22 พฤษภาคม 2554

รถคัน​นี้ 283 ล้าน

หลังจาก​เรียก​เสียง​ฮือ​ฮา​เมื่อ​คราว​เปิด​ตัว​ครั้ง​แรก​ใน​โลก​ที่​งาน​ปารีส​ออ​โต้​โชว์​เมื่อ​ปี​ที่​แล้ว สำหรับ​รถ​ซุปเปอร์​คาร์​ต้นแบบ​จาก​ค่าย​ลัมบอร์​กินี เจ้าของ​โล​โก้ก​ระทิง​ดุ​แห่ง​อิตาลี นั่น​คือ “Sesto Elemento”

ล่า​สุด​เมื่อ​สัปดาห์​ที่​แล้ว ลัมบอร์​กินี​ได้​สร้าง​ความ​ฮือ​ฮา​กระหึ่ม​โลก​อีก​แล้ว ด้วย​การ​ประกาศ​ราคา​ซุปเปอร์​คาร์​ต้นแบบ​คัน​นี้​เป็น​ทางการ​แล้ว

เคาะ​ราคา​บาด​หัวใจ​ประมาณ 88.5 ล้าน​บาทหาก​นำ​เข้า​มา​บ้าน​เรา ราคา​เมื่อ​รวม​ภาษี​นำ​เข้า​หฤโหด​จะ​ทะลัก​เพิ่ม​เป็น 283 ล้าน​บาท!!

15 พฤษภาคม 2554

เบนท์ลีย์ เปิดประทุน มีเพียง 100 คันในโลก

นาน ๆ ครั้งรถระดับพรีเมี่ยมอย่างเบนท์ลีย์ จะเปิดตัวรุ่นพิเศษ แต่ครั้งนี้ขอนำเสนอเบนท์ลีย์ คอนติเนนทัล ซูเปอร์สปอร์ตไอเอสอาร์ เปิดประทุน หรือเรียกว่า รุ่นไอซ์ สปีด เรคคอร์ด ซึ่งรังสรรค์มาเพียง100 คันเท่านั้น สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่เบนท์ลีย์สามารถทำสถิติระดับโลกในรายการ เวิลด์ ไอซ์ สปีด เรคคอร์ด ที่ขับโดย จูฮา คันค์คูเนน แชมป์แรลลี่โลก 4 สมัย

เบนท์ลีย์ คอนติเนนทัลซูเปอร์สปอร์ต ไอเอสอาร์ ภายนอกโดดเด่นด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ที่ทรงพลัง แข็งแกร่ง ดุดัน ส่วนภายในตัวห้องโดยสารเป็นงานหัตถกรรมชั้นนำตามรูปแบบของเบนท์ลีย์ทุกอย่างชุดหนังและวัสดุต่าง ๆ ที่ประดับภายในห้องโดยสารมีความร่วมสมัยและสปอร์ต ด้วยการใช้สีแดงมาแต่งเติมภายในทั้งแผงประตู รอยตะเข็บบนเบาะนั่ง ขอบประตู พวงมาลัย และก้านเกียร์ มีสลักคำว่า “ซูเปอร์สปอร์ต” บนเบาะหน้าและพรมด้านหน้า

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 ใหม่ ของเยอะขึ้นราคาถูกลง

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 ใหม่ ของเยอะขึ้นราคาถูกลง
หลังจากค่ายมิตซูบิชิเปิดตัวรถยนต์รุ่นแลนเซอร์ อีเอ็กซ์มาได้ 2 ปีกว่า ก็ถึงเวลาที่จะมีการปรับโฉมกันเสียที สำหรับแนวคิดในการปรับโฉมแลนเซอร์ อีเอ็กซ์รุ่นที่ 2 นี้ โคจิ นากาฮาร่า กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้เล่าให้ฟังว่า แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ใหม่ จะเน้นภาพลักษณ์ของรถเก๋งสไตล์โฉบเฉี่ยวที่มีความลงตัว และยังจะสะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์เร้าใจในตัวตนผู้ขับอีกด้วย

ปัจจุบันแลนเซอร์มีจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 4 รุ่นหลักคือ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 ไมเวค จีแอลเอ็กซ์ ราคา 794,000 บาท,

10 พฤษภาคม 2554

ซื้อประกันภัยรถยนต์ ล่วงหน้า..?!?

ถ้าอยากรู้ว่า บ้านไหนใครใหญ่จริง เขาบอกว่าให้สังเกตตอนนั่งดูโทรทัศน์ ว่ารีโมท คอนโทรลอยู่ในมือใคร.. ;)

บางครอบครัวใช้วิธีซื้อโทรทัศน์คนละเครื่อง พ่อดูกีฬา แม่ดูละคร ลูกดูการ์ตูน ส่วนใครชอบรูปโป๊ ก็แอบดูทางอินเทอร์เน็ต..

ความที่รีโมท คอนโทรล คืออุปกรณ์ควบคุมอำนาจของจริงทั้งในครอบครัวและในมือผู้บริโภค ก็เลยทำให้บรรดาผู้ผลิตสินค้าต้องคิดกันหัวแทบแตก เพื่อสร้างสรรค์สปอตโฆษณาให้สามารถตรึงผู้ชมโทรทัศน์ไว้ได้ ไม่กดเปลี่ยนหนีไปช่องอื่น..

07 พฤษภาคม 2554

"ทาทานาโน" รถราคาถูกที่สุดในโลก

ทาทานาโน เป็น รถยนต์ ที่ราคาถูกที่สุดในโลก ที่ไม่ใช่ รถยนต์มือสอง
ผลิตจากค่ายรถยนต์นาโนมอเตอร์ของอินเดีย (ยักษ์ใหญ่ธุรกิจรถอันดับ 2 ของโลก) จำหน่ายในราคาเพียง 100,000 รูปี หรือราว 75,000 บาท เท่านั้น

บริษัททาทา มอเตอร์ส ค่ายผลิตรถยนต์ของอินเดีย เปิดตัว "ทาทา นาโน" รถยนต์ราคาถูกที่สุดในโลก ในงานแสดงยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย กรุงนิวเดลี โดยเป็นรถยนต์ครอบครัวออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานในอินเดีย
จำหน่ายในราคาเพียง 100,000 รูปี หรือราว 75,000 บาท

นายราทัน ทาทา ประธานบริษัททาทา มอเตอร์ส กล่าวว่า การเปิดตัวนาโนถือเป็นก้าวย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ยานยนต์ บริษัทใช้เวลา 4 ปี ในการพัฒนาเพื่อให้เป็นรถของประชาชน ปลอดภัยได้มาตรฐาน ราคาไม่แพง

Mazda 3 : แรงประหยัดด้วยเทคโนโลยี SKYACTIV

ด้วยอายุตลาดที่น่าจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาของการปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2010 แล้ว นั่นก็เลยทำให้หลายคนคาดหวังว่าน่าจะได้เห็นหน้าตาของ 3 ใหม่แบบปรับโฉมในงานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2011 หลังจากมีข่าวว่ามาสด้าจะเปิดตัว 3 ที่มีอะไรใหม่ในงานนี้ ... แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด

เพราะ ‘อะไรใหม่’ ใน 3 ที่ถูกเปิดตัวในงานนี้คือ การนำแนวคิด SKYACTIV ที่กำลังฮ็อตของมาสด้ามาใช้กับรถยนต์คอมแพ็กต์รุ่นยอดนิยม และถือเป็นครั้งแรกที่ผลผลิตจาก SKYACTIV ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ในต่างประเทศ หลังจากที่มาสด้านำมาใช้ครั้งแรกกับรุ่นเดมิโอ หรือ 2 ในตลาดญี่ปุ่นเมื่อต้นปีนี้
สำหรับ 3 ที่เห็นอยู่นี้เป็นการนำเครื่องยนต์ใหม่ตามแนวคิด SKYACTIV มาใช้ โดยเป็นเครื่องยนต์ SKY-G ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีการตอบสนองในด้านกำลังขับเคลื่อนที่ดีขึ้น พร้อมกับความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมาสด้าจะนำเข้ามาเสริมทัพร่วมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 2,000 ซีซีรุ่นธรรมดาที่มีขายอยู่ในตลาด

เครื่องยนต์ SKY-G ของมาสด้าเป็นแบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมระบบ Di หรือ Direct Injection หัวฉีดแบบ Multi-Hole มีการพ่นน้ำมันเป็นฝอยละอองละเอียดขึ้น ตามด้วยระบบวาล์วแปรผันแบบคู่ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย หรือ Dual Sequential Valve Timing (S-VT) โดยเครื่องยนต์ทั้งบล็อกถูกพัฒนาให้เบาขึ้น จาก MZR 2.0 ถึง 2 กิโลกรัม และมีการลดอาการ Pumping Loss ในจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ ทำให้ขจัดปัญหาทั้งในแง่ของการสูญหายของกำลัง และความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มอัตราส่วนการอัดขึ้นเป็น 12.0 : 1 มีกำลังขยับจากบล็อก MZR ถึง 5% จาก 148 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาทีขึ้นมาเป็น 155 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที (และลดลงเหลือ 154 แรงม้าเมื่อเป็นสเป็ก PZEV หรือ Partial Zero Emission Vehicle สำหรับขายในแคลิฟอร์เนีย) ส่วนแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 10% จาก 18.63 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที มาเป็น 20.4 กก.-ม. ที่ 4,100 รอบต่อนาที

นอกจากตัวเครื่องยนต์แล้ว มาสด้ายังนำเทคโนโลยี SKYACTIV ของเกียร์ ที่เรียกว่า SKYACTIV-Drive มาใช้ด้วยในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนในรุ่นเกียร์ธรรมดาจะเป็นแบบ SKYACTIV-MT ที่มีจังหวะเท่ากัน ขณะที่รุ่น MZR 2.0 ยังมีขายควบคู่กันด้วย แต่ใช้เกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
สำหรับความประหยัดน้ำมันของเวอร์ชัน SKYACTIV ดีขึ้นจากรุ่น MZR 2.0 ถึง 21% ซึ่งในรุ่นเกียร์อัตโนมัติมีตัวเลขความสิ้นเปลืองในการขับแบบผสมผสานระดับ 16.2 กิโลเมตร/ลิตร และเมื่อดูจากถังน้ำมันขนาด 14.5 แกลลอน หรือประมาณ 57 ลิตรนั้น สามารถทำระยะทางได้ถึง 540 ไมล์ หรือ 867 กิโลเมตร โดยที่ยังมีน้ำมันเหลืออีก

ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ระหว่างรุ่นธรรมดา กับเวอร์ชัน SKYACTIV มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในส่วนของกันชนหน้า ซึ่งมีการออกแบบช่องสปอตไลท์ใหม่ เช่นเดียวกับแถบคาดกลางตรงช่องดักลมบนกันชน ซึ่งในรุ่น SKYACTIV แถบดำขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือบนตัวถังแทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นดั้งเดิมเลย
การทำตลาดจะเริ่มในสหรัฐอเมริกากลางปีนี้ โดยเป็นโมเดลที่ถูกเพิ่มความสดในแง่ของเครื่องยนต์ ส่วนบ้านเรา 3 ใหม่เพิ่งเปิดตัวไปในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าการเปิดตัว 3 เวอร์ชัน SKYACTIV ดังนั้น เครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็ยังเป็น MZR 2.0 บล็อกปกติ ส่วนจะมีบล็อก SKYACTIV ให้เลือกขับในอนาคตหรือไม่นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

05 พฤษภาคม 2554

Ford Territory : โฉมใหม่ตัวลุยจากดาวน์อันเดอร์

สำหรับแฟนๆ ของฟอร์ดในบ้านเรา ชื่ออย่าง Territory น่าจะคุ้นหูและคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นการนำเข้ามาจากไลน์ผลิตของฟอร์ดในออสเตรเลียเพื่อเข้ามาเสริมทัพตลาดเอสยูวีในกลุ่มที่สูงกว่าเอสเคป

ก็ได้รับความนิยมกันไปในระดับหนึ่ง เพราะมีให้เห็นวิ่งบนถนนกันพอสมควร ส่วนในออสเตรเลีย ตอนนี้มีการเปิดตัวโฉมใหม่แบบโมเดลเชนจ์ออกมาแล้ว เป็นโมเดลปี 2012 พร้อมกับการพลิกโฉมงานออกแบบให้สอดคล้องกับรถยนต์ของฟอร์ดทั่วโลกภายใต้คอนเซ็ปต์ไอเดีย Kinetic Design
Territory เป็นเอสยูวีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยฟอร์ด ออสเตรเลียเพื่อขายในตลาดแถบนั้น ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2004 โดยใช้พื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหลังของรถยนต์ครอบครัสรุ่นฟัลคอน ส่วนรุ่นปัจจุบันที่เห็นอยู่นี้มากับรหัส SZ บนตัวถังแบบ 5 ประตูที่ได้รับการออกแบบได้อย่างสวยและสะดุดตาตามแบบฉบับ Kinetic Design ของฟอร์ด
ตัวรถยังได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเคย และก็มีขายทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังอย่างเดียว และแบบ 4 ล้อตลอดเวลา หรือ AWD มีความยาวรวม 4,883 มิลลิเมตร กว้าง 1,898 มิลลิเมตร สูง 1,716 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,843 มิลลิเมตร โดยที่พื้นที่ว่างใต้ท้องรถ หรือ Ground Clearance อยู่ที่ 175 มิลลิเมตร และสมรรถนะในการลุยอยู่ในระดับที่มั่นใจได้ มีมุมไต่ หรือ Approach Angle 22.6 องศา มุมจาก-Departure Angle 23.5 องศา
เครื่องยนต์มี 2 แบบ เป็นเบนซินและเทอร์โบดีเซลอย่างละรุ่น แบบแรกเป็นบล็อกใหญ่ขนาดวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4,000 ซีซี 265 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 39.8 กก.-ม. ที่ 3,250 รอบ/นาที ขณะที่รุ่นเทอร์โบดีเซลยกชุดมาจากเครื่องยนต์แลนด์โรเวอร์ อดีตบริษัทในเครือฟอร์ด เป็นแบบวี6 ทวินแคม 2,700 ซีซี มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 44.8 กก.-ม. ที่ 1,900 รอบ/นาที ส่วนระบบเกียร์ก็มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา และอัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยความประหยัดน้ำมันในรุ่นเทอร์โบดีเซลขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ในระดับ 11.2 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับในรูปแบบผสมผสานทั้งในเมืองและนอกเมือง

การทำตลาดของ Territory ใหม่จะเริ่มขึ้นในออสเตรเลียช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมา

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

02 พฤษภาคม 2554

“ฟอร์ด” พัฒนาระบบเซฟตี้เพื่อเด็ก

ฟอร์ด ประกาศเริ่มทำการวิจัยพัฒนาหุ่นจำลองทดสอบการชนแบบดิจิตอลสำหรับผู้โดยสารเด็ก หวังยกระดับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย และนำมาต่อยอดเพื่อการใช้งานจริงต่อไปในอนาคต
หลังจากดำเนินการวิจัยด้านความปลอดภัยในการขับขี่มายาวนานกว่า 10 ปี เพื่อสร้างหุ่นจำลองทดสอบการชนแบบดิจิตอลสำหรับผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งมีความซับซ้อนและมีรายละเอียดสูง ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของร่างกายหรือการจำลองอวัยวะต่างๆอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของมนุษย์บ้างในขณะที่เกิดการชน

ล่าสุด ทีมวิจัยของฟอร์ดกำลังทำการสร้างหุ่นจำลองเด็กจากเครื่องตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อศึกษาความแตกต่างของผลกระทบจากการชนระหว่างผู้โดยสารที่เป็นเด็กและผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่

โดย ดร. สตีฟ โรฮานา หัวหน้าฝ่ายเทคนิคอาวุโสด้านความปลอดภัยจากหน่วยงานวิจัยและวิศวกรรมขั้นสูงของฟอร์ด เปิดเผยว่า ฟอร์ดศึกษาแนวโน้มการได้รับบาดเจ็บจากการขับขี่ ซึ่งทำให้ทราบว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของผู้คนวัย 1-34 ปี ขณะเดียวกันกำลังศึกษาในรายละเอียดว่า ผู้โดยสารที่เป็นเด็กมีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากการชนแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง
“ระบบปกป้องความปลอดภัยผู้โดยสารของฟอร์ดได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อลดการบาดเจ็บร้ายแรงและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นจากการชน ซึ่งระบบต่างๆ ของเราได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การบาดเจ็บจากการชนก็ยังคงมีอยู่ และยิ่งเรามีความรู้เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์มากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีความสามารถในการพัฒนาระบบปกป้องความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะร่างกายของเด็กมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างมาก การพัฒนาหุ่นจำลองดิจิตอลสำหรับเด็กจะช่วยให้เราสามารถออกแบบระบบปกป้องความปลอดภัยสำหรับเด็กได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต”

ฟอร์ดได้พัฒนาหุ่นจำลองดิจิตอลแบบผู้ใหญ่มาแล้วก่อนหน้านี้ โดยโครงการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2536 และต้องใช้เวลากว่า 10 ปีในการเก็บรายละเอียดทั้งหมดเพื่อความถูกต้อง ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เสร็จสมบูรณ์ในพ.ศ. 2547

ฟอร์ดใช้หุ่นจำลองดิจิตอลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นนี้ในงานวิจัยต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารถยนต์ ดังนั้น หุ่นจำลองนี้จึงไม่ใช่ประดิษฐกรรมที่จะถูกนำมาใช้แทนที่หุ่นจำลองทดสอบการชนในปัจจุบันแต่อย่างใด เนื่องจากหุ่นจำลองทดสอบการชนทั่วไปจะช่วยวัดผลกระทบของร่างกายที่เกิดจากการรับแรงกระแทก แต่หุ่นจำลองดิจิตอลจะถูกนำมาใช้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกลไกการได้รับบาดเจ็บของร่างกาย ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาระบบปกป้องความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“หุ่นจำลองดิจิตอลของฟอร์ดได้รับการพัฒนาขึ้นทีละชิ้น ทีละส่วน เริ่มจาก สมอง กะโหลก คอ โครงกระดูก แขน ขา และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยนักวิทยาศาสตร์จะต้องศึกษาวิจัยองค์ประกอบของอวัยวะแต่ละส่วนอย่างละเอียด” ดร.โรฮานา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายของเด็กยังมีอยู่ไม่มากนัก นักวิจัยของฟอร์ดจึงได้นำเอาความสามารถในการร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกมาใช้ ด้วยการลงนามในข้อตกลง 1 ปี ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เทียนจิน ประเทศจีน

โดยทำงานร่วมกับโรงพยาบาลเด็กเทียนจิน ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสรีระของเด็กและข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างกายของเด็กจากแหล่งข้อมูลต่างๆ อาทิ ผลการตรวจวินิจฉัยอาสาสมัครด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และผลจากเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CAT Scans) ซึ่งเทียนจินนับว่าเป็นมณฑลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมณฑลหนึ่งในประเทศจีนและตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวง ส่วนข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับโครงการดังกล่าวจะมาจากการรวบรวมข้อมูลงานเขียนที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

01 พฤษภาคม 2554

เชฟโรเลต มีเรย์ ต้นแบบสปอร์ตอนาคต

จีเอ็ม เกาหลี ได้ฤกษ์อวดโฉม เชฟโรเลต มีเรย์ (MIRAY) รถสปอร์ตโรดสเตอร์ต้นแบบที่งานโซล มอเตอร์โชว์ 2011 เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีเชฟโรเลต พร้อมรุกตลาดใหม่ในเกาหลี ด้วยที่สุดแห่งงานออกแบบอันล้ำยุค
ในภาษาเกาหลี 'มีเรย์' (MI RAY) สื่อความหมายถึงอนาคต ซึ่งมีนัยสำคัญ จากการที่ จีเอ็ม ได้เริ่มแนะนำแบรนด์เชฟโรเลต สู่ตลาดเกาหลี ดังนั้น รถต้นแบบ มีเรย์ จึงนำเสนอแนวทางแห่งอนาคตของแบรนด์ที่จะเชื่อมโยงผู้ขับขี่และตัวรถให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น พร้อมกับการนำเสนอรูปลักษณ์อันสดใหม่ในแบบที่รถสปอร์ตควรจะเป็นในอนาคต
มีเรย์ ได้รับการพัฒนาโดยแอดวานซ์ ดีไซน์ สตูดิโอ ศูนย์การออกแบบยานยนต์ของจีเอ็ม ในกรุงโซล เป็นการผสมผสานกันของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฮบริด และรูปลักษณ์อันล้ำสมัย ขณะเดียวกัน มีเรย์ยังสร้างความสมดุลระหว่างงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของเชฟโรเลต กับแนวทางของการออกแบบในอนาคต เนื่องในโอกาสที่เชฟโรเลต เฉลิมฉลองครบหนึ่งศตวรรษในปี 2554 นี้
มีเรย์ ถือเป็นการสานต่อตำนานรถสปอร์ตคลาสสิกของเชฟโรเลต ไม่ว่าจะเป็นตัวถังที่มีขนาดเล็ก เปิดหลังคาเหมือนกับเชฟโรเลต คอร์เวร์ มอนซ่า เอสเอส ปี 1963 น้ำหนักเบาและเอื้อต่อการใช้งานอเนกประสงค์เหมือนกับคอร์เวร์ ซูเปอร์ สไปเดอร์ ปี 1962 โดยรูปลักษณ์ภายนอกที่ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้มีเรย์ ดูดุดันคล้ายคลึงกับเครื่องบินรบยุคใหม่
ตัวถังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ (CFRP- Carbon Fiber-ReinforcedPlastic) ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และน้ำหนักเบา การออกแบบด้านข้างทรงลิ่มรับกับเส้นสายสันคม ที่มีเส้นไฟส่องสว่าง ช่วยเพิ่มมิติให้ตัวรถขณะพุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมกับสร้างความร้อนแรงบนตัวถังรถอันดุดัน สำหรับประตูเปิดขึ้นแบบปีกนกคล้ายกับรถแข่งเลอมังส์ เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สัมผัสห้องโดยสารอย่างเต็มตา
ด้านหน้ารถตอกย้ำดีเอ็นเอเชฟโรเลต กระจังหน้าสองชั้นเคียงคู่กับไฟหน้าแบบแอลอีดี คู่กับเส้นสายไฟหน้าที่ส่องสว่างในเวลากลางวันซึ่งเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของเชฟโรเลต ซุ้มล้อหน้าและหลังขนาดใหญ่เป็นการสานต่อความสปอร์ตเต็มพิกัดจากเชฟโรเลต คอร์เวทท์ ด้านล่างของกันชนติดตั้งลิ้นสปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มแรงกด และความไหลลื่นของอากาศ
ปีกสปอยเลอร์หลังปรับระดับได้ เพิ่มแรงกดท้ายและช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งถูกออกแบบให้มีฝาถังน้ำมัน และช่องชาร์จไฟติดตั้งอยู่ด้านล่างอย่างแนบเนียน โดยช่องชาร์จไฟมีมาตรวัดแสดงความจุแบตเตอรี่อยู่ด้วย ขณะที่ซุ้มล้อหลังทั้งสองด้านมีช่องสำหรับเก็บของขนาดเล็ก คู่กับเส้นสายไฟท้ายแบบทวิน เอลิเมนท์ แสดงตัวตนใหม่ของเชฟโรเลต
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ให้โครงสร้างที่เหนียวแน่น และน้ำหนักเบา ดีไซน์แบบทวิน ค็อกพิท โอบกระชับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตามเอกลักษณ์ของเชฟโรเลต พร้อมกับเชื่อมโยงให้เกิดประสบการณ์แห่งการขับขี่ร่วมกัน
มีเรย์ ไม่มีกระจกมองหลังและกระจกมองข้าง แต่ถูกแทนที่ด้วยกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลังซึ่งปรับมุมมองด้วยไฟฟ้า ขณะที่การขับขี่ในเมือง กล้องด้านหน้ารถจะทำงานร่วมกับระบบจีพีเอส และจะทำงานแทนที่ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ด้วยภาพวิดีโอจริง ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบขับเคลื่อนอันทรงพลัง มีเรย์ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าต้นแบบ "มิด-อิเลกทริก" (mid-electric) โดดเด่นที่สมรรถนะและความประหยัด โดยติดตั้งอยู่บริเวณใต้ที่นั่ง เยื้องมาด้านหลังของผู้ขับขี่
มีเรย์ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว และใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 1.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งชาร์จไฟขณะเหยียบเบรก ให้อัตราเร่งที่คล่องแคล่ว และปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน มีเรย์ ยังสามารถเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้อีกด้วย
เพื่อสมรรถนะที่สูงขึ้น มีเรย์ ยังมีระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบควบคุมแรงบิดที่ล้อหลังซ้ายและล้อหลังขวาได้ตามต้องการ โดยเครื่องยนต์ดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเบาะที่นั่ง ถ่ายกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังและทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้อย่างลงตัว ที่ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ตลาดรถสปอร์ตโรดสเตอร์
ระบบส่งกำลังพร้อมคลัตช์คู่ (Dual-clutch transmission - DCT) ที่มีขนาดกะทัดรัดเนื่องจากไม่มีทอร์ก คอนเวอเตอร์ ให้ช่วงเปลี่ยนเกียร์ที่สั้นและรวดเร็ว อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มความเร็วสูงสุด และมีระบบการสตาร์ตและดับเครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์

ที่มาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,630