24 เมษายน 2553

Volkswagen Touran : เพิ่มความอเนกประสงค์ให้กอล์ฟ


Volkswagen Touran : เพิ่มความอเนกประสงค์ให้กอล์ฟ
นอกจากตัวถังหลักๆ อย่างแฮตช์แบ็ก และแวกอนแล้ว ทางด้านโฟล์คสวาเกนยังนำเสนอความอเนกประสงค์ในแบบมินิแวนที่ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับคอมแพ็กต์คาร์รุ่นกอล์ฟออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในชื่อทัวราน และตอนนี้โฟล์คฯ จัดการเผยโฉมรุ่นใหม่ล่าสุดแบบโมเดลเชนจ์ออกมาแล้ว

สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะยังไม่ทราบ และคิดว่าเป็นรุ่นใหม่ แต่ความจริงแล้วทัวรานวางขายอยู่บนโชว์รูมของโฟล์คฯ มาตั้งแต่ปี 2003 และใช้พื้นตัวถังในกลุ่ม A5 หรือ PQ35 ร่วมกับกอล์ฟ มาร์ค V แต่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเพราะตัวถังถูกออกแบบให้เป็นแบบ 2 กล่องทรงมินิแวน พร้อมเบาะนั่งแบบ 2 หรือ 3 แถวที่สามารถพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย โดยเป้าหมายหลักของตัวรถอยู่ที่การเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยแข่งขันกับคู่ปรับอย่างโอเปิล ซาฟิรา และฟอร์ด ซี-แม็กซ์ โดยถือเป็นมินิแวนที่ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง เพราะรุ่นแรกกวาดยอดขายไปได้ถึง 1.3 ล้านคัน

ในรุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ของทัวราน และแชร์พื้นฐานร่วมกับกอล์ฟใหม่ในรหัสมาร์ค VI และแน่นอนว่า รายละเอียดงานออกแบบของตัวถังภายนอกได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากแนวทางใหม่ หรือ Design DNA ของค่ายนี้เหมือนกับพี่ใหญ่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่างรุ่น ชาราน ส่วนความอเนกประสงค์ยังเพียบพร้อมเช่นเคย กับเบาะนั่งแบบ 3 แถวแบบพับเก็บได้อย่างอเนกประสงค์ โดยเมื่ออยู่ในโหมดแบบ 2 แถว 5 ที่นั่งจะมีพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ 695 ลิตร และเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลงมาความจุก็จะเพิ่มเป็น 1,989 ลิตรเลยทีเดียว

ทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายและครอบคลุมกับทุกความต้องการ โดยมีรุ่นเล็กสุดในตระกูล TSI อย่าง 4 สูบ 1,200 ซีซี Twincharger ซึ่งสมรรถนะไม่เล็กตามความจุ เพราะพกม้ามาถึง 105 ตัว ตามด้วยรุ่น 1,400 ซีซี TSI 140 แรงม้า และ 170 แรงม้า ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลก็มีทั้ง 1,600 ซีซี 90 และ 105 แรงม้า ตามด้วย 2,000 ซีซี 140 และ 170 แรงม้า ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของแบบ 4 สูบเรียงทวินแคมในทั้ง 2 ความจุ โดยจะมีเกียร์ให้เลือกทั้งแบบธรรมดา และ DSG 7 จังหวะ หรืออัตโนมัติแท้ๆ

หากไม่ชอบความประหยัดของเครื่องยนต์ดีเซล โฟล์คฯ ก็มีทางเลือกของรุ่น EcoFuel กับเวอร์ชัน CNG โดยมีอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับ 4.7 กิโลกรัมของ CNG สามารถแล่นทำระยะทางได้ 100 กิโลเมตร และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 125 กรัมต่อ 1 กิโลเมตรเท่านั้น
การทำตลาดจะเริ่มในเยอรมนีเดือนสิงหาคมนี้ และเน้นเจาะลูกค้าในตลาดยุโรปเป็นหลัก ส่วนบ้านเราจะมีเข้ามาขายหรือไม่นั้น ต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

New Hyundai Verna (Accent) ปี 2011 ซีดานเล็กถอดแบบจาก Sonata เปิดตัว Beijing Motor Show


New Hyundai Verna (Accent) ปี 2011 ซีดานเล็กถอดแบบจาก Sonata เปิดตัว Beijing Motor Show
Hyundai ได้เปิดตัว Verna หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อรุ่นว่า Accent ในงาน Beijing Motor Show ที่ต้องบอกว่าถอดแบบมาจากรุ่น Sonata เต็มๆเพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่าเท่านั้น เป็นการออกแบบในแนวทางของ Nissan ที่พยายามคงรูปแบบของรถในระดับ Segment ต่างๆให้ดูคล้ายกัน และดูเหมือนว่า Hyundai จะเห็นด้วยกับแนวทางนี้ เห็นได้จากการออกในเรื่องรูปลักษณ์ของ verna ใหม่ตามที่เห็นในภาพ

และแม้ว่าจะถอดแบบมาจาก Sonata โดยส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ Verna ดูด้อยไปเลย กลับทำให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อรถขนาดเล็กรู้สึกถึงความทันสมัยและหรูหราจากสไตล์การออกแบบใหม่ของค่ายแดนกิมจิ และยิ่งการที่ Hyundai ออกมาตอกย้ำว่า บริษัทฯได้ใช้วัสดุคุณภาพสูงในการตกแต่งภายในให้ดูหรูหราแล้ว ยิ่งทำให้ผู้สนใจมั่นใจมากขึ้น ไม่มากก็น้อย

ขุมพลังของ Hyundai Verna เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Gamma ที่พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัทฯเองทั้งสองรุ่นโดยมาพร้อมระบบ Multiport Fuel Injection โดยเครื่องยนต์ทางเลือกรุ่นแรกซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐานคือ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 5.7 ลิตร/100 กิโลเมตร แต่ถ้าเลือกรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมระบบประหยัดน้ำมัน อัตราสิ้นเปลืองฯจะกลายเป็น 6.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
เครื่องยนต์ทางเลือกที่สองเป็นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 121 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตร โดยจะมีระบบส่งกำลังเพียงแบบเดียวให้เลือกคือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
Hyundai Verna รุ่นนี้ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมดโดยมีระยะฐานล้อยาว 2,570 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน งานนี้ Hyundai ใช้เหล็กกล้าที่มีการต้านแรงดึงสูงมากระดับ Ultra High เพิ่มขึ้นในการสร้าง จึงทำให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่ารถรุ่นนี้จะมีการควบคุมและรองรับการสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น
Hyundai เผยว่า น้อยครั้งที่บริษัทฯจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในต่างประเทศ แต่จีนเป็นตลาดสำคัญที่สุดตลาดหนึ่งของโลก บริษัทฯจึงตัดสินใจเปิดตัว Verna ในวันนี้ โดยการผลิตจะเริ่มขึ้นในประเทศจีนช่วงเดือนกรกฎาคม ส่วนการผลิตเพื่อป้อนตลาดอื่นๆจะเริ่มขึ้นหลังจากนั้นครับ

ที่มา: Hyundai,www.autospinn.com

22 เมษายน 2553

ทาทา เผยยอดขายทั่วโลกโต 39%

ทาทา เผยยอดขายทั่วโลกโต 39% ทาทา มอเตอร์ส กรุ๊ป ซึ่งจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ทาทา, ทาทา แดวู, ฮิสปาโน คาโรเซรา, จากัวร์, แลนด์โรเวอร์ และแบรนด์อื่นๆ ที่ทาทาจัดจำหน่าย รายงานยอดขายรวมทั่วโลกประจำเดือนมีนาคม 2553 มียอดจำหน่าย 101,712 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายรวมประจำปีงบประมาณซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 ถึงเดือนมีนาคม 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 872,951 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากปีงบประมาณก่อนหน้ายอดขายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ของทาทา มอเตอร์ส กรุ๊ป ในเดือนมีนาคม 2553 มีจำนวน 47,936 คัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 53 ส่วนยอดขายรวมประจำปีงบประมาณอยู่ที่ 413,057 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ด้านยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือนดังกล่าวอยู่ที่ 53,776 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และยอดขายรวมตลอดปีมีจำนวนทั้งสิ้น 459,894 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6

ในส่วนของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของทาทาและแบรนด์ที่บริษัทฯ จัดจำหน่ายมียอดขาย 30,238 คันในเดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ส่วนยอดขายรวมประจำปีงบประมาณอยู่ที่ 265,912 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24

สำหรับยอดขายรวมทั่วโลกของรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์ประจำเดือนมีนาคม 2553 มีจำนวน 23,538 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 แบ่งออกเป็นยอดขายรถยนต์จากัวร์ 4,642 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และรถยนต์แลนด์โรเวอร์ 18,896 คัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55 ส่วนยอดขายรวมตลอดปีงบประมาณของทั้งสองแบรนด์มีจำนวนทั้งสิ้น 193,982 คัน ลดลงร้อยละ 11 แบ่งออกเป็นจากัวร์ 47,418 คัน ลดลงร้อยละ 24 และแลนด์โรเวอร์ 146,564 คัน ลดลงร้อยละ 6


ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

บีทเทิลเพื่อนใจ"แพรว คณิตกุล"

บีทเทิลเพื่อนใจ"แพรว คณิตกุล"
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเสียงใสๆ ของสาวแสนซนคนนี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำสำหรับ “แพรว – คณิตกุล เนตรบุตร” อดีตสาวน้อยแสนซนแห่งวงคูณสามซุปเปอร์แก๊งที่ตอนนี้กลายมาเป็นสาวเปรี้ยวสุดแนว วันนี้แพรวจะมาพูดกับ"ASTV ผู้จัดการ มอเตอริ่ง"เรื่องรถยนต์ของเธอที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย

“แพรวเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆนะคะ แต่เห็นแบบนี้ขับรถมาหลายยี่ห้อแล้ว คือตอนหัดขับใหม่ๆตื่นเต้นมาก พอขับคันนี้ได้แพรวเลยมั่นใจเต็มที่ว่าต่อไปคันไหนก็สบายมาก แต่ที่จะมีรถเป็นของตัวเองจริงๆคือเมื่อตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 แม่ซื้อให้เป็นของขวัญเพราะเห็นว่าเราคงโตพอที่จะมีความรับผิดชอบ”

ส่วนรถคันแรกในชีวิตของแพรวก็คือโฟล์คสวาเกน บีทเทิล รถคันเล็กๆน่ารักที่เป็นรถในฝันของใครหลายคน เพราะพ่อแม่เห็นว่ามีใบขับขี่แล้ว และระยะทางที่ไปเรียนก็ไกลจากบ้านถ้ามีรถจะได้ปลอดภัยขึ้น

“โฟล์คสวาเกน บีทเทิล เป็นรถคันแรกที่ซื้อเพราะเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆก็เลยชอบ เพราะมันเหมาะกับเราดี แล้วพอได้ลองขับก็เลยได้ฟิลลิ่งที่มันใช่กับตัวเองมากๆคือขับสนุกค่ะ แต่ไม่แนะนำให้คนอื่นซื้อแบบนี้นะคะเพราะจริงๆเราต้องดูที่องค์ประกอบหลายอย่าง”

แพรวบอกว่าการเลือกรถนั้นสำคัญที่สุดก็คือการได้ลองขับ เพราะจะได้รู้สึกถึงสมรรถนะและตัดสินใจได้ง่ายกว่า ส่วนความสำคัญต่อมาก็ดูที่ประโยชน์ใช้สอยและราคา แต่เมื่อซื้อมาแล้วก็ควรดูแลด้วยไม่ใช่แค่ขับอย่างเดียว “แพรวจะชอบล้างรถเองค่ะเพราะคิดว่าร้านถึงจะล้างก็คงไม่ล้างดีเท่าเราแล้วจะได้เช็คว่ามีรอยอะไรที่รถหรือเปล่า”

ที่ขาดไม่ได้กับคอลัมน์ของเราก็คือเรื่องของรถในฝันซึ่งแพรวบอกว่าตอนนี้โฟล์คก็คือที่สุดของเธอแล้วและยังไม่ต้องการซื้อรถคันใหม่จนกว่าจะมีความจำเป็นที่สำคัญคือเธอรักรถคันนี้มากเหมือนเป็นคนในครอบครัวเพราะไปไหนด้วยกันแถมยังดูแลตลอดเวลาคงยังไม่เปลี่ยนใจไปไหนง่ายๆแน่นอน.............



ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

BMW Z4 E89 sDrive35i รถสไตล์ Roadster ยอดนิยมในชุดแต่งล่าสุดของ Hamann


BMW Z4 E89 sDrive35i รถสไตล์ Roadster ยอดนิยมในชุดแต่งล่าสุดของ Hamann
Hamann Motorsport สำนักแต่งรถชื่อดังที่ได้ฝากผลงานใน AutoSpinn หลายต่อหลายครั้งได้ปล่อยรายละเอียดของชุดแต่ง BMW Z4 E89 sDrive35i ออกมาให้ชาวบิมเมอร์ได้เกิดไอเดียในการแต่งรถอีกแล้ว ชุดแต่งนี้มีทั้งการแต่งโฉมและการปรับแต่งสมรรถนะ โดยมี option พิเศษเฉพาะลูกค้าเป็นรายบุคคลสำหรับการแต่งภายในสปอร์ทเปิดประทุนขายดีรุ่นนี้ ซึ่งได้แก่ พรมปูพื้นจาก Hamann หัวเกียร์อลูมิเนียม และชุดเครื่องหนังพิเศษ

ภายนอกมีการใช้ชุดไฟวิ่ง LED แบบ Daytime ตามสมัยนิยม สปอยเลอร์หน้าใหม่ รวทถึงสเกิร์ตข้าง บังโคลนหลัง สปอยเลอร์หลังก็ใหม่เช่นกัน ระบบไอเสียสไตล์สปอร์ทแบบ 4 ท่อทำให้ได้เสียงโดนใจคนวัยแรงตามคำโฆษณาของ Hamann ส่วนล้ออัลลอยใช้ขนาด 8.5JX20 นิ้ว หุ้มด้วยยาง 235/30ZR20 สำหรับล้อหน้าและขนาด 10.0JX20 หุ้มด้วยยางขนาด 295/25ZR20 สำหรับล้อหลัง มีการใช้ชุดสปริงโครงสร้างตัวถังแบบพิเศษเพื่อโหลดระดับรถลงไปอีก 30 มิลลิเมตร
ในส่วนของการปรับแต่งสมรรถนะ Hamann ได้ทำการตั้งโปรแกรมใหม่ให้กับ ECU เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ผลที่ได้ก็คือ กำลังรถและแรงบิดสูงสุด กระโดดจากเดิมที่ 302 แรงม้า 400 นิวตันเมตร ไปเป็น 356 แรงม้า 540 นิวตันเมตร ตามลำดับ ในขณะที่ความเร็วสูงสุดได้เพิ่มจาก 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปเป็น 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรียกว่าทั้งหล่อทั้งแรงเลยงานนี้

ที่มา: Hamann,www.autospinn.com

Tagged as: 2010 bmw z4, BMW, BMW Z4 E89, BMW Z4 E89 sDrive35i, Hamann, z4, Z4 E89 sDrive35i, z4 แต่ง, รถแต่ง BMW Z4, สำนักแต่งรถ, สำนักแต่งรถ hamann

21 เมษายน 2553

Nissan March รถประหยัดน้ำมันกับข้อดีที่คุณอาจคาดไม่ถึง


Nissan March รถประหยัดน้ำมันกับข้อดีที่คุณอาจคาดไม่ถึง
ทุกวันนี้ทุกคนคงจะยอมรับว่าปัจจัยที่ 5 ที่เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตเราคือ “รถยนต์” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งไกลตัว แต่ในปัจจุบันรถยนต์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนเราไปแล้วโดยเฉพาะในสังคมเมือง หลายครั้งที่รถยนต์ขนาดกะทัดรัดถูกปฏิเสธจากคนที่มีอันจะกินว่า “ขับรถคันเล็กๆดูดีไม่เท่าขับรถคันใหญ่” เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีทำให้กระแสพลิกกลับกลายเป็นว่า “ขับรถคันเล็กขนาดพอเหมาะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าขับรถคันใหญ่”

สิ่งที่พิสูจน์คำพูดในประโยคหลังก็คือ ยอดขายรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งรถยนต์อีโค คาร์และรถไฮบริด ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้แต่ดาราฮอลลีวู้ดที่นิยมสินค้าฟุ่มเฟือยก็หันมาใช้รถไฮบริดกันเป็นทิวแถว นี่ยังไม่รวมรถไฟฟ้าที่กำลังจะเป็นเทรนด์สำคัญในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิดขึ้นของ Eco car เป็นคันแรกในประเทศไทย ครั้งแรกในโลกอย่าง All New Nissan March จึงเป็นสิ่งที่นอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกในระดับรัฐบาลแล้ว ยังส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าที่ “เรา” ในฐานะคนใช้รถจะเคยคิดมาก่อน เพื่อให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอย้อนกลับไปพูดถึงเงื่อนไข 4 ข้อของทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่กำหนดไว้ สำหรับรถประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากลหรือ ที่เรานิยมเรียกว่า อีโค คาร์ มีดังนี้

1. ด้านการประหยัดพลังงาน ต้องมีอัตราการใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
2. ด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นไปตามมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 คือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาไม่เกิน 120 กรัม/ 1 กิโลเมตร
3. ด้านความปลอดภัย ต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าและด้านข้างตามมาตรฐาน UNECE หรือระดับที่สูงกว่า
4. ด้านขนาดเครื่องยนต์ต้องมีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และไม่เกิน 1,400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

จากเงื่อนไขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงข้อดีของรถประเภทอีโค คาร์ ที่ส่งผลกับเรื่องใกล้ตัวของเราซึ่งชัดเจนอยู่แล้วคือ

1. การประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก เพราะรถยนต์ชนิดนี้มีอัตราการใช้น้ำมันที่ 5 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือคิดอีกแบบคือ น้ำมันแค่ 1 ลิตร แต่วิ่งได้ถึง20 กิโลเมตร
2. เรื่องไกลตัวไปอีกหน่อยแต่กระทบกับเราและคนรอบข้างในระยะยาวก็คือ การปล่อยไอเสียสู่อากาศที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อนหรือโรคภัยไข้เจ็บ
3. อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ราคารถที่ต่ำลงจากมาตรการในเรื่องของภาษี

ซึ่งข้อดีของการใช้รถอีโค คาร์ ดูเหมือนจะมีไม่มากไปกว่า 3 ข้อที่ว่ามาสำหรับคนส่วนใหญ่ที่สนใจจะซื้อมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการใช้รถประหยัดน้ำมันนี้ยังมีข้อดีที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปซึ่งอาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าไกลตัวหรือใกล้ตัวเกินไปจนคุณคิดไม่ถึง ข้อดีเพิ่มเติมที่ว่าพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ค่าบำรุงรักษาต่ำ

ด้วยการที่รถมีขนาดกระทัดรัด อะไหล่มีจำนวนน้อยชิ้นกว่ารถคันใหญ่ทั่วไป การบริโภควัสดุสิ้นเปลืองต่างๆจึงมีน้อยตามไปด้วย เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำยาที่ใช้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ต่างๆ น้ำยาหรือวัสดุขัดเคลือบสีตัวถังภายนอกและเฟอร์นิเจอร์ภายใน ยางรถยนต์ เป็นต้น ลองคำนวณคร่าวๆเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีเราก็จะพบว่า ประหยัดเงินไปได้มากอย่างที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน
2. Cost of Ownership ที่ต่ำ หรือค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการมีรถชนิดนี้ในครอบครองต่ำกว่ารถยนต์ชนิดอื่นๆ

ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าบอกว่า คุณใช้โรงเก็บรถหรือพื้นที่จอดรถในบ้านเล็กลง ค่าล้างรถลดลง ผ้าคลุมรถมีขนาดเล็กลง เสียเงินค่าติดฟิล์มกันแสงน้อยลง ที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ค่าประกันภัยที่ต่ำลง หรือแม้แต่ทรัพยากรเวลาในการซ่อมที่สั้นลงตามขนาดของรถนั่นเอง! และอื่นๆอีกมายมายที่จะตามมา ตราบใดที่คุณยังมีรถคันนี้อยู่ในครอบครอง
3. ความคล่องตัวในการใช้งาน

ความคล่องตัวไม่ใช่เพียงแค่ขนาดของรถที่ทำให้คุณสามารถควบคุมได้ง่าย โดยเฉพาะการขับฝ่าการจราจรกลางใจเมืองอย่างกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่ๆเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความคล่องตัวในการหาสถานที่จอดซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่เมืองใหญ่ต้องเผชิญอยู่
4. การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ด้วยการที่รถมีขนาดกะทัดรัด ควบคุมง่าย คล่องตัวสูง จึงทำให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่มทุกวัยสามารถขับควบคุมได้ง่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการควบคุมรถยนต์ลงไปได้อย่างมาก จากที่คุณอาจจะเคยมีปัญหาในการขับรถขนาดใหญ่ แต่สำหรับรถชนิดนี้แล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่น่าจะมีอยู่อีกต่อไป ใครๆก็ขับได้ ผลที่ตามมาก็คือ คุณสามารถใช้รถได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่ารถ 1 คันใช้ได้ทุกคน จะว่าไปข้อนี้ก็คือ หลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
5. ภาพลักษณ์ต่อสังคม

เรื่องนี้น่าจะไกลตัวที่สุด จับต้องได้ยากที่สุด แต่สำหรับสังคมสมัยใหม่ การขับรถประหยัดน้ำมันไม่ได้สะท้อนถึงฐานะทางสังคมแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปโดยอัตโนมัติ และกระแสในเรื่องนี้ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะในต่างประเทศ ต่อไปเศรษฐีส่วนใหญ่อาจจะใช้ Nissan March ในการสัญจรในรัศมีที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต แทนที่จะขับ S-Class ไปจ่ายตลาด! นี่คือ การใช้งานในอีกบทบาทของรถชนิดนี้ นอกจากการใช้ขับไปทำงานในตัวเมือง ในชีวิตประจำวัน
ถ้ารวมข้อดีทั้งหมดของ Eco car ตามที่ได้กล่าวมา คุณจะพบว่า Nissan March เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในยุคที่ราคาน้ำมันและค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะรถคันนี้เข้าทำนองที่ว่า เล็กพริกขี้หนูจริงๆ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ nissan.co.th

ที่มา www.autospinn.com

Tagged as: 2010 Nissan March, ecocar, MARCH, nissan, nissan march, นิสสัน, นิสสัน มาร์ช, นิสสันมาร์ช, มาร์ช, รถประหยัดน้ำมัน, อีโคคาร์

20 เมษายน 2553

ไปซะแล้ว Honda เตรียมหยุดผลิต Civic Type R เวอร์ชั่น 4 ประตู ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้


ไปซะแล้ว Honda เตรียมหยุดผลิต Civic Type R เวอร์ชั่น 4 ประตู ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
ที่กรุงโตเกียว วันนี้ Honda Motor ได้ประกาศหยุดสายการผลิต Honda Civic Type R เวอร์ชั่น 4 ประตู ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ หลังจากที่เจนเนอเรชั่นแรกได้ถูกแนะนำสู่ตลาดในปี 1997 โดยมีการผลิตที่โรงงานซูซึกะ ประเทศญี่ปุ่น ตามด้วยการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 2 ในปี 2001 ที่มีการย้ายสายการผลิตไปยังโรงงานของ Honda ในเมืองสวินดอน ประเทศอังกฤษ แต่มีการย้ายกลับมาผลิตในโรงงานเดิมสำหรับ Type R เจนเนอเรชั่นที่ 3 ในปี 2007

Civic Type R ถือว่าเป็นรุ่นที่มีการปรับแต่งพิเศษที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้ความรู้สึกเหมือนการขับรถแข่ง Type R เวอร์ชั่น 4 ประตูนี้ใช้เครื่องยนต์ NA 2.0 ลิตร 225 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยชื่อรุ่นย่อย Type R มีการใช้ครั้งแรกกับรุ่น NSX ในปี 1992 ตามด้วยรุ่น Integra ในปี 1995 จนมาถึง Civic ในปี 1997 อย่างไรก็ตาม สำหรับสาวก Type R อย่าเพิ่งใจหายเพราะ Type R เวอร์ชั่น Hatchback 3 ประตู 201 แรงม้า ก็ยังคงมีอยู่ ส่วนภาพประกอบที่นำมาให้ชมเพื่อเป็นการไว้อาลัยก็คือ Honda Civic Type R Modulo ปี 2007 ครับ

ที่มา: Honda,www.autospinn.com

19 เมษายน 2553

คลิปวิดีโอเปิดตัว Ferrari 599 GTO ที่อิตาลี ก่อนแวะจีนปลายเดือน ราคาเริ่มต้น 3.2 แสนยูโร

Ferrari 599 GTO

Ferrari 599 GTO World Premiere - Highlights / World Premiére Ferrari 599 GTO - Highlight หลังจากที่วันก่อน AutoSpinn ได้นำภาพชุดแรกของ Ferrari 599 GTO มาให้ชมไปแล้วนั่น ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา Ferrari ได้เปิดตัว 599 GTO อย่างเป็นทางการที่ Military Academy’s Ducal Palace ในเมืองโมดีน่า ประเทศอิตาลี ไปเป็นที่เรียบร้อยพร้อมปล่อยภาพเพิ่มเติมมาอีก 2 ภาพและคลิปวิดีโอการเปิดตัว ก่อนที่ซุปเปอร์คาร์รุ่นนี้จะลัดฟ้ามาอวดโฉมที่ประเทศจีนในงาน Beijing International Automotive Exhibition ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 25 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคมนี้
นาย Luca di Montezemolo ประธานบริษัท Ferrari เผยว่า บริษัทฯได้สร้างสุดยอดซุปเปอร์คาร์ขึ้นมาอีกรุ่นในจำนวนจำกัดและถือว่าเป็นรถที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ สมกับชื่อรุ่นว่า GTO โดยรถรุ่นนี้มีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 1,495 กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 6.0 ลิตร ให้กำลัง 661 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 619 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 3.35 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นก็คือ Ferrari จะผลิต 599 GTO ออกมาในจำนวนจำกัดเพียง 599 คัน โดย 3 ใน 599 คันนี้ได้ทำการส่งมอบในงานนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนราคาเริ่มต้นของ 599 GTO อยู่ที่ 319,495 ยูโร โดยการส่งมอบล็อตแรกจะเริ่มขึ้นภายในปีนี้ครับ

ที่มา: Ferrari,www.autospinn.com

Lamborghini Gallardo LP570-4 Superleggera : กระทิงรุ่นเล็กไขมันต่ำ

Lamborghini Gallardo LP570-4 Superleggera : กระทิงรุ่นเล็กไขมันต่ำ อีกลิมิเต็ดเอดิชันที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้นิยมกระทิงทั่วโลก เพราะทันทีที่เห็นป้ายของคำว่า Superleggera แล้ว มั่นใจได้เลยว่าลัมบอร์กินีคันนั้นจะต้องพกสมรรถนะแบบไม่ธรรมดามาด้วย เพราะว่าม้า 1 ตัวในคอกจะรับหน้าที่ในการแบกน้ำหนักน้อยลงจากเวอร์ชันปกติ และส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราเร่งในช่วงต้นตามคอนเซ็ปต์ที่แปลตรงตัวเป็นภาษาอังกฤษว่า Super Light หรือ Light Weight

หลังจากเผยโฉมให้เห็นในงานที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ลัมบอร์กินีพร้อมแล้วกับการส่งเวอร์ชัน Superleggera ของสปอร์ตรุ่นเล็กกัลญาร์โด้ลงขายในตลาด โดยเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของเวอร์ชันตัวแรงในรหัส LP560-4

เวอร์ชัน Superleggera กับรุ่นกัลญาร์โด้มีจุดเริ่มต้นกันมาตั้งแต่ปี 2007 เพียงแต่คราวนั้นตัวรถถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของกัลญาร์โด้รุ่นปกติ และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า กวาดยอดขายไปได้ 618 คัน

ส่วนรุ่นใหม่นี้ยึดเอาเวอร์ชัน LP560-4 ที่เปิดตัวในปี 2008 มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเพื่อลดน้ำหนัก โดยยึดเอาตัวถังคูเป้หลังคาแข็งมาเป็นแม่แบบในการพัฒนาก่อน ส่วนจะมีเวอร์ชันเปิดประทุนตามออกมาในภายหลังหรือไม่นั้น ยังไม่มีการเผยออกมาในตอนนี้

รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถได้รับการออกแบบและเพิ่มความดุดันตามสไตล์สปอร์ตเวอร์ชันพิเศษ โดยมีการนำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ตามจุดต่างๆ ของตัวรถเพื่อลดน้ำหนัก เช่น ฝาครอบเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงกลาง, สปอยเลอร์หลัง, แผ่น Diffuser ตรงชายล่างของกันชนท้าย และโครงเบาะนั่ง ขณะที่กระจกบังลมหลังและกระจกหน้าต่างบนประตูผลิตจากโพลีคาร์บอเนต หรือล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้วก็ถูกผลิตด้วยวิธี Forged ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดน้ำหนักต่อเซ็ต (4 วง) จากล้อแบบธรรมดาถึง 13 กิโลกรัม น็อตล้อผลิตจากไททาเนียม และจับคู่กับยางขนาด 235/35ZR19 สำหรับด้านหน้า และ 295/30ZR19 ทำให้น้ำหนักโดยรวมลดลงอีก 70 กิโลกรัมจากรุ่น LP560-4 ลงมาอยู่ที่ 1,340 กิโลกรัม ส่วนอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้าและหลังอยู่ที่ 43:57%

เครื่องยนต์วี10 5,200 ซีซีแบบไดเร็กต์อินเจ็กชันเหมือนเดิม หรือที่เรียว่า Iniezione Diretta Stratificata ก็ได้รับการขยับเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดตามชื่อรุ่นด้วยการปรับแต่งโปรแกรมในกล่องควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ กำลังที่ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 10 ตัว จาก 412 กิโลวัตต์ หรือ 560 แรงม้ามาอยู่ที่ 419 กิโลวัตต์ หรือ 570 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 6,500 รอบต่อนาที ม้า 1 ตัวแบกน้ำหนักแค่ 2.35 กิโลกรัม

ขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งกระจายกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อหน้า-หลังในอัตราส่วน 30-70% ซึ่งลัมบอร์กินียึดระบบขับเคลื่อน 4 ล้อใช้มาตลอดหลังจากเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีออดี้เป็นผู้บริหาร ยกเว้นตัวแรงรุ่น LP550-2 Valentio Balboni ที่เปลี่ยนมาเป็นแบบขับหลัง และ LP570-4 Superleggera ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแบบคลัตช์ไฟฟ้า หรือ e-Gear อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ในระดับ 3.4 วินาที และ 10.2 วินาทีสำหรับ 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยความเร็วสูงสุดอยู่ในระดับ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ค่าตัวของความเบาที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อความเบาของกระเป๋าเงินด้วยเช่นกัน เพราะลัมบอร์กินีเคาะราคาออกมาที่ 242,695 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 8 ล้านบาท แพงกว่า LP560-4 ประมาณ 34,700 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.1 ล้านบาท บ้านเราเข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะตั้งเอาไว้ที่เท่าไร เพราะขนาด LP560-4 ก็ซัดเข้าไปแล้ว 26.5 ล้านบาท ส่วนข่าวดีคือ รุ่นนี้ไม่มีการผลิตจำกัด ยังมีเวลาตัดสินใจกันได้

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

18 เมษายน 2553

เปิดตัว Renault Fluence ZE และ Kangroo ZE รถพลังงานไฟฟ้าเวอร์ชั่นผลิต


เปิดตัว Renault Fluence ZE และ Kangroo ZE รถพลังงานไฟฟ้าเวอร์ชั่นผลิต
หลังจากที่ได้เปิดตัวรถแนวคิดพลังงานไฟฟ้า Renault Fluence Z.E. ไปแล้วในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อปีที่ผ่านมา ตามด้วยการเปิดตัวรถแวนต้นแบบ Renault Kangoo Z.E.ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันที่งาน COP 15 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค เมื่อวานนี้ Renault ได้ปล่อยภาพพร้อมรายละเอียดของรถทั้งสองรุ่นที่เป็นเวอร์ชั่นผลิตออกมาสู่สาะารณชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Renault ได้เริ่มเปิดจองรถทั้งสองรุ่นสำหรับลูกค้าในยุโรปและบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ รัสเซีย ผ่านทางที่เว็บไซท์ www.renault-ze.com โดยการส่งมอบรถล็อตแรกจะสามารถทำได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2011 หรือปีหน้านี้ โดย Fluence Z.E. จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน OYAK-Renault ในเมืองเบอร์ซ่า ประเทศตุรกี ซึ่งเป็นโรงงานเดียวกับที่ผลิตเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ระบบขับเคลื่อนของ Fluence Z.E. เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 94 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 226 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อหน้าผ่านระบบส่งกำลังแบบ Direct Drive ส่วนความจุของชุดแบตเตอรี่ลิเธียมอิออนอยู่ที่ 22 กิโลวัตต์/ชั่วโมง โดยชุดแบตเตอรี่ที่ว่านี้มีน้ำหนักถึง 250 กิโลกรัมติดตั้งอยู่บริเวณใต้เบาะที่นั่งด้านหลัง

การชาร์จไฟให้กับชุดแบตเตอรี่มีอยู่ 3 ทางด้วยกันคือ การใช้ไฟบ้านที่ใช้เวลาชาร์จให้เต็มภายในเวลา 6-8 ชั่วโมง การใช้สถานีชาร์จไฟที่มีขนาดกระแสไฟฟ้าที่ 32 แอมแปร์ แรงดันไฟฟ้า 400 โวลท์ที่จะใช้เวลาเพียง 30 นาที แต่กว่าจะได้ใช้สถานีชาร์จไฟแบบนี้ต้องรอไปจนถึงปี 2012 และวิธีสุดท้ายก็คือ การเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ที่เรียกว่า QuickDrop ซึ่งใช้เวลาเปลี่ยนที่สถานีเก็บแบตเตอรี่เพียง 2-3 นาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังมีระบบสร้างพลังงานให้กับชุดแบตเตอรี่ที่เกิดจากการลดระดับความเร็วเช่น การเบรค เป็นต้น ในกรณีที่ชาร์จไฟจนเต็ม ระยะทางทำการของ Fluence Z.E. จะอยู่ที่ 160 กิโลเมตร ส่วนความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถูกจำกัดโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์

Fluence Z.E. เวอร์ชั่นไฟฟ้านี้มีความยาวที่ 4,750 มิลลิเมตร ยาวกว่ารุ่นมาตรฐาน 130 มิลลิเมตร เพื่อที่จะสามารถติดตั้งชุดแบตเตอรี่ใต้เบาะที่นั่งด้านหลังได้
รูปลักษณ์หรือโฉมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นมาตรฐานก็คือ ไฟหน้าสีฟ้าจางตามสไตล์ของรถรักษ์ธรรมชาติ ไฟท้าย ไฟตัดหมอก โลโก้ ครอบกระจกข้างสีดำวาว ฝาปิดเปิดที่ชาร์จแบตเตอรี่ทั้งสองข้าง กันชนหลังที่มาพร้อมกับ diffuser สีดำ ล้ออัลลอยออกแบบพิเศษให้ตรงตามหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้น ส่วนภายในมาตรวัดน้ำมันมีการทดแทนด้วยอุปกรณ์ชุดใหม่ที่แสดงข้อมูลระยะทางที่รถสามารถวิ่งต่ออีกได้และสถานะของแบตเตอรี่ และแผงหน้าปัดควบคุมภายในมีการออกแบบใหม่เฉพาะ Fluence Z.E.รุ่นนี้
สำหรับรุ่น Kangoo Z.E. รถแวนขนาดเล็ก มีขุมพลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 59 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 226 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ชุดแบตเตอรี่มีการติดตั้งบริเวณด้านใต้กึ่งกลางตัวรถ ซึ่งชุดแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์จได้ด้วยไฟบ้านขนาดแรงดัน 220 โวลท์ ที่ระดับกระแสไฟฟ้า 16 แอมแปร์ โดยใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงเพื่อชาร์จไฟให้เต็มความจุ ส่วนระยะทางทำการอยู่ที่ 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง

ต่อจากนี้ Renault เตรียมเปิดตัวรถไฟฟ้าในตระกูลเดียวกันคือ Zoe Z.E. รถคูเป้ขนาดเล็กเวอร์ชั่นผลิต และ Twizy Z.E. รถซิตี้คาร์ขนาดเล็ก โดยบริษัทฯคาดการณ์ว่ารถไฟฟ้าจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 10% ของตลาดรถทั้งหมดทั่วโลกภายในปี 2020 ซึ่ง Renault-Nissan Alliance ได้เตรียมงบประมาณจำนวน 4,000 ล้านยูโรในการวิจัยและพัฒนารถพลังงานทางเลือกนี้ไว้แล้ว

ที่มา: Renault,www.autospinn.com

17 เมษายน 2553

เปิดตัวยกชุด Zero S, DS, X และ MX มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้น 7,500 เหรียญสหรัฐฯ


เปิดตัวยกชุด Zero S, DS, X และ MX มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้น 7,500 เหรียญสหรัฐฯ
Zero Motorcycles ที่อ้างว่าเป็นผู้นำในการผลิตมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้าของโลก ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ยกชุดรุ่นปี 2010 ซึ่งก็คือ Zero S, DS, X และ MX ที่มีการปรับปรุงให้มีกำลังมากขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น และเทคโนโลยีสำรองไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น โดย Zero S เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน Zero DS เป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ท ในขณะที่ Zero X และ MX เป็นมอเตอร์ไซค์วิบากเต็มตัว

งานนี้ทั้ง 4 รุ่นมีการใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมอิออน Z-Force ใหม่ แถมยังมีน้ำหนักที่เบาขึ้น ขนาดเล็กลง มีระบบระบายความร้อนที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้รถมีกำลังมากขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น และยังมีความทนทานสมบุกสมบันมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม มอเตอร์ไซค์ทั้ง 4 รุ่นใช้ส่วนประกอบของระบบกันสะเทือนต่างกันออกไป
ในส่วนของระบบขับเคลื่อนนั้นเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าและชุดแบตเตอรี่ที่เหมือนกันทั้ง 4 รุ่น โดยให้กำลัง 23 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 68 นิวตันเมตร ระยะทางทำการสำหรับแบตเตอรี่คือ 80 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง เวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่ที่ 4 ชั่วโมง ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 7,500 เหรียญสหรัฐฯสำหรับ Zero X ไปจนถึง 9,000 เหรียญสหรัฐฯสำหรับ Zero S

ที่มา: Zero,www.autospinn.com

16 เมษายน 2553

BMW S1000RR ซุปเปอร์ไบค์แต่ง ผลงานล่าสุดจาก AC Schnitzer เยอรมันนี


BMW S1000RR ซุปเปอร์ไบค์แต่ง ผลงานล่าสุดจาก AC Schnitzer เยอรมันนี
AC Schnitzer ไม่เพียงแต่เป็นสำนักแต่งรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นค่ายแต่งมอเตอร์ไซค์ตามที่เราได้ขอนำเอาผลงานชิ้นล่าสุดในการแต่ง BMW S1000RR มาให้ชมกัน สำนักแต่งจากเยอรมันนีรายนี้ได้ปรับแต่งซุปเปอร์ไบค์รุ่นนี้ด้วยการใช้ระบบไอเสียใหม่จาก AC Schnitzer เอง แฮนเดิ้ลบาร์สีดำ กระปุกน้ำมันเบรคใหม่ แผ่นกันกระแทก ก้านเบรคและคลัชท์แบบปรับได้ของ AC Schnitzer ที่ทำด้วยอลูมิเนียมเกรดที่ใช้สร้างยานอวกาศ รายละเอียดอื่นๆไม่มีการเปิดเผยรวมถึงราคาค่าแต่งด้วยครับ

ที่มา: AC Schnitzer,autospinn.com

15 เมษายน 2553

Lotus Evora 414E : เร้าใจบนพื้นฐานพลังไฮบริด


Lotus Evora 414E : เร้าใจบนพื้นฐานพลังไฮบริด
โลตัสมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงตามกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลิกแนวคิดให้รถสปอร์ตของตัวเองที่นอกจากจะต้องแรงแล้วยังจะต้องสามารถตอบสนองในด้านความประหยัดน้ำมันได้ด้วย กับการเปิดตัวต้นแบบที่ชื่อว่า 414E ซึ่งเป็นการนำระบบไฮบริดในแบบซีรีส์ หรือบางคนเรียกว่าเป็น E-REV (Extended Range Electric Vehicle) มาใช้กับสปอร์ตขนาดกลางรุ่นอีโวรา

สำหรับชื่อรุ่น 414E ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่เป็นตัวเลขของแรงม้าที่ระบบโดยรวมสามารถผลิตออกมาได้ ซึ่ง 414E เป็นโปรเจ็กต์ที่ได้รับการผลิตและพัฒนาโดยทีมงานของโลตัสเองโดยเน้นไปที่จุดหลักๆ คือ การแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการดัดแปลงของตัวถังหรือที่เรียกว่า VVA-Versatile Vehicle Architecture ซึ่งสามารถดัดแปลงให้ตัวรถสามารถรองรับกับการติดตั้งขุมพลังประเภทอื่นนอกเหนือจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน อีกทั้งตัวหลังคาเองยังสามารถดัดแปลงให้เป็นรูปแบบใหม่เพื่อรองรับกับการใช้งานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเจาะเป็นซันรูฟขนาดใหญ่โดยที่โครงสร้างตัวถังไม่สูญเสียความแข็งแกร่ง

ตัวรถได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของอีโวรา และมากับสีตัวถังที่เรียกว่า Copper หรือทองแดง ซึ่งทางโลตัสเผยว่าที่เลือกใช้โทนสีนี้ก็เพราะทองแดงมักจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของไฟฟ้า หรือกระแสไฟฟ้าอยู่เสมอ ดังนั้น โลตัสจึงนำโทนสีนี้มาใช้ในการพ่นทั้งภายนอกและภายในเพื่อบ่งบอกถึงบุคลิกที่แท้จริงของตัวรถ

โลตัสเลือกใช้ระบบไฮบริดแบบซีรีส์ในการขับเคลื่อน ซึ่งหน้าที่ของการหมุนล้อหลังเป็นงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวซึ่งจะติดติดตั้งในการขับเคลื่อนล้อหลังฝั่งละตัว มอเตอร์แต่ละตัวมีกำลังสูงสุด 207 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. โดยมีชุดเกียร์ที่เรียกว่า Single Speed Geartrain รับหน้าที่ในการปรับความเร็วในการหมุนของล้อหลังแต่ละข้างให้สัมพันธ์และเท่ากัน
ส่วนชุดแพ็คของแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออนขนาด 17kWH ถูกติดตั้งอยู่ที่กลางลำเพื่อความปลอดภัยและเหตุผลในเรื่องของการกระจายน้ำหนักเพื่อไม่ให้ตัวรถเสียสมดุลระหว่างด้านหน้าและหลัง พร้อมกับส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ 7 จังหวะสำหรับการขับเคลื่อนในแบบล้อหลัง โดยตัวเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ 1,200 ซีซี ที่มีกำลัง 48 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาทีจะรับหน้าที่ในการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่เพื่อชดเชยที่ถูกนำไปใช้ในการขับเคลื่อน และตัวเครื่องยนต์มีน้ำหนักเพียง 85 กิโลกรัม จึงไม่ส่งผลต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของตัวรถมากนักเมื่อชดเชยกับการถอดเครื่องยนต์วี6 ที่อยู่กลางลำออกไป
เหมือนกับรถยนต์แบบ E-REV ทั่วไป 414E สามารถแล่นโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ที่ถูกชาร์จมาจนเต็มรวมระยะทาง 35 ไมล์ หรือ 56 กิโลเมตร เรียกว่าถ้าใน 1 ครั้งของการสตาร์ทใช้รถยนต์ไม่เกินระยะทางจากนี้ก็แทบไม่ต้องปลุกให้เครื่องยนต์สันดาปภายในตื่นขึ้มมาทำงานเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาชดเชยเลย เพราะเมื่อขับถึงที่หมาย ก็จัดการเสียบปลั๊กกับระบบไฟฟ้าในครัวเรือนเพื่อชาร์จไฟได้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป
นอกจากนั้นเพื่อความปลอดภัยสำหรับคนที่กลัวว่ารถยนต์พลังไฟฟ้าไม่มีเสียงดัง ทางโลตัสได้ร่วมมือกับ Harmann International ในการพัฒนาระบบเสียงที่เรียกว่า HALOsonic สร้างคลื่นเสียงที่เหมือนกับการคำรามของเครื่องยนต์ซึ่งจะดังตามการกดคันเร่ง ซึ่งระบบเสียงนี้สามารถให้สัมผัสได้ทั้งภายนอกเพื่อให้คนเดินถนนได้ระวังตัวว่ามีรถยนต์ (พลังไฟฟ้า) กำลังแล่นมา และสร้างอารมณ์ของการขับเคลื่อนในสไตล์สปอร์ตให้กับผู้ขับขี่ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้วย
จริงอยู่ที่ยังเป็นผลงานต้นแบบ แต่สำหรับอนาคตข้างหน้าไม่แน่เหมือนกันว่าโลตัสจะผลิตออกมาสร้างความฮือฮาในตลาดรถสปอร์ตหรือไม่ แต่เมื่อดูจากอะไรหลายๆ อย่างแล้ว เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่จะกลายมาเป็นของจริงในเร็วๆ นี้

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Lexus LFA : พร้อมลุยสนามแข่ง


Lexus LFA : พร้อมลุยสนามแข่ง
ใครที่ติดตามการพัฒนาของซูเปอร์คาร์แบรนด์เล็กซัสอย่างรุ่น LFA มาตลอดคงทราบกันดีว่าก่อนที่จะมีการผลิตเป็นคันจริงที่นำมาโชว์ในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ เดือนตุลาคม 2009 นั้น เมื่อกลางปีเดียวกัน โตโยต้าเคยจับเอาแชสซีส์ของตัวรถรุ่นนี้มาสวมเข้ากับตัวถังที่ถูกออกแบบให้เหมือนกับเวอร์ชันต้นแบบในปี 2007 เพื่อใช้ในการทดสอบตัวรถ และนำลงแข่งขันรายการมาราธอน 24 ชั่วโมงที่สนามฝั่งเหนือของนูร์บูร์กริง หรือ Nordschleife (Northern Loop) ในประเทศเยอรมนี ซึ่งมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า The Ring มาก่อน

ตอนนี้โตโยต้าและเล็กซัสกำลังจะทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เพียงแต่เป็นการนำ LFA คันจริงมาดัดแปลงเป็นตัวแข่งสำหรับเข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันที่มีระยะทางต่อรอบ 20 กิโลเมตร และแข่งต่อเนื่องนาน 24 ชั่วโมงแบบข้ามวันเหมือนกับรายการใหญ่อย่างเลอ มังส์ 24 ชั่วโมงในฝรั่งเศส

ตรงนี้ถือเป็นครั้งแรกสำหรับ LFA ที่นำเวอร์ชันคันจริงที่ผลิตขายในตลาดมาดัดแปลงเป็นรถแข่งในสนาม และทางโตโยต้าจะส่งเข้าร่วมการแข่งขัน 2 คันเหมือนกับปีที่แล้ว เพื่อพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของตัวรถว่าจะมีความทนทานและสามารถเผชิญกับสนามแข่งที่ทั้งคดเคี้ยวและท้าทายความสามารถสนามหนึ่งของโลกได้หรือไม่

ตัวรถได้รับการดัดแปลงตลอดทั้งคันโดยทีมวิศวกรของโตโยต้าและเล็กซัสนำประสบการณ์จากการแข่งขัน GT รายการ Super GT หรือ JGTC เดิมมาประยุกต์ใช้กับการแข่งขันรายการนี้ ซึ่งในปีที่แล้ว ทีมของเล็กซัสและตัวแข่งรุ่น SC430 สามารถคว้าแชมป์ทั้งประเภทนักแข่งและทีมผู้ผลิตมาได้

แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถยังอิงกับสไตล์การออกแบบเดิมๆ ของ LFA แต่เพิ่มความดุดันและโฉบเฉี่ยวขึ้น โดยเฉพาะสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ซึ่งมาแทนที่สปอยเลอร์หลังแบบยกตัวขึ้นเองที่มีอยู่ในรุ่นผลิตขายตามท้องตลาด โครงสร้างตัวถังได้รับการผลิตจากวัสดุที่น้ำหนักเบาอย่างอะลูมิเนียมผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ที่นำมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถัง ขณะที่เครื่องยนต์วี10 4,800 ซีซี ถูกวางอยู่กลางลำรีดกำลังออกมาได้ 552 แรงม้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากสเปกเดิม 560 แรงม้าสำหรับรุ่นที่ขายตามโชว์รูม

แม้ม้าจะน้อยลง แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เบา ทำให้ตัวรถสามารถตอบสนองต่อการขับเคลื่อนได้ดีไม่แพ้กัน ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.7 วินาที และความเร็วสูงสุดไปไกลกว่า 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 13-16 พฤษภาคมนี้ และทั้ง 2 คันจะลงแข่งในนามทีม Gazoo Racing เหมือนเดิม โดยมีนักแข่งอย่างฮิโรมุ นารุเซะ หัวหน้าทีมทดสอบของโตโยต้า ตามด้วยทาคายูกิ คิโนชิตะ แชมป์ 6 สมัยรายการ Super Taikyu Endurance Series, อากิระ ไอดะ แชมป์รายการ Tokachi 24 Hours ในปี 1995 และ 2007 รวมถึงอาร์มิน ฮาห์น แชมป์รายการ Spa 24 Hours ในปี 1982-1983 และ โจเชน ครัมบัก ซึ่งจบการแข่งขันในอันดับที่ 2 ประเภท Overall ของรายการที่นูร์บูร์กริงเมื่อปี 2008
ส่วนผลการแข่งขันจะดีกว่าในปีที่แล้ว ซึ่งคันแรกจบลงด้วยไฟไหม้และอีกคันจบการแข่งขันในอันดับที่ 4 ของคลาส SP8 และอันดับที่ 87 ในประเภท Overall หรือไม่ ต้องดูกันต่อไป

ที่มา http://www.mgronline.com/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000044798

Renault Laguna Coupe Monaco GP รุ่นพิเศษ สีขาวมุกหลังคาดำ เริ่มขายมิถุนายนนี้ที่ยุโรป


Renault Laguna Coupe Monaco GP รุ่นพิเศษ สีขาวมุกหลังคาดำ เริ่มขายมิถุนายนนี้ที่ยุโรป
Renault ได้เผยละเอียดของ Laguna Coupe Monaco GP ที่เป็นรุ่น Limited Edition ออกมาแล้ว โดยมีความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานก็คือ การใช้สีขาวมุกกับตัวถังโดยใช้สีดำสำหรับหลังคาและครอบกระจกข้าง ส่วนล้ออัลลอยเป็นขอบ 18 นิ้ว สำหรับภายในนั้น เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนังชาร์โคลพร้อมโลโก้ Monaco GP สีเทา ซึ่งมีอยู่ที่บริเวณกระจังหน้าและข้างตัวรถด้วยเช่นกัน พวงมาลัยเป็นแบบสไตล์รถแข่ง
Renault Laguna Coupe Monaco GP มีเครื่องยนต์ทางเลือกเป็นเครื่องดีเซล 3 รุ่นคือ dCi 150 และ dCi 180 ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 150 และ 180 แรงม้าตามลำดับ อีกรุ่นก็คือ เครื่อง dCi V6 3.0 ลิตร ให้กำลัง 235 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร นอกจากเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว ยังมีเครื่องยนต์เบนซินอีกหนึ่งรุ่นคือ เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ให้กำลัง 240 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร

จุดเด่นของรถรุ่นนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบควบคุมพวงมาลัย 4Control All-Wheel ที่พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Renault Sport Technologies เอง โดยโครงสร้างตัวถังแบบ 4Control จะช่วยทำให้การควบคุมรถทำได้ง่ายขึ้น
สำหรับราคาของ Laguna Coupe Monaco GP เริ่มที่ 38,000 ยูโร โดยจะเริ่มมีการเปิดจองในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ และเริ่มมีจำหน่ายตามโชว์รูมต่างๆในยุโรปในเดือนมิถุนายนนี้เช่นกันครับ

ที่มา: Renault,www.autospinn.com

14 เมษายน 2553

MINI E Race รถไฟฟ้าคันแรก บนสนาม Nürburgring กับความเร็วสูงสุด 187 กม./ชม.

MINI E Race รถไฟฟ้าคันแรก บนสนาม Nürburgring กับความเร็วสูงสุด 187 กม./ชม.MINI กลายเป็นบริษัทผู้ลิตรถยนต์รายแรกที่นำเอารถไฟฟ้ามาทำการทดสอบในสนามแข่งรถชื่อดังของโลก Nürburgring-Nordschleife รถไฟฟ้าที่ว่านี้ก็คือ MINI E Race รถไฟฟ้าทั้งคันที่ใช้เวลา 9 นาทีและ 51.45 วินาที ในการวิ่งรอบสนามที่มีระยะทาง 20.8 กิโลเมตร ซึ่ง E Race มีผู้ควบคุมพวงมาลัยที่เป็นอดีตนักขับทีมรถแข่ง DTM ที่ชื่อ Thomas Jäger โดยเขาสามารถทำความเร็วสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ได้ที่ 187 กิโลเมตร/ชั่วโมง
MINI E Race ใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 204 แรงม้าส่งผ่านไปยังชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมอิออนซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ใน MINI E รุ่นมาตรฐาน ต่างกันตรงที่อัตราเกียร์และโปรแกรมจัดการเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งให้รถมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีการใช้ตัวถังที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ มีการใช้กรงนิรภัย มีการติดตั้งระบบกันสะเทือน เบรค และยางประสิทธิภาพสูง ส่วนภายนอกมีการใช้ปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์ และ Diffuser ครับ

ที่มา: MINI,www.autospinn.com



13 เมษายน 2553

New Audi TT โฉมปี 2011 ทั้งเวอร์ชั่น Coupe และ Roadster เตรียมโผล่ที่ Leipzig Auto Show


New Audi TT โฉมปี 2011 ทั้งเวอร์ชั่น Coupe และ Roadster เตรียมโผล่ที่ Leipzig Auto Show
Audi ได้เปิดตัว TT ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 2011 ทั้งเวอร์ชั่น Coupe และ Roadster ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงโฉมในบางส่วนสำหรับภายนอกและการปรับปรุงภายใน รวมถึงการเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ทางเลือกระดับ Entry Level ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน TFSI 2.0 ลิตร 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 ปอนด์ฟุต ที่มีตัวเลขสูงกว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรรุ่นเดิมอยู่ 11 แรงม้า และ 51 ปอนด์ฟุตสำหรับแรงบิดสูงสุด ตามลำดับ ระบบเกียร์เป็นแบบธรรมดา 6 จังหวะ ทำให้เวอร์ชั่น Coupe มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.1 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วน Option เป็นเครื่องยนต์ 2.0 TFSI พร้อมระบบเกียร์ S Tronic Dual Clutch 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนแบบ quattro permanent AWD ที่มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 5.6 วินาที เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 6.6 ลิตร/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐานยุโรป โดยมีอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศที่ 154 กรัม/กิโลเมตร

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทางด้านเทคนิคสำหรับรุ่น TTS 272 แรงม้า และรุ่น TT RS เครื่องยนต์ 5 สูบ 340 แรงม้า อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ TT RS จะมี option เป็นระบบเกียร์ S Tronic Dual Clutch ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้เลือก
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องรูปโฉมของ TT ใหม่ เกิดขึ้นกับส่วนของกันชนหน้าที่มีการออกแบบใหม่และมีช่องไอดีขนาดใหญ่ขึ้น กระจังหน้าแบบเฟรมเดียวสีดำวาวออกแบบใหม่เช่นกัน ไฟวิ่ง Daytime แบบ LED สีขาว เรียงกัน 12 ดวงที่ขอบล่างของไฟหน้า ชุดไฟท้ายใหม่ ท่อไอเสียมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วน Diffuser หลังมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

TT Coupe และ Roadster มีมิติความยาวที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อน 2 เซนติเมตร ทำให้ความยาวรถโดยรวมเป็น 4,187 มิลลิเมตร และรถมีสีใหม่ให้เลือกอีก 4 สีคือ สีน้ำเงิน Scuba สีเทา Oolong สีแดง Volcano และสีเทา Dakota
สำหรับรุ่น TTS Coupe และ Roadster ที่แรงกว่ารุ่น TT มีการใช้กระจังหน้าออกแบบใหม่ที่มีช่องไอดีสีโครเมี่ยม ในขณะที่รุ่น TT RS ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สำหรับภายใน มีการตกแต่งด้วยวัสดุคล้ายอลูมิเนียมที่พวงมาลัย คอนโซลกลาง และบริเวณแผงข้างประตู มีแถบอลูมิเนียมขัดสีเทาเหนือกล่องใส่ถุงมือที่ประตู โดยจะมีสีภายในใหม่ให้เลือกสำหรับรุ่น TT และ TTS
ในอเมริกา Audi TTS โฉมใหม่ ปี 2011 จะมีจำหน่ายตามโชว์รูมในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วนรุ่น TT 2.0 TFSI quattro จะเริ่มมีจำหน่ายในไตรมาสแรกของปีหน้า และ Audi TT โฉมใหม่นี้จะเปิดตัวในงาน Leipzig Auto Show ในเยอรมันนีปลายเดือนนี้ครับ

ที่มา: Audi,www.autospinn.com

Tagged as: 2010 Leipzig Auto Show, 2011 Audi TT, 2011 Audi TT RS, 2011 Audi TTS, 2011 TT, Audi TT, audi tt coupe, Audi TT roadster, Audi TT RS, audi tts, Leipzig Auto Show, ทีที, มอเตอร์โชว์, มอเตอร์โชว์ 2010, ออดี้, ออดี้ ทีที

11 เมษายน 2553

All-New Hyundai Equus รถซีดานหรูไซส์บิ๊ก ท้าชน S550 และ LS460 เปิดตัวที่ New York Auto Show


All-New Hyundai Equus รถซีดานหรูไซส์บิ๊ก ท้าชน S550 และ LS460 เปิดตัวที่ New York Auto Show
Hyundai พยายามสยายปีกไปทุกเซกเมนท์รถยนต์โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาที่ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆไปหลายรุ่นในงาน New York Auto Show ปีนี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดตัวรถซีดานหรูขนาดใหญ่อย่าง All-New Hyundai Equus ปี 2011 ที่เตรียมลงสู่ตลาดเพื่องัดข้อกับรถหรูจากค่ายใหญ่อย่าง Lexus LS460 และ Mercedes-Benz S550 ถือว่า Equus รุ่นนี้เป็นรุ่นผลิตเพื่อจำหน่ายอย่างเต็มตัวและได้เริ่มจำหน่ายไปแล้วในประเทศเกาหลีใต้
จุดแข็งของรถจากค่าย Hyundai ยังเป็นแบบเดิมๆคือ นำเสนอของดีในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่ง All-New Equus รุ่นนี้มีราคาเริ่มต้นแค่เพียง 5 หมื่นเหรียญสหรัฐฯกลางๆ ซึ่งนาย John Krafcik ประธานและซิอีโอของ Hyundai Motor America เผยว่าบริษัทฯได้ใช้ประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมที่ได้จากการสร้างรุ่น Genesis มาปรับปรุงเพื่อพัฒนา Equus ให้ดีขึ้นกว่าเดิมและสร้างความแตกต่างจากรถยนต์หรูรุ่นอื่นๆที่มีอยู่ในท้องตลาด โดยบริษัทฯได้ใช้สถาปัตยกรรมขับเคลื่อนล้อหลังของ Genesis ในแบบที่มีขนาดยาวขึ้นในการพัฒนา Equus ซึ่งรถรุ่นนี้มีขนาดยาวกว่า Genesis อยู่ถึง 7.2 นิ้ว โดยในประเทศเกาหลีมีเวอร์ชั่นฐานล้อยาวที่มีระยะอยู่ที่ 215 นิ้วหรือ 5,460 มิลลิเมตร
ระบบขับเคลื่อนของ Equus เป็นเครื่องยนต์ Tau V8 4.6 ลิตรที่พัฒนาขึ้นโดย Hyundai เอง ห้กำลัง 385 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 333 ปอนด์ฟุต โดยเครื่องยนต์ V8 นี้จะถูกขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังอัตโนมัติ ZF 6 จังหวะที่มาพร้อมระบบ SHIFTRONIC ซึ่งควบคุมด้วยมือ ทำให้ Equus มีอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์/ชั่วโมง(0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 6.4 วินาที
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆสำหรับซีดานหรูรุ่นนี้ก็คือ ระบบกันสะเทือนอากาศควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบจัดการความเสถียรตัวรถ VSM ที่จะจัดการกับระบบ Electronic Stability Control (ESC) ระบบเบรคอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ Cruise Control อัจฉริยะ และระบบรัดเข็มขัดนิรภัย ให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด

ที่มา www.autospinn.com

Citroen Survolt Concept : สวยเร้าใจแต่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม


Citroen Survolt Concept : สวยเร้าใจแต่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ผลผลิตต่อเนื่องมาจากต้นแบบรุ่น Revolte ที่ทางซีตรองนำออกจัดแสดงในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้นำไปสู่การพัฒนาสู่รูปแบบใหม่ของงานออกแบบ ซึ่งเน้นความสวย เร้าใจและดุดัน แต่ตอบสนองการขับเคลื่อนด้วยพลังบริสุทธิ์ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซพิษออกสู่บรรยากาศอย่างระบบไฟฟ้า
ต้นแบบรุ่นนี้มีชื่อว่า Survolt ซึ่งเป็นรถสปอร์ตต้นแบบที่ผสมผสานงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ของทีมงานจากค่ายซีตรอง ซึ่งที่ผ่านมาต้องบอกว่าสามารถสร้างชื่อได้เป็นอย่างดีนับจากการเปิดตัวต้นแบบรุ่น GTbyCitroen เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ตัวรถมาในแบบสปอร์ต 2 ประตูที่มีความยาวแบบกะทัดรัดเพียง 3,850 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร และสูง 1,200 มิลลิเมตร พร้อมรายละเอียดการออกแบบที่ยึดเส้นสายที่ถือเป็นการปฏิวัติสไตล์การออกแบบเดิมๆ ของซีตรอง โดยมีส่วนผสมของต้นแบบรุ่น GTbyCitroen กับต้นแบบรุ่น Revolt เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
สำหรับห้องโดยสารเน้นความเรียบง่ายแต่ดูเร้าใจในทุกสัมผัส โดยรายละเอียดบนแผงหน้าปัดมีเพียงแค่มาตรวัดแสดงผลในแบบดิจิตอลติดตั้งอยู่บนฝั่งคนขับ พร้อมพวงมาลัยทรงสปอร์ต ที่ออกแบบคล้ายกับพวงมาลัยของรถแข่ง F1

แม้ไม่มีการเผยถึงรายละเอียดออกมาอย่างชัดเจน แต่ซีตรองบอกว่าสปอร์ตยุคใหม่ต้องหมุนไปตามโลกและกระแสของความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม และทางซีตรองเลือกการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าในแบบ EV มาใช้กับ Survolt เช่นเดียวกับ Revolte ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และไม่มีการปล่อยก๊าซไอเสียเพื่อให้สมกับเป็น ZEV หรือ Zero Emission Vehicle แห่งอนาคต
แน่นอนว่างานนี้เน้นไปที่การนำเสนอสไตล์การออกแบบเป็นหลัก และ Survolt ก็สามารถสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปแบบที่ฉีกแนวทางเดิมๆ ของซีตรองที่เราคุ้นเคยกันมานาน และถือเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่เกิดมาภายใต้ยุคของการเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้งบริษัท ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีการผลิตจริงเหมือนกับที่เคยมีข่าวว่าซีตรองไฟเขียวผลิต GTbyCitroen ในแบบลิมิเต็ด เอดิชั่นหรือไม่นั้น คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

09 เมษายน 2553

Nissan GT-R ซุปเปอร์คาร์ที่(เจ้าของบอก)ต้องแต่งเพราะแรงน้อย Switzer สนองให้ 800 แรงม้า


Nissan GT-R ซุปเปอร์คาร์ที่(เจ้าของบอก)ต้องแต่งเพราะแรงน้อย Switzer สนองให้ 800 แรงม้า
มีเจ้าของ Nissan GT-R รายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองนิวอิงแลนต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อสำนักแต่ง Switzer Performance Innovation (SPI) เพื่อให้ปรับแต่งรถโดยต้องการลดน้ำหนักของ GT-R รุ่นมาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3,800 ปอนด์ ให้น้อยลงกว่านี้ ในขณะเดียวกันก็อยากจะเพิ่มกำลังซุปเปอร์คาร์รุ่นนี้ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะต้องการทำให้เป็นรถ Track Day ที่นอกจากจะใช้ขับบนท้องถนนได้แล้ว ยังสามารถนำไปใช้แข่งในวัน Track Day ที่กำลังเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย

Switzer ทำการติดตั้งชุดแต่งกำลังโดยการใช้ของใหม่ในหลายๆส่วนเช่น อินเตอร์คูลเลอร์ ระบบไอดี เทอร์โบชาร์เจอร์ ทำให้รถมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 800 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดก็เพิ่มขึ้นเป็น 700 ปอนด์ฟุต และด้วยกำลังที่แรงมากขึ้น ระบบเบรคก็ต้องมีการอัพเกรด โดย Switzer ได้เปลี่ยนส่วนประกอบต่างๆไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนโรเตอร์ น้ำมันเบรค ผ้าเบรคและชิ้นส่วนอื่นๆโดยใช้ของใหม่จาก AP ระบบไอเสียก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยใช้ระบบไอเสียไทเทเนี่ยมเคลือบเซรามิค

สำหรับเรื่องของการลดน้ำหนักตัวรถ มีการใช้ฝากระโปรงหลังทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะที่นั่งสไตล์สปอร์ทของ Bride ที่สามารถปรับเอนได้เพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น ระบบกันสะเทือนใช้แบบปรับได้จาก JRZ เพื่อการเข้าโค้งที่ดีขึ้น มีการใช้ diffuser และปีกหลังเพื่อการไหลผ่านของอากาศที่ดีขึ้นในแง่ของหลักอากาศพลศาสตร์

การปรับแต่งทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ Nissan GT-R รุ่นนี้มีน้ำหนักลดลงเป็น 3,600 ปอนด์ ในขณะที่กำลังรวมเพิ่มขึ้นเป็น 800 แรงม้า และคงสมใจเจ้าของอย่างแน่นอน

ที่มา: Switzer Performance Innovation ,www.autospinn.com

08 เมษายน 2553

ตลาดบูม!เก๋งราคา4-5แสนแห่จ่อคิวเปิดตัวยาวข้ามปี

ตลาดบูม!เก๋งราคา4-5แสนแห่จ่อคิวเปิดตัวยาวข้ามปี
ตลาดเก๋งเล็กราคา 4-5 แสนบาทร้อนแรง! มีรถใหม่จ่อคิวเปิดตัวตามหลัง “นิสสัน มาร์ช” ที่กำลังมาแรงทุกไตรมาส เริ่มตั้งแต่พฤศภาคมนี้ แบรนด์ดังจากจีน “เฌอรี่” นำเข้าแฮ็ตช์แบ็ก 5 ประตู รุ่น “เอ1” เครื่องยนต์ 1.3 ลิตร ราคา 4 แสนบาทต้นๆ มาเกาะกระแสตีกินนิ่มๆ แต่ที่น่าจับตาเห็นจะเป็น “ฟอร์ด เฟียสต้า 1.4 ลิตร” ที่เดือนสิงหาคมมีกำหนดวางจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งหมากนี้ฟอร์ดส่งมาเสริมรุ่น 1.6 ลิตร เพื่อกินรวบตลาดกลุ่มระดับราคาประมาณปลาย 4-5 แสนบาท ก่อนที่ช่วงส่งท้ายปีจะมีคู่แข่งเพิ่มอีกรุ่น “ฮุนได ไอ10” ที่นำเข้าจากโรงงานในมาเลเซีย ภายใต้สิทธิ์ประโยชน์ตามกรอบอาฟต้า ทำให้ราคาเคาะออกมาปลาย 4-5 แสนบาทต้นๆ และยังต้องมาลุ้นกับ “โปรตอน” แบรนด์รถยนต์มาเลเซียของแท้ ซึ่งมีแนวโน้มสูงจะนำเข้ารุ่น “เซก้า” หรือเวอร์ชั่น 4 ประตูของ “โปรตอน เซฟวี่” มาเสริมทัพ เท่านั้นไม่พอยังแรงข้ามไปถึงต้นปีหน้า อันถือเป็นจุดตลาดระอุแบบสุดๆ เมื่อยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า” จะเปิดเก๋งโมเดลใหม่ภายใต้โครงการอีโคคาร์มาฟัดกับนิสสันแบบหมัดต่อหมัดกันเลย

เฌอรี่ เอ1


ร้อนแรงสมกับที่คาดหวังไว้ สำหรับ “นิสสัน มาร์ช” อีโคคาร์คันแรกที่ถูกส่งมาบุกตลาดไทย ในราคา 3.75-5.37 แสนบาท โดยสามารถทำยอดจองพุ่งทะลุ 5,000 คันไปแล้ว ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น นับตั้งแต่วันเปิดจอง เฉพาะในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทคบางนา มียอดจองร่วม 2,000 คัน นับเป็นการโหมโรงปลุกตลาดซิติ้คาร์ในไทยได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ก่อนหน้าแม้จะมีรถลักษณะนี้ทำตลาดมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ความร้อนแรงของนิสสัน มาร์ช จึงเป็นการปูทางให้กับรถรุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามา สามารถทำตลาดได้ง่ายขึ้นระดับหนึ่ง โดยเฉพาะปีนี้ที่มีทยอยนำเข้ามาทำตลาดต่อเนื่องหลายรุ่น

ทั้งนี้ใครที่ไปเดินงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 ที่เพิ่งปิดฉาก คงจะได้ชมและสัมผัสไปบ้างแล้ว เพราะได้มีการนำรถมาเผยโฉมหยั่งกระแสเสียงตอบรับ จากผู้มาชมภายในงาน 2-3 รุ่น ก่อนที่จะนำเข้ามาทำตลาดภายในปีนี้

โดยที่ไม่ต้องรอนานเห็นจะเป็นรถยนต์จากประเทศจีน “เฌอรี่ เอ1” ซึ่งพร้อมนำเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการเดือนพฤศภาคมนี้ ในรูปแบบรถยนต์แฮ็ตช์แบ็ก 5 ประตู วางเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ขนาด 1300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 114 นิวตันเมตร ที่ 3,800-4,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วได้สูงสุด 156 กม/ชม. โดยเบื้องต้นจะมาเฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ จากนั้นช่วงปลายปีจึงจะนำเข้ารุ่นเกียร์อัตโนมัติมาทำตลาด

อุปกรณ์ที่ติดตั้งมากับ เฌอรี่ เอ1 ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ได้ด้อยกว่าคู่แข่งจากค่ายรถญี่ปุ่น หรือเกาหลีเลย อาทิ ล้ออัลลอย สปอยเลอร์หลัง แร็คหลังคา ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง และที่ปัดน้ำฝนกระจกบังลมหลัง เบาะนั่งหนังอย่างดี กระจกไฟฟ้า 4 บาน กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า ระบบเซ็นทรัลล็อกแบบ 2 ชั้น กุญแจรีโมท ระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง 4 ตัว ส่วนระบบความปลอดภัย ถุงลมนิรภัยทั้งสำหรับผู้ขับกับผู้โดยสารตอนหน้า เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก เป็นต้น

สำหรับสนนราคาของเฌอรี่ เอ1 ยังไม่เคาะเป็นทางการ แต่จากการเปิดเผยคร่าวๆ ของผู้บริหารบริษัท ไทยเฌอรี่ ยานยนตร์ จำกัด น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนบาทต้นๆ โดยตั้งเป้าเดือนละประมาณ 50 คัน

ฟอร์ด เฟียสต้า ซีดาน


ส่วนอีกรุ่นที่เผยโฉมภายในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 “ฟอร์ด เฟียสต้า” ที่ทางฟอร์ด ประเทศไทยประกาศออกมาแล้วว่า จะทำตลาด 2 เครื่องยนต์ด้วยกัน คือ ขนาด 1600 ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และ 1400 ซีซี 94 แรงม้าที่ 5,750 รอบต่อนาที ทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแฮ็ตช์แบ็ก 5 ประตู เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกตามความต้องการ โดยจะวางจำหน่ายตามโชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

จากคำบอกเล่าของ “สาโรช เกียรติเฟื่องฟู” รองประธานอาวุโสของฟอร์ด ประเทศไทย ราคาเฟียสต้าจะไม่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดซับคอมแพ็กต์ แต่โดดเด่นกว่าในเรื่องนวัตกรรมระบบเกียร์อัตโนมัติ พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ที่ติดตั้งในรุ่นเครื่องยนต์ 1600 ซีซี จึงให้ประสิทธิภาพทั้งด้านสมรรถนะ การตอบสนองการขับขี่ที่รวดเร็ว และความประหยัดน้ำมันสูง

หากพิจารณาจากตรงนี้ ฟอร์ด เฟียสต้า เครื่องยนต์เบนซิน 1400 ซีซี ราคาน่าจะอยู่ประมาณปลาย 4-5 แสนบาท ซึ่งงานนี้คงทำเอา “นิสสัน มาร์ช” รวมถึงรถรุ่นอื่นๆ ที่มีระดับราคาดังกล่าว สะเทือนไปตามๆ กันแน่

เฟียสต้า แฮทซ์แบ็ก


เรียกว่าหมากเกมนี้ “ฟอร์ด เฟียสต้า” คงหวังกินรวบตลาดเก๋งเล็ก ตั้งแต่ซิตี้คาร์ อีโคคาร์ ไปจนถึงซับคอมแพ็กต์ หรือรถกลุ่มระดับราคาปลาย 3-7 แสนบาทต้นๆ และทีนี้ล่ะคงได้รู้กัน “นิสสัน มาร์ช” จะยังคงร้อนแรงอีกต่อไปหรือไม่?

แต่ที่แน่ๆ ค่ายรถจากแดนกิมจิ “ฮุนได” ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใดๆ ประกาศชัดเจนแล้วว่า ปลายปีนี้จะนำเข้าซิตี้คาร์มาบุกตลาดไทย ให้ทันช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 หลังจากประสบความสำเร็จกับรถเอ็มพีวีรุ่นเอช1 เป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยรถที่ทำตลาดมีชื่อเรียกว่า “ฮุนได ไอ10” เป็นซิตี้คาร์ที่นำเข้ามาจากโรงงานประกอบในมาเลเซีย ภายใต้กรอบข้อตกลงอาฟต้า(AFTA) อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ภายในอาเซียนอยู่ที่0%

ฮุนได ไอ10


ฮุนได ไอ10 เป็นรถราคาประหยัดกลุ่มเอ-เซกเม้นท์ หรือซิตี้คาร์ ในแบบของรถแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งขนาด 1100 ซีซี 66 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที และรุ่น 1200 ซีซี 78 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที โดยในไทยจะเลือกรุ่น 1200 ซีซีมาทำตลาด

ราคาจำหน่ายของฮุนได ไอ10 ในมาเลเซียประมาณ 4.1-5.1 หมื่นริงกิตมาเลเซีย หรือคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ 4-5 แสนบาท ฉะนั้นราคาขายในไทยคงจะไม่หนีไปจากนี้ เพียงแต่รุ่นที่ทำตลาดในไทยจะใส่อุปกรณ์มาให้อย่างเต็มที่ จากการประเมินคร่าวๆ เบื้องต้นของทางฮุนไดในประเทศไทย จึงคาดว่าน่าจะทำราคาอยู่ที่ประมาณปลาย 4-5 แสนบาทต้นๆ

นอกจากนี้ในช่วงปลายปีเช่นเดียวกัน ยังมี “โปรตอน” รถยนต์จากมาเลเซียที่น่าจับตามองอีกยี่ห้อ ที่อาจจะนำเข้ารถยนต์ขนาดเล็กมาทำตลาดในไทย หลังจากประสบความสำเร็จพอสมควรกับ โปรตอน เซฟวี่ แม้จะยังไม่เปิดเผยชัดเจน แต่หากพิจารณาโปรดักซ์ที่น่าสนใจแล้ว คงจะไม่พ้น “โปรตอน ซาก้า” (Saga) เก๋งซีดานขนาดเล็ก หรือจะเรียกว่าเวอร์ชั่น 4 ประตูของรุ่นเซฟวี่ก็ได้ โดยวางเครื่องยนต์ขนาด 1300 ซีซี 95 แรงม้า และหากนำเข้ามาราคาน่าจะใกล้เคียงกับรุ่นเซฟวี่

โปรตอน ซาก้า


อย่างไรก็ตาม ความร้อนแรงของตลาดเก๋งเล็กระดับราคา 4-5 แสนบาท ได้ถูกมองยาวข้ามไปถึงต้นปี 2554 โน้น เพราะ“ฮอนด้า”ค่ายยักษ์ใหญ่ตลาดเก๋ง ได้ประกาศชัดเจนว่าจะเปิดตัวรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์สู่ตลาดไทย ในช่วงต้นปีหน้านี้แน่นอน และจะเป็นอีโคคาร์คันที่สองต่อจากนิสสัน มาร์ช จากทั้งหมด 6 ยี่ห้อ (ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, มิตซูบิชิ,โตโยต้า และทาทา) ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ

เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับสาวกฮอนด้ามากมายในไทย และเป็นการเบรกกระแสความร้อนแรงของคู่แข่ง “นิสสัน มาร์ช” ไปด้วย ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยจึงได้นำรถต้นแบบที่เรียกว่า “Honda New Small Concept” มาแสดงในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 และระบุว่าจะเป็นรถที่พัฒนาเป็นอีโคคาร์ ที่มีกำหนดการผลิตและเปิดตัวในไทยต้นปี 2554 ที่จะถึงนี้

เห็นมั๊ยล่ะว่า…ตลาดเก๋งขนาดเล็กระดับราคาประมาณ 4-5 แสนบาท มีรถใหม่แห่จ่อคิวเปิดตัวทุกไตรมาสเลยทีเดียว แม้แต่ซับคอมแพ็กต์ หรือเก๋งตลาดอื่นๆ ที่เคยว่าแน่ยังสู้ไม่ได้ แถมยังมีคิวเปิดตัวลากยาวข้ามไปจนถึงปีหน้าอีก อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าร้อนแรง! ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว?!

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์