมากกว่า 623,000 คัน

ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยูสามารถเบียดชิงเบนซ์เพื่อครองอันดับที่ 2 ของตลาดหรูในยุโรปมาได้ โดยปีที่แล้ว ทางค่ายใบพัดสีฟ้ามียอดขาย 609,196 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.5% ขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์มีตัวเลขเพียง 586,146 คัน ขณะที่ออดี้ซึ่งครองเป็นหมายเลข 1 ในตลาดหรูยุโรปปี 2010 มียอดขาย 623,536 คัน โดยตรงนี้มาจากแรงหนุนในด้านยอดขายของเดือนธันวาคมที่แล้ว ซึ่งตัวเลขของออดี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึง 16% ขณะที่คู่แข่งเพิ่มขึ้นด้วยตัวเลขเพียงหลักเดียวเท่านั้น
‘การฟื้นตัวของตลาดพรีเมียมในยุโรปเมื่อปี 2010 ถือเป็นอีกสัญญาณที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ตลาดยุโรปประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจถดถอยมาหลายปี และเชื่อว่าภาพรวมของตลาดจะยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้อย่างแน่นอน โดยตลาดเยอรมนียังเป็นตลาดหลักของยุโรป และปีหน้าจะถือว่าเป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับผู้เล่นทั้ง 3 ค่ายอย่างมาก’ Philippe Barrier นักวิเคราะห์ของ Societe Generale ที่ปารีสกล่าว

นับจากปี 2009 เป็นต้นมา ตลาดรถยนต์หรูในยุโรปได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจแบบเต็มๆ เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่หันไปสนใจรถยนต์ที่มีขนาดเล็กลง และประหยัดน้ำมันขึ้น เช่นเดียวกับลูกค้าในกลุ่ม Fleet ที่ส่วนใหญ่เลือกที่จะลดต้นทุนด้วยการมองหารถยนต์ที่มีขนาดเล็กและประหยัดน้ำมันโดยเป็นผลมาจากการสนับสนุนในด้านภาษีจากทางภาครัฐ

สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ในครั้งนี้ต้องเสียอันดับที่ 2 ในตลาดหรูไปให้กับบีเอ็มดับเบิลยู โดยเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์รุ่นหลักในยุโรปไม่หวือหวา เพราะทั้ง S-Class และ E-Class ได้รับความนิยมในตลาดนอกยุโรปเป็นหลัก แถมยอดจดทะเบียนยังลดลงถึง 0.1%

ขณะที่ C-Calss เพิ่งจะมีการเผยโฉมรุ่นใหม่แบบปรับโฉมเมื่อปลายปี จึงไม่สามารถต้านทานความแรงของซีรีส์ 5 ซีดานได้ เช่นเดียวกับออดี้ก็มีหมัดเด็ดทั้งรุ่นใหญ่อย่าง A7 และรุ่นเล็กสำหรับกวาดตลาดหรูระดับล่างในการเก็บสกอร์เพิ่มตัวเลขอย่าง A1
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

21 มกราคม 2554

Land Rover Discovery 4 Armoured อยากปลอดภัยเชิงทางนี้

นอกจากการผลิตเวอร์ชันธรรมดาเพื่อขายในตลาดแล้ว ทางแลนด์โรเวอร์ยังเปิดตลาดอีกกลุ่มด้วยรุ่น Armoured ซึ่งเป็นการติดเกราะให้กับเอสยูวีระดับหรูที่มีขายอยู่ในตลาด สำหรับรองรับกับความต้องการของลูกค้าคนพิเศษ ที่เน้นความปลอดภัยในชีวิตมากกว่าคนปกติธรรมดาก่อนหน้านี้เป็นงานของเรนจ์โรเวอร์ และดิสคัฟเวอรี 3 แต่สำหรับในตอนนี้ทางแลนด์โรเวอร์คลอดเวอร์ชัน Armoured ใหม่ออกมาแล้ว โดยหันมาอิงพื้นฐานของเอสยูวีระดับหรูขนาดกลางในตระกูลดิสคัฟเวอรี และเลือกเอารุ่นปัจจุบัน หรือ ดิสคัฟเวอรี 4 มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อเนื่องด้วยการเสริมเกราะเพื่อความปลอดภัยเหนือระดับ

เมื่อมองจากภายนอกอาจะไม่ทราบถึงความแตกต่างจากรุ่นธรรมดา แต่เชื่อเถอะว่าดิสคัฟเวอรี 4 Armoured แตกต่างจริงๆ เพราะตัวรถได้รับการการปรับแต่งตัวรถให้สามารถผ่านมาตรฐานการปกป้องในระดับ BS EN 1522 FB6 และ BS EN 1063 BR6 ของยุโรป นั่นหมายความว่าดิสคัฟเวอรี 4 Armouredสามารถทนทานต่อการอานุภาพของปืนไรเฟิลประสิทธิภาพสูงได้

อีกทั้งยังมีการเสริมด้วยคานป้องกันการกระแทกทางด้านข้าง และพื้นตัวถังด้านล่างสามารถทนต่อแรงอัดของระเบิดมือแบบ DM51 รวมถึงแรงระเบิดที่มาจาก TNT ขนาด 15 กิโลกรัมหรือเทียบเท่าได้ และมั่นใจได้ในความปลอดภัยเพราะตัวรถผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานโดย QinetiQ องค์กรที่รับหน้าที่ทดสอบระบบความปลอดภัยและการป้องกันอันตรายจากการก่อการร้ายด้วยอาวุธหลากหลายรูปแบบ
งานเสริมเกราะให้กับตัวรถนั้น ทางวิศวกรของแลนด์โรเวอร์ทำงานร่วมกับบริษัท Centigon ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ และด้วยเหตุที่การติเกราะจำต้องทำให้น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 3.55 ตัน ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ทีมงานของแลนด์โรเวอร์จะต้องให้ความสนใจในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างแชสซีส์ และระบบช่วงล่าง

โดยระบบช่วงล่างยังเป็นแบบ Air Suspension ที่เน้นความนุ่มนวลในขณะขับขี่ แต่ก็มีการปรับให้สามารถที่จะต้องรับภาระที่เพิ่มขึ้นด้วย เช่นเดียวกับดิสก์เบรกที่อัพเกรดเป็นขนาด 378 มิลลิเมตร พร้อมคาลิเปอร์ขนาด 6 และ 4 ลูกสูบของ Alcon พร้อมยางแบบ Heavy Duty ของ Goodyear แบบ Run Flat
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของสมรรถนะบนเส้นทางออฟโรด ดิสคัฟเวอรี 4 Armoured ยังคงเอาไว้อยู่ แต่ทางผู้ผลิตไม่แนะนำให้ลุยบนเส้นทางที่อ่อนนุ่มมากๆ เช่น โคลน หรือทรายลึกๆ เพราะด้วยตัวถังที่หนักขึ้นค่อนข้างมาก อาจจะก่อให้เกิดปัญหาจมทรายหรือติดหล่มได้ ดังนั้น เวลาหาทางหนีทีไล่ เป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางลักษณะนี้

หน้าที่ในการพาตัวถังอันอึ้งของเอสยูวีหุ้มเกราะคันนี้ให้ทะยานไปข้างหน้านั้นเป็นงานของเครื่องยนต์เบนซินแบบ Di บล็อกวี8 ที่ถูกอัพเกรดเพิ่มเรี่ยวแรงในการฉุดลากตัวถังโดยความจุในระดับ 5,000 ซีซีมีกำลังสูงสุดในระดับ 375 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 51.9 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ใช้เวลา 10.6 วินาที สำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ราคาไม่ได้เปิดเผย แต่ถ้าใครสนใจความปลอดภัยบนตัวถังระดับหรูในสไตล์เอสยูวี สามารรถสอบถามได้ที่โชว์รูมของแลนด์โรเวอร์ ได้เลย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

17 มกราคม 2554

Mini Paceman Concept

ดูเหมือนว่ามินิจะสามารถสร้างกระแสความน่าสนใจของรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง และมีของใหม่ๆ ออกมาให้ติดตามกันอยู่เสมอ เพราะหลังจากการเปิดตัวเวอร์ชันยกสูงในสไตล์เอสยูวีอย่างรุ่นคันทรีแมน พร้อมกับตัวแข่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันมอนติคาร์โล แรลลี่ในปีหน้าแล้ว คราวนี้ทางมินิขอนำเสนออีกเวอร์ชันด้วยความสปอร์ตบนตัวถังแบบ 2 ประตูของเอสยูวีกับต้นแบบรุ่นใหม่แกะกล่องที่ชื่อว่า เพซแมน คอนเซ็ปต์

มินิมีคิวเปิดตัวต้นแบบรุ่นนี้ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 ซึ่งจะเริ่มขึ้นวันที่ 10 มกราคมนี้ พร้อมกับไอเดียของการสร้างความสวยสะดุดตาบนเรือนร่างในแบบคูเป้ 2 ประตูให้กับรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือเอสยูวี อีกทั้งยังมีการเปิดเผยว่า เพซแมน คอนเซ็ปต์ยังถูกสร้างสรรค์บนแนวทางและสไตล์การออกแบบยุคใหม่ของมินิที่จะนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในอนาคตอีกด้วย
แน่นอนว่า ตัวรถถูกพัฒนาและปรับปรุงบนพื้นฐานของเอสยูวีรุ่นแรกของบริษัทของคันทรีแมน แต่ฉีกแนวทางด้วยตัวถังแบบคูเป้ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายบนตัวถังที่มีความเฉียบคม และถูกผสมผสานด้วยเอกลักษณ์ดั้งเดิมของมินิ เช่น กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ใหม่ และไฟหน้าดวงกลมที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่แนวของเส้นหลังคามีลักษณะของการลาดเทไปทางด้านหลังให้ความเร้าใจในสไตล์สปอร์ตคูเป้ และยกระดับความสปอร์ตด้วยล้อแม็กวงโตขนาด 19 นิ้ว

มิติตัวถังของตัวรถมีความยาว 4,111 มิลลิเมตร กว้าง 1,789 มิลลิเมตร สูง 1,541 มิลลิเมตร โดยที่โอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าและหลังของตัวรถมีขนาดสั้นช่วยเพิ่มความคล่องตัวทั้งการขับในเมือง และบนเส้นทางออฟโรด พร้อมกับตอบสนองอารมณ์การขับ และการยึดเกาะในแบบคล้ายกับที่สัมผัสได้ในโกคาร์ทเช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของมินิ โดยระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงก์
หน้าที่ในการขับเคลื่อนเป็นงานของเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ 1,600 ซีซี เทอร์โบแบบ Twin-Scrolled ตัวแรงที่ผ่านการโมดิฟายโดยจอห์น คูเปอร์ เวิร์ค หรือ JCW ซึ่งรีดกำลังจากในระดับ 170 แรงม้าขึ้นมาเป็น 211 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. พร้อมโหมด OverBoost ที่สามารถเพิ่มแรงบิดขึ้นมาเป็น 28.5 กก.-ม.ในช่วงเวลาสั้น เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะโดยเฉพาะในจังหวะของการเร่งแซง

ส่วนการขับเคลื่อนมีการยกชุด ALL4 มาจากคันทรี่แมน โดยจะมี Center Differential ที่ทำงานในแบบ Electromagnatic สำหรับทำหน้าที่ในการกระจายกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อขับเคลื่อนด้านหน้าและหลังให้มีความเหมาะสมกับสภาพเส้นทางและการขับ โดยเมื่ออยู่บนเส้นทางปกติการกระจายกำลังสู่ล้อหลังจะมีระดับสูงสุดไม่เกิน 50%
นอกจากต้องการนำเสนอความแปลกใหม่ในเรื่องแนวคิดและการออกแบบแล้ว ต้นแบบรุ่นนี้ยังมีความสำคัญตรงที่เป็นการเปิดตัวเพื่อฉลองในวาระครบรอบ 10 ปีในการทำตลาดโลกและสหรัฐอเมริกาของมินิ ยุคใหม่ภายใต้ร่มเงาของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งเริ่มทำตลาดเมื่อปี 2001

ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของมินิในการส่งมอบความสุขให้กับนักขับทั่วโลก และตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งในช่วงเวลาที่พิเศษเช่นนี้เรามีความภูมิใจที่จะนำเสนอรถยนต์ต้นแบบรุ่นใหม่บนเวทีในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์’ โจเชน กอลเลอร์ ผู้อำนวยการของมินิ ยูเคกล่าว ‘สำหรับรถยนต์ใหม่ของมินิที่จะเปิดตัวต่อจากคันทรีแมน คือ 2 เวอร์ชันความสปอร์ตอย่างรุ่นคูเป้ และโรดสเตอร์’
แม้ว่าตอนนี้ทางมินิยังยืนยันว่าเป็นแค่ต้นแบบสำหรับจัดแสดง แต่โอกาสที่จะขึ้นไลน์ผลิตมีค่อนข้างสูงถึงสูงมาก เพราะกับผลผลิตใหม่ๆ ที่เปิดตัวขายในตลาดช่วงนี้ ต่างก็เคยผ่านเวทีในการเป็นรถยนต์ต้นแบบมาก่อน และนั่นก็รวมถึงรุ่นคูเป้ และโรดสเตอร์ที่จะเริ่มขายปีหน้า ก็เคยเป็นต้นแบบสำหรับโชว์โฉมงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009

ใครที่สนใจ น่าจะรอกันได้ไม่นาน 2-3 ปีนับจากเปิดตัวที่ดีทรอยต์ เราน่าจะได้เห็น Production Car ของเพซแมนกันอย่างแน่นอน

Mini Paceman Concept
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

13 มกราคม 2554

มิตซูบิชิไทรทัน-ปาเจโร สปอร์ต...ยัดเทอร์โบแปรผัน 178 แรงม้า

ปาเจโร สปอร์ต 2.5เทอร์โบแปรผันทุกรุ่น
มิตซูบิชิไทรทัน-ปาเจโร สปอร์ต...ยัดเทอร์โบแปรผัน 178 แรงม้า วันนี้ (13 ม.ค.)


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต และ ไทรทัน ใหม่ โดยถอดเครื่องยนต์ 3.2 ลิตรออกไปจากไลน์อัพ แล้วหันมาคบขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 178 แรงม้า เริ่มขาย 15 มกราคมนี้ พร้อมดึง “ตูน”บอดี้สแลม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ไทรทัน

ปาเจโร สปอร์ต ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ยังคงมาพร้อมแนวคิด “More Utility on Demand ความสมบูรณ์แบบที่ตอบทุกไลฟ์สไตล์” เพิ่มความสะดวกสบายและหรูหรายิ่งขึ้น ในขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมสมรรถนะเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางไปในทุกที่สำหรับวันพักผ่อนตามแนวคิด “Performance on Demand...สมรรถนะที่ตอบทุกความต้องการ”

ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ 2.5 ลิตร DI-D ไฮเปอร์คอมมอนเรล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมท่อร่วมไอดีแบบทวิน อินเทคแมนิโฟลด์ ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ 3 ในไทย และรองรับมาตรฐานมลพิษระดับ 4 ของยุโรป ด้วยระบบ EGR ที่นำไอเสียหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ จึงช่วยลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พร้อมระบบ Super -Select 4WD (SS4) ให้เลือกขับได้ทั้ง 4WD และ 2WD ด้วยเทคโนโลยีที่ถูกถ่ายทอดมาจากมิตซูบิชิ ปาเจโร มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS II พร้อม Sportronic ระบบเกียร์อัจฉริยะที่ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจซึ่งสามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบการขับขี่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างเหมาะสม และทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift ในรุ่น GT ขับเคลื่อน 4 ล้อ

ปาเจโร สปอร์ต โดดเด่นด้วยสีตัวถังใหม่ “น้ำตาลทอง (Quartz Brown)” ส่วนไฟหน้าแบบ HID ที่ให้ความสว่างมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติและระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ตามสภาพแสงภายนอก และการติดตั้งระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้ารถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่องสว่างของไฟหน้ารถ รวมถึงระบบที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ในรุ่น GT
ส่วนภายห้องโดยสาร ติดตั้งระบบเครื่องเสียงใหม่ รองรับวิทยุ ซีดี MP3 AUX in ช่องเสียบ USB ในรุ่น GLS พร้อมความอเนกประสงค์กับเบาะนั่งแบบ 3 แถว รองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ง่ายถึง 5 รูปแบบ โดยในรุ่น GT เบาะที่นั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง

ขณะที่เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนเดินหน้าและถอยหลังได้ และยังสามารถแยกพับพนักพิงแบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น เช่นเดียวกับเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งสามารถแยกพับแบบ 50:50 ราบกับพื้นห้องโดยสาร เพื่อให้การเก็บสัมภาระด้านหลังรถที่มากขึ้น พร้อมระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังให้ความเย็นทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร

ไทรทัน ใหม่ หลากหลายทางเลือก

ไทรทัน รุ่น ดับเบิ้ลแค็บ พลัส รุ่น GLS เกียร์อัตโนมัติ และดับเบิ้ลแค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ รุ่น GLS-Limited เกียร์ธรรมดาและเกียร์ ด้วยเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดเพื่อความสมบูรณ์แบบของสมรรถนะ สำหรับการขับขี่ที่ให้ความประหยัดกว่า ของเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร DI-D ไฮเปอร์คอมมอนเรล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมท่อร่วมไอดีแบบทวิน อินเทคแมนิโฟลด์ ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยในรุ่นเกียร์ธรรมดามาพร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-2,800 รอบต่อนาที ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติมาพร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 3,500 รอบต่อนาที

ส่วนเกียร์อัจฉริยะ 5 จังหวะ พร้อม Sportronic ที่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ จะมาในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ GLS-Limited เกียร์อัตโนมัติ

ขณะเดียวกันในรุ่นดับเบิ้ลแค็บ กระบะท้ายถูกดีไซน์ใหม่ โดยตัดตรงยาวขึ้น 180 มิลลิเมตร และสูงขึ้นอีก 57 มิลลิเมตร ที่จะช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรทุก แต่ก็ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว

ในรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ เมกะแค็บ ดับเบิ้ลแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ รวมไปถึงเมกะแค็บ พลัส GLX ใช้เครื่องเสียงใหม่รองรับวิทยุ ซีดี MP3 AUX in ช่องเสียบ USB ในขณะที่รุ่น เมกะแค็บพลัส GLS และดับเบิ้ลแค็บพลัส มีการติดตั้งเครื่องเล่นวิทยุ DVD พร้อมจอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว
“ตูน บอดี้สแลม”เซ็นพรีเซ็นเตอร์“ไทรทัน” 1 ปี

โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากบุคลิกที่โดดเด่นของความเป็นคนที่มีพลังในการทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งตรงกับจุดเด่นของเครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบ ในรถกระบะมิตซูบิชิ ไทรทัน ประกอบกับการเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ซึ่งน่าจะช่วยขยายฐานลูกค้ารถกระบะของมิตซูบิชิให้กว้างออกไปได้ ทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงตัดสินใจเลือก อาทิตวราห์ คงมาลัย หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ “ตูน” บอดี้สแลม นักร้องชั้นนำของเมืองไทย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของมิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ดังกล่าว

โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีของสัญญานั้น นอกเหนือจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับภาพยนตร์โฆษณา และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่จะเริ่มแคมเปญตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม เป็นต้นไปแล้ว “ตูน” ยังจะได้ร่วมทำกิจกรรมของบริษัทฯ ในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต

รุ่น ราคา(บาท)
2.5 GLS 2WD A/T 987,000
2.5 GT 2WD A/T 1,142,000
2.5 GLS 4WD A/T 1,157,000
2.5 GT 4WD A/T 1,312,000

ราคา มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ

รุ่น ราคา(บาท)
ซิงเกิ้ลแค็บ2.5 GL M/T 483,000
ซิงเกิ้ลแค็บ 2.4 GL M/T(เครื่องยนต์เบนซิน) 416,000
ซิงเกิ้ลแค็บ 2.4 GL M/T(ซีเอ็นจี) 481,000
เมกะแค็บ2.5 GLX M/T 581,000
เมกะแค็บ2.4 GLX M/T(เครื่องยนต์เบนซิน) 556,000
เมกะแค็บ2.4 GLX M/T(ซีเอ็นจี) 621,000
ดับเบิ้ลแค็บ2.5 GLX M/T 643,000
เมกะแค็บ พลัส 2.5 GLX M/T 620,000
เมกะแค็บ พลัส 2.5 GLS M/T 669,000
ดับเบิ้ลแค็บ พลัส 2.5 GLS M/T 752,000
ดับเบิ้ลแค็บ พลัส 2.4 GLS M/T (เครื่องยนต์เบนซิน) 722,000
ดับเบิ้ลแค็บ พลัส 2.5 GLS A/T(วีจี เทอร์โบ) 804,000

ราคา มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ

รุ่น ราคา(บาท)
ดับเบิ้ลแค็บ2.5 GLS M/T 783,000
ดับเบิ้ลแค็บ2.5 GLS-LTD M/T(วีจี เทอร์โบ) 895,000
ดับเบิ้ลแค็บ2.5 GLS-LTD A/T(วีจี เทอร์โบ) 944,000
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



11 มกราคม 2554

ออดี้ยอดขายฉลุยเมืองลุงแซมแต่เลกซัสยังแชมป์

ออดี้ประสบความสำเร็จเกินคาดในการเจาะตลาดรถหรูของสหรัฐอเมริกา เมื่อทำตัวเลขยอดขายต่อปีเกิน 100,000 คันได้เป็นครั้งแรก ขณะที่เบอร์ 1 ของตลาดรถยนต์หรูแห่งนี้ยังตกเป็นของเลกซัสเช่นเคย โดยทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยูไม่สามารถทำยอดขายแซงหน้าได้ออดี้ คิว5


จากการเปิดเผยของบลูมเบิร์กระบุว่า ปี 2010 ออดี้มียอดขายรถยนต์นั่งและเอสยูวีเมืองลุงแซมอยู่ที่ 101,629 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2009 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ค่าย 4 ห่วงมียอดขายต่อปีเกินหลักนี้นับจากเริ่มทำตลาดอย่างจริงช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการเข้ามาสู่ตลาดของเอสยูวีรุ่น Q5 ถือว่ามีส่วนสำคัญในการกระตุ้นยอดขาย

สำหรับยอดขายเดือนสุดท้ายของปี ทาง Johan de Nysschen ประธานของออดี้ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2009 ถึง 17% ขึ้นมาอยู่ที่ 10,546 คัน

ออดี้เผยว่า จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกาบวกกับความแรงในตลาดจีน ทำให้ออดี้สามารถทำยอดขายต่อปีเพิ่มขึ้นจากปี 2009 ถึง 15% โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 1.09 ล้านคัน เฉพาะเดือนธันวาคม มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 12% อยู่ที่ 88,500 คัน

นอกจากนั้น ออดี้เองก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าปี 2015 พวกเขาจะต้องสามารถก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดรถยนต์หรูของโลกให้ได้ โดยออดี้วางเป้าหมายระยะยาวด้านต่างๆ เอาไว้แล้ว โดยเฉพาะการเทงบประมาณเพื่อลงทุนในด้านการปรับปรุงผลิตภัณฑ์มากถึง 15,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 453,000 ล้านบาทเพื่อเปิดทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาด

สำหรับการช่วงชิงความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถยนต์หรูของสหรัฐอเมริการะหว่างเลกซัส, บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์จบลงโดยที่ฝ่ายแรกยังสามารถคงสถานะเอาไว้ได้แม้ว่าเดือนสุดท้ายของปี 2010 จะมียอดขายลดลง 3.5% ด้วยตัวเลข 27,560 คัน แต่เมื่อรวมทั้ง 12 เดือนแล้ว เลกซัสมียอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 229,329 คัน หรือเพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2009 ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยูมียอดขายอยู่ที่ 220,113 คัน (+12%) และเมอร์เซเดส-เบนซ์ 216,448 คัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ด่วน! เผยโฉมใหม่ “อาวีโอ” (โซนิก)

มาเร็วกกว่าที่คิด เพราะแรกเริ่มเดิมทีเชฟโรเลตมีแผนเริ่มทำตลาด อาวีโอ ซีดาน หรือรุ่น 4 ประตูในกลางปี 2011 แต่ทว่า “งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2011” ที่เริ่มรอบสื่อมวลชนวันที่ 10 มกราคมนี้ แบรนด์ดังของอเมริกาเผยโฉมใหม่ของอาวีโอออกมาแล้ว
อย่าตกใจและแปลกใจว่าใช่จริงหรือ เพราะที่เห็นชื่อบนตัวถังด้านท้าย เขียนว่า Sonic แต่ถ้าใครที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์มาโดยตลอดจะทราบดีว่า ในตลาดสหรัฐอเมริกา เชฟโรเลตตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก “อาวีโอ” มาเป็น “โซนิก” เพื่อให้สัมผัสถึงความใหม่ที่แท้จริงของตัวรถ โดยเฉพาะในแง่ของการออกแบบ ส่วนตลาดกลุ่มอื่นอย่างยุโรปก็ยังใช้ชื่ออาวีโอกันต่อไป

แน่นอนว่าในแง่ของการออกแบบตัวรถถูกสร้างสรรค์บนแนวทางและสไตล์แบบเดียวกับพี่ใหญ่อย่างครูซ รวมถึงรุ่นแฮตช์แบ็กทั้ง 3 และ 5 ประตูที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ เสริมด้วยการสร้างความรู้สึกที่ดึงดูดให้ลูกค้าเกิดสัมผัสที่จะเข้ามาทดลองขับ
‘เชฟโรเลต โซนิก หรือ อาวิโอ ใหม่ ได้รับการสร้างสรรค์และออกแบบให้เป็นรถยนต์ขนาดเล็กแต่สามารถสร้างสัมผัสและอารมณ์ที่ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสเหมือนกับที่เชฟโรเลตเคยประสบความสำเร็จกับ คอร์เว็ตต์’ คริส เพอร์รี รองประธานด้านการตลาดของเชฟโรเลตกล่าว ‘การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างงานออกแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ ประสบการในการขับที่สนุกสนาน และฟีเจอร์ใหม่ๆ ในตัวรถถือเป็นสิ่งที่โซนิกได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ในกลุ่มนี้’

เชฟโรเลตใช้เงินลงทุนจำนวน 545 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 16,350 ล้านบาท ในโปรเจกต์นี้ ซึ่งก็รวมถึงการปรับปรุงไลน์ผลิตของโรงงาน Orion Assembly Center ที่มลรัฐมิชิแกน
มิติตัวถังยังไม่ได้เปิดเผย แต่งรูปลักษณ์ภายนอกถูกถอดแบบความสวยและความเร้าใจมากจากครูซ และอาวีโอ แฮตช์แบ็ก โดดเด่นกระจังหน้าแบบใหม่ที่เรียกว่า Dual-port Grille รูปลักษณ์ด้านท้ายถูกออกแบบให้สอดประสานกับความเร้าใจในแบบสปอร์ตด้วยเสาหลังคาที่ลาดเทลง และให้สัมผัสเหมือนกับสปอร์ตคูเป้

เวอร์ชันที่ขายในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับรถยนต์ไซส์นี้ เพราะมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลายแบบ ซึ่งก็รวมถึง ขุมพลัง 1,400 ซีซี เทอร์โบ 138 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม. ที่ 1,850-4,900 รอบ/นาที และอีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับครูซ คือ 4 สูบ 1,800 ซีซี แต่มีกำลังลดลงมาอยู่ที่ 135 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม. ที่ 3,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ
ในด้านการยึดเกาะถนนเป็นงานของระบบช่วงล่างซึ่งด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมกับความกว้างช่องล้อหน้า และหลังเท่ากันที่ 1,509 มิลลิเมตร

ดูหน้าตากันไปพลางๆ ก่อน เพราะกว่าที่จะเริ่มทำตลาดต้องรออีกสักหน่อย และถ้าแผนการไม่ผิดพลาด โซนิก หรืออาวีโอ ซีดานพร้อมลุยตลาดยุโรป ช่วงกลางปีนี้ ส่วนตลาดแห่งอื่นๆ คงทยอยเปิดตัวตามมาในอีกไม่นาน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

09 มกราคม 2554

มิตซูบิชิ ไอ-มีฟ รถยนต์พลังงานบริสุทธิ์

หลังจากที่ มร.โอซามุ มาสุโกะ ประธานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาห กรรม ออกมาประกาศความร่วมมือที่จะมีการศึกษาและทดสอบการใช้งานรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มิตซูบิชิ ไอ-มีฟ ล่าสุดทาง บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประ เทศไทย ก็ได้จัดรถให้สื่อมวลชนไทยได้ทดลองขับกันด้วย

สำหรับรถไฟฟ้าโดยทั่ว ๆ ไปนั้นส่วนใหญ่จะนั่งได้แค่ 2 คน เพราะต้องเสียพื้นที่ห้องโดยสารให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่สำหรับไอ-มีฟนั้นทางมิตซูบิชิได้ร่วมมือกับ GS ยัวซ่าพัฒนาแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอ ออน ขนาด 330 โวลต์ รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลง จึงไม่เปลืองเนื้อที่ของห้องโดยสาร ทำให้ห้องโดยสารไอ-มีฟมีขนาดที่กว้างขวาง สามารถติดตั้งเบาะนั่งโดยสารได้ถึง 4 ที่นั่ง

ส่วนตัวถังของมิตซูบิชิ ไอ-มีฟนั้น

มิตซูบิชิเอามาจากรถยนต์รุ่นไอ ซึ่งเดิมจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 660 ซีซี 47 กิโลวัตต์ (64 แรงม้า) ที่ 6,000 รอบ/นาที กับแรงบิด 94 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ที่ติดตั้งในมิตซูบิชิ ไอ-มีฟนั้น ก็ให้กำลัง 47 กิโลวัตต์เช่นกัน แต่แรงบิดมีมากกว่าถึง 180 นิวตัน-เมตรหรือเกือบ ๆ 2 เท่าของไอ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของสมรรถนะ ในด้านความเร็วสูงสุดไอ-มีฟทำได้ถึง 130 กม./ชม. และมีระยะทางวิ่งได้ไกลสุดต่อการชาร์จไฟเต็มประมาณ 130-160 กม. แล้วแต่การใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ด้วย ส่วนแบตเตอรี่ 330 โวลต์ นั้นมีอายุการใช้งานถึง 10 ปี (หลังจากนั้นประสิทธิภาพในการเก็บไฟจะลดลงไม่ถึง 20%)

ในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เทียบกับไอ อัตราการกินน้ำมันของไอจะอยู่ที่ 18 กม./ลิตร คิดค่าใช้จ่ายก็ตกประมาณ กม.ละ 1.50-1.70 บาท ในขณะที่ไอ-มีฟจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่กม.ละ 0.60-0.90 บาท ส่วนเวลาในการชาร์จไฟนั้นแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ ชาร์จกับไฟขนาด 15 แอมป์/200 โวลต์ (แบบบ้านเรา) ใช้เวลา 5-7 ชม. ชาร์จกับไฟขนาด 15 แอมป์/100 โวลต์ (แบบญี่ปุ่น) ใช้เวลา 11-13 ชม. ถ้าชาร์จแบบเร็วกับระบบไฟแบบ 3 เฟส ขนาด 50 กิโลวัตต์/200 โวลต์ จะใช้เวลา 20-25 นาทีเท่านั้นซึ่งในญี่ปุ่นนั้นทางมิตซูบิชิได้ทำข้อตกลงกับการไฟฟ้า

ของญี่ปุ่นที่จะสร้างจุดชาร์จไฟแบบ 3 เฟส ไว้รองรับตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น จุดพักรถบนเส้นทางถนนหลวง หรือที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า

เท่าที่ได้ลองขับไอ-มีฟเป็นระยะทางสั้น ๆ พบว่าจุดเด่นของรถรุ่นนี้อยู่ที่ความกว้างขวาง ความเงียบ ความประหยัด และมีสมรรถนะที่ดีมาก โดยในช่วงที่ลองขับแม้จะมีผู้โดยสารไปด้วยถึง 4 คน แต่รถก็ยังทำอัตราเร่งออกตัวได้อย่างว่องไว การทรงตัวก็ทำได้มั่นคงดีในทางโค้ง เพราะตัวแบตเตอรี่ ชุดควบคุมและมอเตอร์ ถูกติดตั้งอยู่ที่ใต้เบาะนั่งค่อนไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ในตำแหน่งต่ำ ช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ใกล้กับพื้น แต่จุดที่ให้ความรู้สึกแปลกอยู่บ้างคือ เวลาถอนคันเร่งเพื่อชะลอความเร็ว รถจะไม่มีแรงเบรกจากเครื่องยนต์ มาช่วยชะลอความเร็วแบบรถที่ใช้เครื่องยนต์ นอกจากนี้ ไอ-มีฟยังไม่มีระบบเกียร์ส่งกำลังอีกด้วย ดังนั้นเมื่อต้องการชะลอความเร็วก็ต้องอาศัยการเบรกเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่มีปัญหากับระยะทางหรือความปลอดภัยในการเบรกรถแต่อย่างไร เป็นเพียงความรู้สึกไม่ คุ้นชินเท่านั้นเองครับ

สำหรับราคาค่าตัวของไอ-มีฟจะอยู่ประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งแพงเอาเรื่อง ถ้าจะเอาเข้ามาขายในบ้านเราจริง ๆ ก็คงต้องได้รับการสนับสนุนให้ราคาถูกลงกันกว่านี้ เพราะถ้าคิดกันแบบพื้น ๆ รถขนาดเดียวกับไอ-มีฟที่ขายอยู่ในบ้านเรานั้น ราคาจะอยู่ประมาณ 5 แสนบาท ซึ่งส่วนต่างของราคาที่ประมาณ 9 แสนบาทนั้น ถ้าเอาเงินมาเติมน้ำมันเดือนละ 5 พันบาท ก็สามารถเติมได้ถึง 15 ปีเลย พูดจากใจเลยนะว่า “โลกน่ะผมก็รัก แต่ตังค์มีไม่ถึงน่ะสิ”.
มิตซูบิชิ ไอ-มีฟ รถยนต์พลังงานบริสุทธิ์
สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
ที่มา เดลินิวส์

08 มกราคม 2554

Subaru Impreza Concept : ตัวแทนแมวน้อยมาแน่อีกไม่นาน

Subaru Impreza Concept : ตัวแทนแมวน้อยมาแน่อีกไม่นาน สำหรับแฟนๆ ของซูบารุ อิมเพรซ่าใกล้จะถึงเวลาได้เสียเงินเปลี่ยนรถใหม่กันแล้ว เพราะในตอนนี้แบรนด์ดังของญี่ปุ่นจัดการเผยโฉมตัวต้นแบบของอิมเพรซ่าใหม่ออกมาแล้วในชื่อ Impreza Concept ซึ่งจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นปัจจุบัน ที่แฟนๆ ในบ้านเราเรียกขานอย่างน่ารักว่า ‘แมว’

Subaru Impreza อิมเพรซา ถือเป็นรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็กต์ที่สร้างชื่อและทำให้ซูบารุสามารถขยายแนวรุกออกสู่ตลาดภูมิภาคต่างๆ โดยรุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาในรหัส GC เมื่อปี 1993 สามารถสร้างชื่อในตลาดและสนามแข่ง เพราะเป็นตัวแรงที่กวาดชัยชนะในสนามแข่งแรลลี่ระดับโลกอย่าง WRC รวมถึงพาซูบารุเบียดคู่ปรับตลอดกาลอย่างมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชันขึ้นเป็นแชมป์โลกได้หลายปี

สำหรับรุ่นปัจจุบัน ในรหัส GE เป็นเจนเนอเรชันที่ 3 และเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2007 พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การหันมาใช้ประตูแบบมีกรอบ ต่างจาก 2 รุ่นแรกที่เป็นแบบไร้กรอบ รวมถึงการส่งตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเข้ามา และถอดตัวถังแวกอนออกไป โดยกำหนดให้เป็นตัวถังหลักในการนำตลาดทั่วโลก ไม่ใช่ซีดาน 4 ประตูเหมือนกับที่ผ่านมา
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซูบารุเพิ่งจะปรับโฉมให้กับอิมเพรซ่า GE ไปตลาดทั่วโลกทั้งญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจในเวลาต่อมาบนเวทีแอลเอ มอเตอร์โชว์ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กับการเผยโฉมตัวต้นแบบที่คาดว่าจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นตัวแทนของอิมเพรซา GE และคาดว่าน่าจะเปิดตัวในปี 2012

ตัวรถมากับคอนเซ็ปต์ Dynamic Flow and Confident Stance ในการสร้างสรรค์รูปลักษณ์และสัมผัสแห่งความเร้าใจที่บรรดาแฟนๆ ของอิมเพรซ่าจะได้รับจากตัวรถ โดยเฉพาะในแง่ของความสปอร์ต และพลังขับเคลื่อนภายในตัวรถที่จะถูกสะท้อนออกมาผ่านทางทุกรายละเอียดบนตัวถัง
แม้ว่าในรุ่น GE บทบาทหลักในการทำตลาดของอิมเพรซ่าจะถูกโยนไปที่ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู แต่สำหรับในตัวต้นแบบของรุ่นใหม่ ซูบารุกลับเลือกแสดงรายละเอียดบนตัวถังแบบซีดาน 4 ประตู ที่เพียบพร้อมด้วยความเร้าใจ ทั้งไฟหน้าทรงเหลี่ยมเฉียงที่ถูกออกแบบให้สอดรับกับเส้นสายบนตัวถังและฝากระโปรงหน้า
ซุ้มล้อทั้ง 4 ด้านถูกดึงออกมาเพื่อให้เห็นถึงมัดกล้ามและพลังของตัวรถ ดูลงตัวกับล้อแม็กขนาด 19 นิ้วจับคู่กับยาง 245/40ZR19 เช่นเดียวกับเสากระจกบังลมหน้าซึ่งลาดเทไปทางด้ายหลัง และสอดรับกับเสากระจังบังลมหลัง หรือ C-Pillar ที่ลาดเทมาทางด้านหน้า จนทำให้ตัวรถดูสวยสปอร์ตในแบบ 4-Door Coupe ซึ่งมิติตัวถังในรุ่นต้นแบบมีความยาว 4,520 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร

ในห้องโดยสารตอบรับกับสัมผัสแห่งความเร้าใจด้วยแนวทางการออกแบบที่เรียกว่า Dynamic, Enticing, Secure ตอบสนองทั้งความสปอร์ต ความสะดวกสบาย และความหรูรา โดยมีจุดเด่นที่มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และความเร็วเป็นแบบดวงกลมขนาดใหญ่ แทรกกลางด้วยหน้าจอทรงสี่เหลี่ยมสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ
หน้าที่ในการขับเคลื่อนยังเป็นงานของขุมพลังแบบ 4 สูบนอนบ็อกเซอร์ ซึ่งในรุ่นต้นแบบเป็นบล็อกที่มีความจุ 2,000 ซีซี ไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ที่น่าสนใจคือ การหันมาจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ที่ทางซูบารุเรียกว่า Lineartronic เป็นเกียร์รุ่นใหม่ที่คาดว่าซูบารุจะนำมาใช้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรุ่นอิมเพรซ่า

ในตอนนี้ยังเป็นต้นแบบก็จริง แต่อดใจรอกันได้ คาดว่าไม่น่าเกินปี 2012 เราน่าจะได้เห็นโฉมใหม่ของอิมเพรซ่ากัน แต่จะเหมือนหรือต่างจากตัวต้นแบบที่เห็นอยู่ในภาพนี้มากน้อยแค่ไหน...อีกไม่นานเกินรอคงจะได้รับทราบ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

02 มกราคม 2554

รถยอดนิยมมาแรงปี53 ปีเถาะ

รถยอดนิยมมาแรงปี53 ปีเถาะ เปิดศักราชใหม่ รถรุ่งพุ่งแรงปีกระต่าย ยังคงเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ “บี คาร์” ขนาดไม่ใหญ่โต ประหยัดน้ำมัน ราคาสบายกระเป๋า ที่ขายดิบขายดีข้ามปี หันไปทางไหนก็ต้องเจอ คือ ฮอนด้า ซิตี้ เจนเนอเรชั่น 3 เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ราคาระหว่าง 524,000-694,000 บาท ปีที่ผ่านมาฮอนด้ามียอดสะสม 11 เดือน 42,737 คัน และ โตโยต้า วีออส ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค.ปี 53 มีขุมพลังเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ราคาระหว่าง 514,000-714,000 บาท รถของทั้ง 2 ค่ายนี้เป็นมวยที่สมน้ำสมเนื้อกัน อีกทั้งยังเป็นรุ่นยอดฮิตพิมพ์นิยมที่ตลาดยังไม่เบื่อ

สำหรับซูซูกิมี ซูซูกิ สวิฟท์ เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี รถเท่ ๆ รูปลักษณ์โดน ราคาไม่ไกลเกินเอื้อม 599,000-654,000 บาท ยังทำตลาดได้ดี ทางด้านรถจากแดนเสือเหลือง โปรตอน ซาก้า มากับตัวถังซีดาน พกเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 120 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด โดดเด่นด้วยช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจาก “โลตัส” ประเทศอังกฤษ ราคาระหว่าง 399,000-464,000 บาท

ค่ายรถยนต์ที่เพิ่งฟื้นไข้อย่างเชฟโรเลต ออกอาการคึกคักผิดหูผิดตา หลังจากส่ง เชฟโรเลต อาวีโอ ซีเอ็นจี เครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี ราคาระหว่าง 599,000-635,000 บาท เพียงเดือนเดียว ยอดจองอยู่ที่ 850 คัน เสริมทัพด้วย เชฟโรเลต ครูซ รถใหม่ถอดด้ามเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี, 1,800 ซีซี และ 2,000 ซีซี ราคาระหว่าง 729,000-1,149,000 บาท ยอดจองไม่น้อยถึงปลายเดือน ธ.ค. 1,200 คัน

ด้าน ฟอร์ด เฟียสต้า ที่เปิดตัวไปกลางปี 53 ยังฮอตไม่เลิกเพราะบางรุ่นต้องรอรถ 2-3 เดือน มีขนาดเครื่องยนต์ 1.4 และ 1.6 ลิตรให้เลือก ราคาเริ่มต้นที่ 529,000-699,000 บาท ส่วน มาสด้าไม่ได้น้อยหน้า เคลื่อนพล มาสด้า2 ทั้ง 4 ประตู และ 5 ประตู ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ราคาระหว่าง 535,000-690,000 บาท ออกรบในตลาดบีเซ็กเมนท์ เปิดตัวปุ๊บยอดจองถล่มทลาย วันนี้มาสด้า2 กลายเป็นหัวหอกทำให้ค่ายมาสด้ามียอดขายเติบโตเกิน 100%

น้องใหม่อีโคคาร์คันแรกของเมืองไทย มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ นิสสัน มาร์ช ที่ดันยอดขายค่ายนิสสันทะลุทะลวง เฉพาะ รุ่นนี้กวาดตลาดไป 30,000 คัน แว่วมาว่าปีนี้จะมีนิสสัน มาร์ช 4 ประตู เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร และอาจจะได้เห็นตัวเป็น ๆ ณ งานมอเตอร์โชว์ ปลายเดือน มี.ค. ซึ่งในงานเดียวกันก็จะเปิดให้จอง ฮอนด้า บริโอ้ รถในโครงการอีโคคาร์ของฮอนด้า เครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1.3 ลิตร โดยฮอนด้าคาดว่า จะกำหนดราคาเริ่มต้นประมาณ 400,000 บาท

นอกเหนือจากรถเล็ก ก็ยังมีรถใช้พลังงานทางเลือกที่ตลาดให้ความสนใจ โดยเฉพาะ โตโยต้า พริอุส ไฮบริด รถพันธุ์ผสมใช้ได้ทั้งน้ำมันและพลังงานไฟฟ้า ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรราคาระหว่าง 1,190,000-1,260,000 ที่ค่ายสามห่วงส่งเข้าประกวด ก็เข้าตาประชาชนไม่น้อย

ผู้ประกอบการรถยนต์หลายค่ายต่างส่งรถเล็ก ประหยัดน้ำมัน ราคาไม่แพงลงชิงเค้กตลาดรถยนต์นั่ง ประกอบกับตลาดรถยนต์โตต่อเนื่องจากปี 53 เชื่อว่ายอดขายรวมจะขยับขึ้นไปได้ถึง 850,000 คัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่โตพรวดพราด แต่รถยนต์นั่งที่เป็นซับเซ็ทของกลุ่มบีเซ็กเมนท์ โดยเฉพาะอีโคคาร์ ที่เข้ามาเปิดตลาดแล้ว 2 ค่าย รวมถึงรถเล็กเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.3 ลิตรก็มีอีกหลายยี่ห้อ งานนี้ตลาดรถเล็กแข่งกันมันหยด ลูกค้าก็แค่รอรถเรียงเดี่ยวเข้ามาให้เลือกจับจองตามอัธยาศัย.

ที่มา เดลินิวส์

01 มกราคม 2554

Nissan Juke ยนตรกรรมหรู Eton เผยโฉม นิสสัน จูค 1.6 เทอร์โบ


Eton เผยโฉม นิสสัน จูค 1.6 เทอร์โบ ค่ายอีตั้น รุกตลาดเกร์ยฯ สั่งนำเข้า “นิสสัน จูค 1.6 เทอร์โบ” เจ้าแรกในเมืองไทย เน้นเจาะกลุ่มวัยโจ๋ และลูกค้าที่ชื่นชอบความแตกต่าง ไม่ซ้ำใคร ชูแคมเปญ Eton Motor Fest 2011 สุดกระหึ่มส่งท้ายปี
Nissan Juke ยนตรกรรมหรู ที่นำจุดเด่นของรถนิสสัน หลากหลายรุ่นมารวมกัน ภายใต้การออกแบบโดย Nissan Design Europe (NDE) ซึ่งเป็นศูนย์การออกแบบของนิสสัน ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วนำมาพัฒนาต่อที่ Nissan's Design Centre (NDC) ศูนย์การออกแบบของนิสสันที่ญี่ปุ่น ทำให้รูปโฉมทั้งภายในและภายนอกโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยขนาดที่กะทัดรัด และปราดเปรียว แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นสปอร์ตหรู น่าหลงใหล ส่วนภายในห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบายในทุกตำแหน่ง เบาะหลังสามารถปรับได้หลากหลาย พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ เบาะนั่งผ้าชนิดพิเศษผสมหนังกลับสีแดงดูหรูหรา ระบบปรับอากาศเป็น แบบอัตโนมัติ พร้อมอุปกรณ์ อำนวยความสะดวกครบครัน
Nissan Juke ใช้เครื่องยนต์รุ่น MR16 DDT ขนาด 1,600 cc เทอร์โบ Direct Injection ให้กำลัง 190 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตรที่2,000 – 5,600 รอบต่อนาที ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า พร้อมเกียร์ CVT 6 สปีด มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.4 กิโลเมตรต่อลิตร

นางอัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีตั้น อิมปอร์ท จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุกอย่างเป็นความลงตัวมาก ระยะเวลาที่เรากำหนดการนำเข้ารถรุ่นนี้เข้ามาลงตัวพอดีกับช่วงแคมเปญ Eton Motor Fest 2011 พอดี เพราะมีลูกค้าหลายท่านที่รอรถนำเข้า นิสสัน จูค เครื่อง 1,600 อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นความลงตัวของรูปทรง ความประหยัด หรือสมรรถณะประโยชน์ ความสะดวกสบายในการขับขี่นั้น จะโดนใจลูกค้าหลายท่านเลยทีเดียว และคาดว่ายอดขายรถรุ่นนี้น่าจะไปได้ดีเพราะเรามีแคมเปญช่วย เสริม ”
ที่มา แนวหน้า