28 กุมภาพันธ์ 2553

อีซูซุส่งเอ็กซ์ซีรี่ส์สยายปีก ฉีกแนวขยายตลาดกลุ่มวัยรุ่น

อีซูซุส่งเอ็กซ์ซีรี่ส์สยายปีก ฉีกแนวขยายตลาดกลุ่มวัยรุ่น
อีซูซุเปิดเกมรุกส่งรถปิกอัพดีแมคซ์รุ่นตกแต่งพิเศษเน้นความโฉบเฉี่ยวเจาะตลาดวัยรุ่นโดยเฉพาะ เป้าหมายเพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น ท่ามกลางกระแสการเติบโตของตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก ที่คาดกันว่าจะส่งผลให้ตลาดรวมรถปิกอัพหดตัวลง แต่อีซูซุยังมั่นใจรถปิกอัพยังมีความสำคัญกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนไทย การเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ของตรีเพชร อีซูซูเซลส์ จำกัดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ส่งความตื่นเต้นให้กับตลาดรถปิกอัพอย่างมาก เป็นการเปิดตัวรถปิกอัพที่ฉีกแนวการทำตลาดของอีซูซุ จากรูปแบบเดิมที่ค่อนข้างไปในทางอนุรักษ์นิยม ปิกอัพอีซูซุใหม่มาในชื่อรุ่น ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Live the X-style Life!” โดยสถานที่เปิดตัวคือ ฟังกี้ วิลล่า ผับชื่อดังย่านทองหล่อ-เอกมัย แหล่งบันเทิงของกลุ่มวัยรุ่น ขณะที่รูปแบบงานก็เน้นความเซ็กซี่จากบรรดานางแบบเซ็กซี่จากนิตยสาร Maxxim เป็นรูปแบบที่อีซูซุไม่เคยทำมาก่อน
ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด บอกว่า ไลฟ์สไตล์ปิกอัพนี้ จะฉีกแนวจากอีซูซุทุกรุ่นที่เคยมีมา เนื่องจากครั้งนี้กลุ่มเป้าหมายคือคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ คือไม่ใช่คนที่เรียนหรือทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีลักษณะการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย บางคนอาจจะชอบเล่นกีฬา บางคนอาจจะชอบสนุกสนานกับเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่สไตล์ของตนเอง

ทั้งนี้ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ จะเป็นรุ่นปิกอัพอีกรุ่นหนึ่งที่มีการตกแต่งตัวรถทั้งภายนอกและภายในให้แตกต่างกับดีแมคซ์รุ่นอื่นๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นได้เห็นถึงความแตกต่าง โดยมีการเน้นรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสปอร์ต และภายในเน้นโทนสีดำ แดง เพราะกลุ่มวัยรุ่นใช้รถยนต์ในเมืองไทยนั้น ต้องการรถยนต์ที่แสดงความเป็นตัวตนที่ชัดเจน และส่วนใหญ่ชื่นชอบการตกแต่งรถยนต์ให้แตกต่าง และมีสไตล์ที่สดใส ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ ใหม่

นาคางาวะ บอกว่า อีซูซุ ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ ออกแบบและตกแต่งให้เหมาะที่จะใช้ทั้งในเมือง หรือไปพักผ่อนทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต่างจังหวัดก็ได้ ที่สำคัญสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย และดีไซน์ที่เท่ ทันสมัยโดยเน้นสีดำ-แดงเป็นหลักสื่อถึงบุคลิกของรถและเจ้าของได้อย่างชัดเจน จุดที่โดดเด่นที่สุดคือการออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยสีดำ-แดง พร้อมมาตรวัดใหม่และแผงควบคุมเรืองแสงสีส้มแอมเบอร์ให้อารมณ์สปอร์ต

โดยภาพลักษณ์ของปิกอัพ อีซูซุดีแมคซ์ นั้นทั่วไปจะเน้นจุดขายในเรื่องความประหยัดเป็นลำดับแรก และในแต่ละปีจะมีการเสริมจุดขายต่างๆ ทั้งที่เป็น Functional เพิ่มเข้าไปไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรูปลักษณ์ การใช้งาน ความคงทนของตัวผลิตภัณฑ์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงการสร้างจุดเด่นที่เป็น Emotional อย่างเช่น การออกรุ่น Gold Series ที่เน้นสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในเรื่อง ความร่ำรวย และเงินทอง โดยแต่งอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสีทอง พร้อมกับคอนเซ็ปต์ “อีซูซุ ดีแมคซ์ใช้แล้วรวย”

แนวคิดการทำตลาดรูปแบบนี้ถูกใช้ต่อเนื่องมาจนถึงดีแมคซ์รุ่นปัจจุบันคือ ดีแมคซ์แพลททินั่ม ซึ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์นำทางผ่านดาวเทียม โดยอีซูซุ สร้างชื่อเรียกใหม่ว่า “ไอ-จินนี่” พร้อมกับคอนเซปต์ใหม่คือ “ไอจินนี่นำทางรวย”

สำหรับกลุ่มลูกค้าอีซูซุ ส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้บริโภคที่ต้องการรถปิกอัพเพื่อใช้ในการบรรทุก และเป็นรถยนต์โดยสารได้ในเวลาเดียวกัน เดิมนั้นกลุ่มผู้ใช้รถปิกอัพในเมืองไทยมีขนาดใหญ่กว่าตลาดรถยนต์นั่ง ยอดขายปิกอัพในแต่ละปีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในปีที่ผ่านมาตลาดรถปิกอัพเมืองไทยมีการหดตัวอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มผู้บริโภคหันไปใช้รถยนต์นั่ง ที่มีราคาต่ำกว่าโดยเฉพาะรยนต์นั่งขนาดซับคอมแพ็กต์ อีกทั้งราคาน้ำมันดีเซลที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องก็ทำให้ตลาดรถปิกอัพหดตัวเช่นกัน จนบริษัทรถยนต์หลายแห่งประเมินว่า ตลาดปิกอัพจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง และยอดขายในอนาคตจะมีสัดส่วนที่เท่ากันหรือต่ำรถยนต์นั่ง และหากเป็นเช่นนั้นแบรนด์อีซูซุจะได้รับผลกระทบด้วย เพราะมีตัวผลิตภัณฑ์รถปิกอัพเพียงอย่างเดียว

ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Live the X-style Life!” จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับอีซูซุ เป็นการขยายตลาดไปสู่กลุ่มวัยรุ่น หรือเจนเนอเรชั่น X ที่มอง หรือให้ความสำคัญกับรถยนต์นั่ง หันกลับมามองรถปิออัพให้ประโยชน์ทั้งการโดยสาร และให้ความสะดวกกับไลฟ์สไตล์ในเรื่องการบรรทุกสัมภาระต่างๆ ประเภทอุปกรณ์กีฬา หรือท่องเที่ยวเป็นต้น

การตกแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์อีซูซุสีแดงที่กระจังหน้า การตกแต่งสคูปฝากระโปรงหน้าเพิ่มความดุดัน การตกแต่งสติกเกอร์ รวมถึงชุดสเกิร์ตรอบคันและภายในที่เน้นโทนสีดำ-แดงสไตล์รถสปอร์ต เป็นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการรถยนต์ที่มีความสวยงามในสไตล์แตกต่างจากรถตลาดทั่วไป

ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ นั้นจะเริ่มส่งออกมาจำหน่ายในวันที่ 2 มีนาคม เป็นช่วงปลายไตรมาสแรกของปี ในขณะที่ตัวเลขยอดขายรถปิกอัพขนาด 1 ตันของเดือนมกราคมมีอัตราการเติบโตที่สูงถึง ....



โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์/http://www.managerweekly.com/

5 by Peugeot สัญญาณปรับทัพใหม่

5 by Peugeot สัญญาณปรับทัพใหม่
นับจากทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา คนขับรถยนต์ทั่วโลกต่างทราบดีว่าลำดับในการทำตลาดของรถยนต์จากค่ายเปอโยต์สำหรับตลาดรุ่นใหญ่อย่างกลุ่มรถยนต์ครอบครัว หรือ D-Segment และรถยนต์ระดับหรูสำหรับผู้บริหาร คือ หน้าที่ของรหัส 4 และ 6 ...นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน
แต่สำหรับในอนาคตตรงนี้ไม่แน่แล้ว เพราะการเตรียมเปิดตัวต้นแบบรุ่นใหม่ในชื่อ 5 by Peugeot ที่จะมีขึ้นในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 ระหว่างวันที่ 4-14 มีนาคมที่จะถึงนี้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกมองว่าเหมือนกับเป็นสัญญาณที่ถูกส่งออกเตือนให้รับทราบมาล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน เปอโยต์กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องไลน์อัพรถยนต์สำหรับทำตลาด โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มบน

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ต้นแบบ 5 by Peugeot มาพร้อมกับงานออกแบบยุคใหม่ของเปอโยต์ และไม่ได้เป็นแค่ต้นแบบสำหรับจัดแสดงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นต้นแบบที่เตรียมพร้อมเพื่อขึ้นสู่การผลิตจริงในอนาคต และการใช้ชื่อรุ่นที่ว่า 5 by Peugeot น่าจะบ่งบอกให้เห็นถึงการเตรียมล่มสลายของรหัส 4 หรือไม่ก็ 6 รุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรืออาจจะทั้งคู่ก็ได้ เพราะจากมิติตัวถังของตัวรถที่ถูกเปิดเผยออกมา คือ ความก้ำกึ่งที่บอกไม่ถูกและยังต้องคลำหาปริศนากันต่อไป

นั่นก็เพราะด้วยความยาวระดับ 4,860 มิลลิเมตร กว้าง 1,880 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,810 มิลลิเมตร ยาวกว่า 407 แต่สั้นกว่า 607 เพียงเล็กน้อยนั้น ถือว่าเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดความยากลำบากสำหรับการคาดเดาความคิดของเปอโยต์ เนื่องมาจากว่ารหัส 4 ของเปอโยต์ กลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งในตลาดด้วยรุ่น 405 ที่เริ่มขายในปี 1987 นั้น ถือเป็นรถยนต์ยอดนิยมที่สุดรุ่นหนึ่งและจัดอยู่ในระดับเดียวกับโฟล์คสวาเกน พัสสาท, ฟอร์ด มอนเดโอ เช่นเดียวกับเจนเนอเรชันต่อมาอย่าง 406 และรุ่นปัจจุบันอย่าง 407 การตัดสินใจถอดรหัส 4 ที่ขายดีออกจากตลาด ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกไปสักหน่อย

ส่วนรหัส 6 ที่ทำตลาดด้วยรุ่น 607 อยู่ในตอนนี้ กลายเป็นรุ่นที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุด เพราะด้วยระดับตลาดที่ถูกวางเอาไว้ในคลาสเดียวกับออดี้ เอ6 แต่ความหรูกลับไปไม่ถึงนั้น ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เปอโยต์จะรีเอ็นจิเนียริ่งพื้นที่ในส่วนตรงนี้ แต่การเลือกใช้รหัส 5 เข้ามาแทน มีความค่าทางคณิตศาสตร์เช่นเดียวกับในเชิงจิตวิทยาไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสักเท่าไร

ตำแหน่งทางการตลาดของเปอโยต์ด้วยรถยนต์รหัส 4-6 จึงยังเป็นเรื่องที่คลุมเครืออยู่ แต่ถ้าจะให้ฟันธงลงไป การกลับมาของรหัส 5 น่าจะมาแทนที่รหัส 4 มากกว่า เพราะด้วยขนาดตัวถังที่ใกล้เคียงกัน และการทำตลาดระดับที่หรูกว่าในคลาสเดียวกับรหัส 6 แต่กลับมาตัวถังสั้นกว่า น่าจะเป็นจุดด้อยของตัวรถที่ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

แถมยังมีข่าวว่าเปอโยต์อาจจะใช้วิธีง่ายๆ ในการสานต่อการทำตลาดของรหัส 4 ด้วย การนำรถยนต์รุนฐานล้อยาวของ 308 ที่ขายอยู่ในจีนด้วยชื่อ 408 (แต่ไม่เกี่ยวข้องในเชิงวิศวกรรมกับรถยนต์รุ่น 407 แต่อย่างใด) เข้ามาขายในยุโรปโดยนับรหัสต่อจาก 407 เป็น 408 ไปเลย ส่วนในกลุ่ม D-Segment แต่เดิมเป็นหน้าที่ของรหัส 4 ก็ถูกแทนที่ด้วนรหัส 5 ที่พัฒนามาจากต้นแบบรุ่นนี้และจะใช้ชื่อในการทำตลาดว่า 508

ย้อนกลับมาที่การกลับมาของรหัส 5 ซึ่งต้นแบบรุ่นนี้ไม่ถือว่าเป็นสัญญาณแรก เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2009 เปอโยต์นำรหัส 5 กลับมาสู่ตลาดโดยใช้กับเวอร์ชันมินิแวนที่อิงอยู่บนพื้นฐานของ 308 และขายด้วยชื่อรุ่น 5008 มาแล้ว ส่วนต้นแบบ 5 by Peugeot กับตัวถังทรงซีดาน 4 ประตูถือเป็นการระบุถึงตัวตนที่ชัดเจนจากการสืบทอดความเป็นรถยนต์ซีดานขนาดกลางในรหัส 5 อย่างชัดเจน เหมือนกับรุ่น 504 ในปี 1968 และ 505 ที่บ้านเรารู้จักกันดี ซึ่งสิ้นสุดการทำตลาดในยุโรปไปเมื่อปี 1992 เพื่อเปิดทางให้กับการเข้ามาของรุ่น 405

ในรุ่นต้นแบบมากับเครื่องยนต์ไฮบริดในรหัส Hybrid4 กำลังจะมีขายในตลาดเร็วๆ นี้ โดยเป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล HDi แบบ 2000 ซีซี. 163 แรงม้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 37 แรงม้า แต่แทนที่จะติดตั้งคู่กันที่ด้านหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าหลับวางเอาไว้ที่ด้านหลังเท่ากับว่ารถยนต์รุ่นนี้ในแบบขับเคลื่อน 4 ล้อในบางจังหวะ โดยมีสมรรถนะรวมของระบบอยู่ที่ 200 แรงม้า และมีโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าให้เลือกใช้

ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 3.8 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 26.3 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 99 กรัมต่อ 100 กิโลเมตร โดยที่เป็นรถยนต์แบบ ZEV หรือ Zero Emission Vehicle เมื่อขับในโหมด EV

อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าความเปลี่ยนแปลงในเรื่องรุ่นรถยนต์สำหรับทำตลาดของเปอโยต์จะเกิดขึ้นแน่ๆ และคำตอบที่ชัดเจนสำหรับเรื่องนี้น่าจะมีขึ้นในปลายปีนี้ เมื่อถึงเวลาที่รุ่นจำหน่ายจริงของ 5 by Peugeot ถูกเปิดตัวออกมาในงานปารีส มอเตอร์โชว์ 2010 ระหว่างวันที่ 2-17 ตุลาคมนี้ เราก็จะทราบได้ว่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป


ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์,http://www.managerweekly.com/

Ferrari 599 Hybrid ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรักษ์ธรรมชาติ เตรียมประกาศความแรงในงาน Geneva Motor Show


Ferrari 599 Hybrid ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรักษ์ธรรมชาติ เตรียมประกาศความแรงในงาน Geneva Motor Show
เป็นอีกหนึ่งชุดภาพหลุดก่อนการเผยโฉมในงานมอเตอร์โชว์ระดับโลกอย่าง Geneva Motor Show แต่ครั้งนี้เป็นภาพหลุดของซุปเปอร์คาร์อันดับต้นๆของโลกอย่าง Ferrari ที่งานนี้เตรียมอวดโปรเจกท์รักธรรมชาติ โดยเตรียมเปิดตัวรถแนวคิด Ferrari 599 Hybrid ที่ค่ายม้าลำพองต้องหาจุดสมดุลย์ระหว่างความแรงและความรักษ์(ธรรมชาติ)ที่ลงตัวให้ได้

ข่าวที่หลุดออกมาเผยว่า ระบบขับเคลื่อนส่วนหนึ่งจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 137 นิวตันเมตรที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังของระบบส่งกำลังวางหลังโดยมีชุดแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้พื้นรถ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กำลังที่เพิ่มขึ้นจะไปช่วยชดเชยน้ำหนักของรถที่มากขึ้นประมาณ 100 กิโลกรัม ผลที่ตามมาก็คือ 599 Hybrid จะเร็วและแรงกว่า 599 รุ่นมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวแจ้งว่า ระบบไฮบริดของ Ferrari ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา กว่าจะได้เห็นซุปเปอร์ไฮบริดรุ่นนี้ออกมาเพ่นพ่านบนท้องถนนก็คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี ส่วนรายละเอียดอื่นๆเราจะได้ทราบกันเมื่อมีการเปิดตัวรถรุ่นนี้ที่ Geneva Motor Show ครับ


ที่มา: carspyshot/www'autospinn.com

26 กุมภาพันธ์ 2553

โฉมรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "มาสเตอร์" ที่จะผลิตในโรงงานที่ฝรั่งเศส


โฉมรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "มาสเตอร์" ที่จะผลิตในโรงงานที่ฝรั่งเศส
รถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "มาสเตอร์" ที่จะผลิตในโรงงานที่ฝรั่งเศส">
เรโนลต์ "มาสเตอร์" -โฉมรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "มาสเตอร์" ที่จะผลิตในโรงงานที่ฝรั่งเศส
เรโนลต์ "มาสเตอร์" - ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเรโนลต์ "แพททริก เปลาตา" อวดโฉมรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "มาสเตอร์" โดยบริษัทระบุว่ารถมาสเตอร์เจนเนอเรชั่นที่ 3 จะผลิตในโรงงานที่บาติลลี ฝรั่งเศส

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267187620&catid=01

“ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส” โฉมใหม่ตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก”

“ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส” โฉมใหม่ตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก”
มิตซูบิชิ ปลื้ม ไวท์ เพิร์ล คอลเลคชั่น ฮิต เร่งส่ง ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส สีขาว ลงตลาดอีกรุ่น หวังชิงแชร์ยอดขายก่อนเข้างานมอเตอร์โชว์
มร. โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากการจัดกิจกรรม “ไวท์เพิร์ล คอลเลคชั่น แคมเปญ” ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยมียอดจองมาแล้วกว่า 1,700 คัน ในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ล่าสุดบริษัทฯ จึงส่ง ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก” ลงสร้างสีสันให้ตลาดกระบะอีกรุ่น โดยจะเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาของไทรทัน เมกะแค็บ พลัส เพิ่มภาพลักษณ์ที่หรูหรายิ่งขึ้นด้วยสีพิเศษ “ขาวมุก” และการตกแต่งภายในใหม่เพิ่มอารมณ์สปอร์ตและลงตัวยิ่งกว่า ซึ่งจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

รถกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2548 ในฐานะผู้สร้าง“อารยธรรมใหม่” ให้กับตลาดรถกระบะจากดีไซน์ที่ทันสมัยทั้งภายนอกและภายใน พร้อมห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายอย่างรถเก๋ง ระบบช่วงล่างที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ รวมทั้งระบบความปลอดภัยครบครัน สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของลูกค้าที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการใช้งานเพื่อการพาณิชย์เพียงอย่างเดียวหากแต่ยังใช้งานในเมืองได้อย่างลงตัว โดยมียอดขายรวมในประเทศนับจากเปิดตัวจนถึงธันวาคม 2552 อยู่ที่ 88,502 คัน

สำหรับมิตซูบิชิ ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก” เป็นการนำรุ่น GLS ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ชื่นชอบความแตกต่างไม่เหมือนใคร ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ 2.5 Di-D ไฮเปอร์คอมมอนเรล DOHC 16 วาล์วเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดที่ 140 แรงม้า ให้การควบคุมบังคับทิศทางขณะเลี้ยวหรือเข้าโค้งมีความแม่นยำด้วยพวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียนพร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรง ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกสองชั้น คอยส์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน โช้คอัพไขว้ ช่วยซับแรงสั่นสะเทือนได้มากขึ้น อีกทั้งยังให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ รองรับการใช้งานทั้งในแบบออนโรดและออฟโรด นอกจากนี้ยังให้รัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 5.9 เมตร จึงทำให้มิตซูบิชิ ไทรทัน มีความคล่องตัวในทุกการขับขี่

ด้านความปลอดภัย มิตซูบิชิ ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นตกแต่งพิเศษ มาพร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็นตัวถังนิรภัย RISE Body ที่ช่วยลดการเสียหายของห้องโดยสารเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้าและหลัง รวมทั้งลดการยุบตัวของประตูเมื่อเกิดการชนจากด้านข้างด้วยการเสริมคานเหล็กนิรภัยในประตูรถทุกบาน ในขณะเดียวกันก็ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการหยุดรถด้วยระบบเบรก ABS แบบ 4 แชนแนล 4 เซ็นเซอร์ ป้องกันล้อล็อกเมื่อเหยียบเบรกกะทันหันโดยทำงานควบคู่กับระบบการกระจายแรงเบรกแบบ EBD นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัยด้านคนขับและเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ พร้อมกระจกไฟฟ้าแบบอัตโนมัติด้านคนขับและระบบ Safety รวมทั้งระบบกุญแจป้องกันการโจรกรรม อิมโมบิไลเซอร์ เพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน

สำหรับ มิตซูบิชิ ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นพิเศษ “สีขาวมุก” มีราคาขาย 679,000 บาท โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน เท่านั้น

ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ฮอนด้าขยับแนวรุกไฮบริดรุ่นใหญ่


ฮอนด้าขยับแนวรุกไฮบริดรุ่นใหญ่
ต่อจากการรุกตลาดรถยนต์ไฮบริดด้วยทางเลือกอย่างรถสปอร์ตรุ่น CR-Z ที่เปิดตัวไปแล้วในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 และรุ่นที่ยังไม่เปิดตัวอย่างแจ๊ซ/ฟิต ไฮบริด ในตอนนี้ ฮอนด้าเผยว่ากำลังซุ่มพัฒนาระบบไฮบริดรุ่นใหม่เพื่อใช้ในรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ โดยคาดว่าจะสามารถนำออกขายได้อย่างแน่นอนไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้

รอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำกล่าวของโทโมฮิโก คาวานาเบะ COO ของฮอนด้า อาร์แอนด์ดี ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกล่าวว่า ในตอนนี้ระบบไฮบริดที่กำลังพัฒนาอยู่นี้เดินหน้าไปเร็วมาก และก้าวพ้นจากช่วงของการวิจัยเพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างเต็มตัวแล้ว แต่ทางคาวานาเบะปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงรายละเอียดของระบบไฮบริดใหม่รุ่นนี้ ซึ่งก็รวมถึงการนำไปใช้กับรถยนต์รุ่นไหน แต่ระบุว่าระบบนี้จะเสร็จสิ้นการพัฒนาและนำมาวางในรถยนต์สำหรับการใช้งานจริงได้ไม่เกิน 3 ปี

ก่อนหน้านี้รถยนต์รุ่นใหญ่สุดของฮอนด้าที่มีเวอร์ชันไฮบริดทำตลาดก็คือ แอคคอร์ด รุ่นที่แล้ว หรือเจนเนอเรชันที่ 7 และมีทำตลาดช่วงสั้นๆ ในระหว่างปี 2005-2007 อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารถยนต์ไฮบริดใหม่รุ่นนี้น่าจะเป็น Dedicated Hybrid Car หรือมีขายเฉพาะเครื่องยนต์ไฮบริดเหมือนกับ CR-Z แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า ฮอนด้าต้องการพัฒนาระบบไฮบริดรุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อใช้กับเอสยูวีและมินิแวนที่ขายอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างไพล็อต และโอดิสซีส์

นอกจากนั้น คาวานาเบะยังเปิดเผยอีกว่า ฮอนด้ากำลังพัฒนาเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลรุ่นใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กสำหรับใช้ในตลาดอย่างยุโรปและอินเดียอีกด้วย โดยในปัจจุบันฮอนด้ามีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลเพียงแบบเดียวคือ รหัส i-CTDi 4 สูบ 2,200 ซีซีสำหรับวางในฮอนด้า ซีอาร์-วี และแอคคอร์ดที่ขายอยู่ในยุโรป โดยคาดว่าเครื่องยนต์บล็อกเล็กใหม่นี้น่าจะถูกนำมาวางในรถยนต์ระดับซับคอมแพ็กต์อย่างรุ่นแจ๊ซ/ฟิต

ขณะที่ทางด้าน CR-Z เองก็มีข่าวว่ากำลังจะพลิกแนวคิดของเวอร์ชัน Type R ด้วยการเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่มากับเวอร์ชันตัวแรงนี้ โดยข่าวระบุว่า ฮอนด้าจะปรับปรุงระบบไฮบริดทั้งในส่วนของเครื่องยนต์เบนซิน 1,500 ซีซีให้มีกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 20 แรงม้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้กำลังขับเคลื่อนของระบบโดยรวมขยับจาก 122 แรงม้าในรุ่นปกติมาเป็น 160-170 แรงม้า แต่ก็ไม่ไดปิดเผยว่าจะมีขายเป็นเวอร์ชัน JDM เฉพาะในญี่ปุ่น หรือขายในตลาดทั่วโลก

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000025511

มิตซูบิชิสั่งลุย“ไทรทัน ขาวมุก”

มิตซูบิชิสั่งลุย“ไทรทัน ขาวมุก”
ข่าวในประเทศ - มิตซูบิชิ ปลื้ม ไวท์ เพิร์ล คอลเลคชั่น เร่งส่ง ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส สีขาว ลงตลาดอีกรุ่น หวังชิงยอดขายก่อนเข้างานมอเตอร์โชว์ สนนราคา 6.79 แสนบาท ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 200 คัน

โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากการจัดกิจกรรม “ไวท์เพิร์ล คอลเลคชั่น แคมเปญ” ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยมียอดจองมาแล้วกว่า 1,700 คัน ในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ล่าสุดบริษัทฯ จึงส่ง ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก” ลงสร้างสีสันให้ตลาดกระบะอีกรุ่น โดยจะเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาของไทรทัน เมกะแค็บ พลัส เพิ่มภาพลักษณ์ที่หรูหรายิ่งขึ้นด้วยสีพิเศษ “ขาวมุก” และการตกแต่งภายในใหม่เพิ่มอารมณ์สปอร์ตและลงตัวยิ่งกว่า ซึ่งจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มิตซูบิชิ ไทรทัน เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2548 ในฐานะผู้สร้าง“อารยธรรมใหม่” ให้กับตลาดรถกระบะจากดีไซน์ที่ทันสมัยทั้งภายนอกและภายใน พร้อมห้องโดยสารกว้างขวาง ระบบช่วงล่างที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ รวมทั้งระบบความปลอดภัยครบครัน สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของลูกค้าที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการใช้งานเพื่อการพาณิชย์เพียงอย่างเดียวหากแต่ยังใช้งานในเมืองได้อย่างลงตัว โดยมียอดขายรวมในประเทศนับจากเปิดตัวจนถึงธันวาคม 2552 อยู่ที่ 88,502 คัน

สำหรับไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นตกแต่งพิเศษ “สีขาวมุก” เป็นการนำรุ่น GLS ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ชื่นชอบความแตกต่างไม่เหมือนใคร โดยการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูปราดเปรียวและโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยตัวถังภายนอกสีขาวมุก พร้อมไฟหน้าสไตล์ใหม่เพิ่มประกายสีเงิน แบบ Chrome bezel รับกับกระจังหน้าโครเมียมที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เพิ่มความลงตัวยิ่งขึ้นด้วยกรอบไฟตัดหมอกหน้าและโป่งล้อด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมติดตั้งคิ้วข้างตัวรถสไตล์สปอร์ต

ภายในได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบครัน ลงตัวด้วยการตกแต่งสไตล์สีเงิน ”ซิลเวอร์ เดคอร์เรชั่น” และเพิ่มความสปอร์ตในดีไซน์ยิ่งขึ้นด้วยเบาะหนังทรงสปอร์ต พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง เครื่องเล่นวิทยุ DVD VCD CD MP3 แสดงภาพข้อมูลผ่านจอภาพ Built-in แบบ Wide Screen ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบสัมผัส IMT- Intelligent Magic Touch และรีโมทคอนโทรล

ด้านขุมพลังจากเครื่องยนต์ 2.5 Di-D ไฮเปอร์คอมมอนเรล DOHC 16 วาล์วเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดที่ 140 แรงม้า พวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียนพร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรง รัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 5.9 เมตร
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกสองชั้น คอยส์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน โช้คอัพไขว้

...ไทรทัน เมกะแค็บ พลัส รุ่นพิเศษ “สีขาวมุก” มีราคาขาย 679,000 บาท โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน เท่านั้น


ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000027881

โฆษณาสุดแจ่ม “คัมรี่ ไฮบริด” ออสเตรเลีย


โฆษณาสุดแจ่ม “คัมรี่ ไฮบริด” ออสเตรเลีย
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำคลิปโฆษณาสุดแจ่มของ “คัมรี่ ไฮบริด” ที่ทำตลาดในประเทศออสเตรเลียมาฝาก หลังจากโตโยต้าเพิ่งเปิดตัวพร้อมขายรถยนต์ลูกผสมรุ่นดังไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยเนื้อหาของโฆษณาความยาว 1 นาที สื่อสารผ่านหนุ่มออฟฟิสอารมณ์เซ็ง กำลังหน่ายกับหน้าที่การงาน แต่พลันที่เขาได้นั่งหลังพวงมาลัย คัมรี่ ไฮบริด สีสันและความตื่นตาตื่นใจต่างๆก็ตามมา ดังกับวลี “Every Drive Everyday Amazing”

ทั้งนี้ “คัมรี่ ไฮบริด” ที่ทำตลาดในออสเตรเลีย วางเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร VVT-i ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร โดยผลิตที่โรงงานในเมือง Altona รัฐวิคตอเรีย ตั้งเป้าการผลิตไว้ 10,000 คันต่อปี

Hybrid Camry 'Everyday Amazing'

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000027972

Audi RS 5 : รหัสร้อน แรงเกินใคร


Audi RS 5 : รหัสร้อน แรงเกินใคร
แฟนๆ ของออดี้คงทราบดีว่า นอกจากตัวแรงในรหัส S แล้ว ทางค่าย 4 ห่วงยังมีเวอร์ชันที่ถือว่าแรงสุดๆ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง quattro GmbH ตามออกมาขายด้วยโดยใช้รหัสว่า RS ซึ่งในตอนนี้ มีการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ออกมาแล้ว โดยอิงพื้นฐานของรุ่น A5 พร้อมความเร้าใจแบบไร้เทอร์โบของเครื่องยนต์วี8 4,200 ซีซีที่ยกมาจากสปอร์ตรุ่นใหญ่ R8

ชื่อของ RS อยู่คู่กับตลาดความแรงมานานกว่า 15 ปีแล้ว นับจากการเปิดตัวรุ่นแรกคือ RS2 โดยชื่อ RS เป็นตัวย่อในภาษาเยอรมันที่มาจากคำว่า Renn Sport หรือ Racing Sport ในภาษาอังกฤษ และแรกเริ่มเดิมที RS2 ที่เปิดตัวในปลายปี 1994 เป็นโปรเจ็กต์ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างออดี้ กับปอร์เช่ เพื่อนำเสนอความเร้าใจที่เหนือกว่าจากรหัส S ซึ่งเป็นตัวแรงจากโรงงานของออดี้
รถยนต์ที่แปะป้าย RS จะถูกผลิตและขายแยกออกมาต่างหากโดยทาง quattro GmbH โดยในช่วงแรกของการทำตลาดจะเน้นไปที่รถยนต์ตัวถังแบบ Avant (ซึ่ง RS2 แม้จะใช้พื้นฐานของ S2 ที่ดูแล้วเหมือนกับคูเป้ แต่ออดี้กลับเรียกว่า Avant ซึ่งหมายถึงสเตชันแวกอน) เช่นเดียวกับ RS4 รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1999 จนกระทั่งแนวคิดนี้มาเปลี่ยนเอาเมื่อมีการเปิดตัว RS6 ในปี 2002 ทั้งตัวถังซีดานและแวกอนออกทำตลาด

สำหรับ RS5 ที่มีคิวเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 ต้นเดือนมีนาคมนี้ มาพร้อมกับความร้อนแรงและเร้าใจตามแบบฉบับของ RS และทำตลาดในช่วงแรกแค่ตัวถังคูเป้ที่มีการเพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน โดยด้านท้ายเป็นสปอยเลอร์หลังแบบยกตัวเองอัตโนมัติเมื่อความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง และจะพับเก็บลงมาเมื่อความเร็วต่ำกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนล้อแม็กเป็นขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 265/36R19 เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และขนาด 20 นิ้วกับยาง 275/30R20 เป็นออพชั่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โดยความสูงของตัวรถถูกลดลงจากรุ่น A5 20 มิลลิเมตร พร้อมอัพเกรดระบบเบรกเป็นดิสก์ขนาด 365 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 มิลลิเมตรสำหรับด้านหลัง

เครื่องยนต์ที่ประจำการอยู่ใต้ฝากระโปรงเป็นบล็อกวี8 4,200 ซีซี พร้อมระบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ FSI ซึ่งประจำการอยู่ในรถสปอร์ตรุ่น R8 แต่มีการอัพเกรดกำลังจาก 420 แรงม้าขยับขึ้นมาอยู่ที่ 450 แรงม้า ที่ รอบสูงเร้าใจในสไตล์รถแข่งถึง 8,250 รอบต่อนาที และมีแรงบิดอยู่ที่ 43.8 กก.-ม. ที่ 4,000-6,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro และส่งกำลังด้วยเกียร์ S-Tronic แบบ 7 จังหวะ
เมื่อต้องแบกตัวถังที่มีน้ำหนัก 1,725 กิโลกรัม เครื่องยนต์รอบจัดบล็อกนี้สามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.6 วินาที และความเร็วปลายถูกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามที่กฎหมายระบุ แต่ถ้าลูกค้าเท้าโหดท่านใดต้องการให้ปลดล็อก ออดี้ก็พร้อมบริการ ซึ่งจะทำให้ RS5 ทะยานด้วยความเร็วสูงสุดในระดับ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ในส่วนของระบบ Quattro มีการเปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ด้วย Crown Gear ตัวกลางแบบใหม่ มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบากว่าเดิม ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกระจายกำลังของเครื่องยนต์สู่เพลาล้อหน้าและหลังได้อย่างสมดุลและฉับไวขึ้น โดยในการขับปกติกำลังจะถูกถ่ายทอดในลักษณะ 40:60% สำหรับล้อหน้าและหลัง แต่สามารถแปรผันการถ่ายทอดกำลังได้ตามความเหมาะสม ซึ่งล้อหน้าสามารถรับกำลังได้สูงสุดถึง 70% และด้านหลังรับได้สูงสุด 85%

ยังไม่ต้องรีบร้อน เพราะหลังเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์แล้ว กว่าที่ RS5 จะพร้อมลุยตลาดก็ต้องรอจนถึงปลายปี ตอนนี้ใครที่สนใจเก็บเงินรอไปก่อน เพราะค่าตัวในเยอรมนีตั้งเอาไว้ที่ 77,000 ยูโร หรือ 3.85 ล้านบาท


ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000026063

Volvo C70 Convertible สปอร์ทเปิดประทุนแต่ง โฉบเฉี่ยวทะลุเพดานโดย Heico Sportiv


Volvo C70 Convertible สปอร์ทเปิดประทุนแต่ง โฉบเฉี่ยวทะลุเพดานโดย Heico Sportiv
Volvo C70 รถสปอร์ทเปิดประทุนโฉมใหม่ล่าสุดได้ถูกสำนักแต่ง Heico Sportiv นำมาขัดสีฉวีวรรณที่บริษัทฯอ้างว่าไม่ใช่แค่การจับยัดของแต่งเข้าไปเท่านั้น แต่บริษัทฯได้ใส่บุคลิกพิเศษที่เป็นลักษณะเฉพาะของรถแต่งรุ่นนี้เข้าไปด้วย (ส่วนลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงบุคลิกที่ว่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) โดย C70 คันนี้ก็มีกำหนดการไปอวดโฉมในงาน Geneva Motor Show เช่นเดียวกับรถรุ่นใหม่ๆที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน

ชิ้นส่วนแต่งต่างๆที่ Heico ได้เพิ่มเข้าไปได้แก่ พลาสติกโพลียูรีเธนน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นสำหรับสปอยเลอร์หน้า Diffuser หลัง ระบบไอเสียสเตนเลสพร้อมปลายท่อไอเสียโครเมี่ยมรูปวงกลม 4 ท่อ ในขณะที่ระบบกันสะเทือนใหม่มีการโหลดรถให้เตี้ยลงไปอีก 30 มิลลิเมตร ส่วนล้ออัลลอยใช้ขนาด 9×20 นิ้ว
ภายในของ Volvo C70 ได้รับการตกแต่งโดยบริษัททางด้านเฟอร์นิเจอร์ที่ชื่อ Thonet ในส่วนของคันเกียร์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้ ส่วนในเรื่องของตัวเลขทางด้านสมรรถนะนั้น บริษัทฯไม่ยอมเปิดเผยแต่อย่างใด เพียงแต่ Heico เผยว่ามีการปรับแต่ง ECU สำหรับรุ่น 2.0D และ D5 ครับ
new volvo C-70 convertible, tuned by heico sportiv


ที่มา: Heico Sportiv/www.autospinn.com

Volkswagen Golf V R32 แฮทช์หรูดูดีราศีจับ หล่อแรงกว่าเดิมโดย Senner Tuning


Volkswagen Golf V R32 แฮทช์หรูดูดีราศีจับ หล่อแรงกว่าเดิมโดย Senner Tuning
Senner Tuning ได้ออกชุดแต่ง Volkswagen Golf V R32 ที่ช่วยเพิ่มกำลังให้กับแฮทช์แบ็คหรูรุ่นนี้ถึง 24 แรงม้า ทำให้กำลังรวมทั้งสิ้นเป็น 270 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 339 นิวตันเมตร กำลังที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นผลมาจากการใช้ BMC Carbon Airbox ระบบไอเสียสเตนเลสสไตล์สปอร์ต และการปรับจูน ECU เล็กน้อย ชุดแต่งนี้ยังรวมถึงระบบกันสะเทือนสปอร์ท B16 PSS10 ที่สามารถปรับอัตราการบีบอัดและซึมซับแรงกระแทกได้

นอกจากนั้นแล้ว Senner ยังมีชุดล้ออัลลอยใหม่ขนาด 8.5×20 นิ้ว สำหรับล้อหน้าและขนาด 9.0×20 นิ้วสำหรับล้อหลัง หุ้มด้วยยาง Dunlop Sport Maxx ขนาด 230/30 R20 พร้อมดิสก์เบรคเจาะรูขวางระบายอากาศและผ้าเบรคประสิทธิภาพสูง
สำหรับการแต่งโฉมตัวรถ Senner มีชุดแต่งแอโรคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้กับกระจังหน้า สปอยเลอร์หลังคา Diffuser หลัง และครอบกระจกข้าง นอกจากนั้น R32 ยังได้รับการติดตั้งไฟวิ่ง LED แบบ Daytime ที่ช่องไอดีบริเวณกันชนหน้าอีกด้วย


ที่มา: Senner Tuning/www.autospinn.com

Porsche Cayenne ซุปเปอร์เอสยูวี เจนเนอเรชั่นใหม่ ประหยัดน้ำมันมากกว่า 20% เตรียมเปิดตัวที่เจนีวา


Porsche Cayenne ซุปเปอร์เอสยูวี เจนเนอเรชั่นใหม่ ประหยัดน้ำมันมากกว่า 20% เตรียมเปิดตัวที่เจนีวา
ดาราในงาน Geneva Motor Show อีกรุ่นหนึ่งก็คือ Porsche Cayenne รถเอสยูวีระดับพรีเมี่ยมเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดที่จะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกในงานมอเตอร์โชว์ดังกล่าว ที่จะเริ่มมีจำหน่ายในยุโรปในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ซึ่งนอกจากการเปิดตัวที่สวิตเซอร์แลนด์แล้ว ซุปเปอร์เอสยูวีรุ่นใหม่นี้ยังเตรียมเปิดตัวในงาน New York Auto Show ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ด้วยเช่นกัน ราคาที่จำหน่าย Cayenne ในยุโรปจะเริ่มที่ 46,400 ยูโร รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลตั้งราคาไว้ที่ 49,900 ยูโร ส่วนรุ่นย่อย Cayenne S, S Hybrid และ Turbo มีราคาขายอยู่ที่ 60,900, 65,900 และ 96,900 ยูโรตามลำดับ ซึ่งราคาเหล่านี้ยังไม่รวมภาษีใดๆ

Porsche จะใช้เครื่องยนต์ V6 3.6 ลิตร ที่ให้กำลัง 296 แรงม้าสำหรับรุ่น entry level ส่วนรุ่น S จะใช้เครื่องยนต์ V8 4.8 ลิตร ให้กำลัง 395 แรงม้า ในขณะที่รุ่น Turbo จะใช้เครื่องยนต์ชนิดเดียวกันแต่มีการเพิ่มชุด Twin-Turbo เข้าไป โดยให้กำลังมากถึง 493 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์ V8 สำหรับทั้งสองรุ่นย่อยประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 23% ในขณะที่เครื่องยนต์ V6 ไม่น้อยหน้า ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม 20%

สำหรับรุ่น S Hybrid ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์ V6 ซุปเปอร์ชาร์จ 3.0 ลิตร 328 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 34 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวม 375 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 580 นิวตันเมตร ที่ 1,000 รอบ/นาที โดยในระดับความเร็วรถต่ำกว่า 64 กิโลเมตร/ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นระบบขับเคลื่อน ทาง Porsche ไม่เปิดเผยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศอยู่ที่ 193 กรัม/กิโลเมตร

Porsche Cayenne เจนเนอเรชั่นใหม่นี้ใช้ระบบส่งกำลัง 8 จังหวะ Tiptronic S มีระบบ Start-Stop และรถรุ่นนี้ยังมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้านี้มาก ดังเห็นได้จาก Cayenne S รุ่นใหม่มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบันถึง 181 กิโลกรัมครับ

Porsche Cayenne ซุปเปอร์เอสยูวี เจนเนอเรชั่นใหม่ ประหยัดน้ำมันมากกว่า 20% เตรียมเปิดตัวที่เจนีวา

To the point. The new Cayenne.

ที่มา: Porsche /www.autospinn.com

25 กุมภาพันธ์ 2553

โฟล์คตั้งเป้าปีเสือโกย1พันคัน

โฟล์คตั้งเป้าปีเสือโกย1พันคัน
โฟล์คบุกแหลกตั้งเป้าปีเสือ 1 พันคัน เตรียมเปิดตัวคาราเวลโฉมใหม่กระตุ้นยอดขายในงานมอเตอร์โชว์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 เทอร์โบคู่ เกียร์ DSG แรงจัดแต่ประหยัดกว่าเดิม 15 % ผุดกิจกรรม"แฮปปี้ บีทเทิล เดย์"ให้ลูกค้าเรพรถเต่าลายดอกไม้เปลี่ยนบุคลิกใหม่นายรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยยานยนตร์อินเตอร์เซลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์โฟล์คสวาเกนอย่างเป็นทางการ เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า หลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างใหม่และกลับมาทำตลาดรถยนต์โฟล์คสวาเกนอีกครั้งในช่วงต้นปี 2552 พร้อมเปิดตัวรถใหม่พร้อมกันถึง 5 รุ่น ซึ่งนับได้ว่าได้รับการตอบรับอย่างดีมาก ทำให้ในปี 2552 มียอดขายรวม 500 คัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็น 1,000 คัน เนื่องจากจะมีการเปิดตัว โฟล์ค สวาเกน คาราเวล รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ขนาด 11 ที่นั่ง รุ่นใหม่ล่าสุดมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ระหว่าง 26 มีนาคมจนถึง 6 เมษายน 2553 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยคาดว่า จะได้รับความสนใจอย่างมาก โดยน่าจะมีราคาใกล้เคียงกับคาราเวล รุ่นเก่า ที่มีราคา 3.29 ล้านบาท
โฟล์ค คาราเวล ใหม่ ใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ดีเซล 2.0 TDi เทอร์โบคู่ ขนาดเล็กลงกว่าเดิม แต่ให้กำลังมากถึง 180-190 แรงม้า แรงมากกว่า เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ตัวเดิม แรงบิดสูงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมถึง 15 % เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ DSG (dual clutch gearbox) เทคโนโลยีเกียร์ รุ่นล่าสุด ใช้คลัตช์คู่แบบแห้งที่มีความทนทานมาก
"เป้าการขาย 1,000 คันแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 500 คันและโฟล์ค คาราเวล อีก 500 คัน ที่ผ่านมาโฟล์ค คาราเวล โฉมใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปี 2552 โดยประกอบที่โรงงานของโฟล์คในโปแลนด์ แต่เป็นรุ่นพวงมาลัยซ้าย และใช้เครื่องยนต์ แบบยูโร 5 ส่วนรุ่นที่บริษัทนำเข้ามาจำหน่ายเป็นรุ่นพวงมาลัยขวา ยูโร 3 ที่เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งไทยยานยนตร์ได้รับมอบมาจำหน่ายก่อนเป็นประเทศแรกๆ ทำให้เกรย์มาร์เก็ต ไม่กล้านำรถรุ่นนี้มาจำหน่ายก่อน เพราะจะเป็นรถยูโร 5 ที่ไม่เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันของไทย ลูกค้าจึงควรระวังในการซื้อจากผู้นำเข้าอิสระ เพราะแม้รถโฟล์คทุกคัน จะมีเวิลด์ไวด์ การันตี แต่ไม่ครอบคลุมกรณีใช้น้ำมันผิดประเภท"
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยยานยนตร์อินเตอร์เซลส์ จำกัด กล่าวต่อไปว่า นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่แล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างไลฟ์สไตล์แบบโฟล์คสวาเกนโดยเน้นการเปลี่ยนลุกให้กับรถบีทเทิล ด้วยงาน"แฮปปี้ บีทเทิล ฟูล เดย์" ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 26-28 กุมภาพันธ์ 253 ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ พบกับรถโฟล์ค สวาเกน นิว บีทเทิล ที่มีการเรพในลวดลายดอกไม้ เสือดาว หรือลายอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนบุคลิกรถให้แตกต่างกัน ซึ่งรถแบบอื่นทำไม่ได้ แต่นิว บีทเทิล สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นรถที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง พร้อมกันนี้ บริษัทได้จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ซื้อ โฟล์ค นิว บีทเทิลในงานนี้ รับสิทธิ์เรพรถ 3 ครั้ง ภายใน 1 ปี มูลค่า 50,000 บาท โดยจะมีแบบต่างๆให้เลือกในคอมพิวเตอร์กว่า 30 แบบ โดยคาดว่า จะทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30 คัน
"การทำตลาดในช่วงเกือบ 1ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับการสนับสนุนด้านราคาจากโฟล์ค สวาเกน เอจี เป็นอย่างมาก เนื่องจากโฟล์คต้องการสร้างแบรนด์กลับคืนสู่ไทยให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถสปอร์ตชั้นดี สมรรถนะสูง อย่างโฟล์ค ซีร็อคโค ที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก มาจำหน่ายในราคาเพียง 2.46-2.68 ล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกัน สิ่งที่บริษัทจะต้องดำเนินการต่อไปคือ สร้างความมั่นใจในเรื่องของการบำรุงรักษาและการรับประกันคุณภาพ เพื่อที่ลูกค้าเข้ารับใช้บริการแล้วไม่มีปัญหา ซึ่งปกติ รถโฟล์คทุกคันจะมีการรับประกันนาน 2 ปี สำหรับลูกค้าในไทย บริษัทการรับประกันเป็น 3 ปีไม่จำกัดระยะยาว พร้อมแถมแพ็กเกจบำรุงรักษาฟรีนาน 3 ปี เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับเจ้าของรถโฟล์คสวาเกนทุกคัน พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้ขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศในเขตกรุงเทพฯ 8 แห่ง และต่างจังหวัด 8 แห่ง รวม 16 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับยอดขายรถได้ไม่น้อยกว่าปีละ 4,000-5,000 คัน "

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,508 25-27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สองล้อออโต้เดือด ซูซูกิ ส่งเจลาโต ชิงส่วนแบ่ง"ฟีโน่ "

สองล้อออโต้เดือด ซูซูกิ ส่งเจลาโต ชิงส่วนแบ่ง"ฟีโน่ "
ตลาดรถจักรยานยนต์แข่งดุ ชิงพื้นที่รถเอที ซูซูกิ ส่งเจลาโตไล่เบียดผู้นำตลาด ยามาฮ่า ฟีโน่ด้านฮอนด้าเตรียมส่ง สกู๊ปปี้เจาะกลุ่มวัยรุ่น 14 ก.ยรายงานข่าวจากบริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เปิดตัวรถเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ เจลาโต ซึ่งซูซูกิมั่นใจว่าจะสามารถเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นด้วยแนวคิดการออกแบบที่แตกต่างซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากไอศกรีม ทั้งนี้การขยายตัวของตลาดรถเกียร์อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมของตลาดจักรยานยนต์จะหดตัวลง ทำให้ค่ายรถต่างๆ พยายามที่จะเข้ามาเจาะตลาดซึ่งปัจจุบันมียามาฮ่า ฟีโน่ ครองตำแหน่งผู้นำตลาดอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าก่อนหน้านี้ฮอนด้าจะพยายามเจาะตลาดด้วย คลิก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

สำหรับเจลาโต ใช้เครื่องยนต์ หัวฉีด 125 ซีซี 4 จังหวะ สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ อี 20 และผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 6 หรือเทียบเท่ามาตรฐาน ยูโร 3 มีอุปกรณ์มาตรฐานสำคัญเช่น เซ็นเซอร์ตัดสัญญาณสั่งจ่ายน้ำมันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากรถเอียงกว่า 65 องศาเครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน ไฟสัญญาณเตือน FI เพื่อให้ทราบถึงความแรงคลื่นไฟฟ้าของแบตเตอรี่ ระบบกุญแจนิรภัย 2 ชั้นแบบแม่เหล็ก โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคมีจุดยึดที่แกนกลาง และโช้คอัพหลังเดี่ยวแบบวาล์ว 2 ชุด วงล้อขนาด 14 นิ้ว

ในด้านกิจกรรมการตลาด ซูซูกิ เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด ณิชคุณ ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำให้มั่นใจว่าจะสร้างการยอมรับได้ง่ายขึ้น ในด้านราคา ซูซูกิ ยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข่าวว่าใกล้เคียงกับผู้นำตลาดรถเกียร์อัตโนมัติอย่าง ยามาฮ่า ฟีโน่ โดยจะอยู่ในระดับ 4.32 หมื่นบาท และ 4.42 หมื่นบาทในรุ่นพิเศษ

นอกจากซูซูกิแล้ว ในวันจันทร์ที่ 14 ก.ย. 2552 ค่ายผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์อย่างฮอนด้า ก็เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ คือ สกู๊ปปี้ ซึ่งเป็นรถที่มีรูปทรงย้อนยุคเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น สำหรับในเมืองไทย มีผู้นำเข้ามาทำตลาดกับเครื่องยนต์ขนาด 50 ซีซี ระดับราคาประมาณ 3.2-3.5 หมื่นบาท อย่างไรก็ตามคาดว่ารุ่นที่ฮอนด้าจะเปิดตัวนั้นจะใช้เครื่องยนต์ 110 ซีซี เพื่อแข่งกับฟีโน่โดยเฉพาะ

ทีม่าโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ฮุนได ปรับแผนรุกดัน3รุ่นใหม่บุกตลาด

ฮุนได ปรับแผนรุกดัน3รุ่นใหม่บุกตลาด
ฮุนได มั่นใจปีนี้ยอดขายโต 77% เหตุเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดี พร้อมเปิดตัวรถใหม่ 3 รุ่น ทั้งเอ็มพีวีหรู เอสยูวี และซิตี้ คาร์นายโยชิซึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ฮุนไดมั่นใจว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในการทำตลาดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 2,500-3,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 77% สำหรับสินค้าหลักยังคงเป็นรถเอ็มพีวี เอช-1 ที่คาดว่าจะมียอดขายรวม 2,000 คัน

"การที่เราตั้งเป้าการเติบโตค่อนข้างสูง เพราะว่าปีที่แล้ว เราประสบความสำเร็จมาก และได้ศึกษาตลาด พบว่ายังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ อีกทั้งฮุนไดก็ยังเชื่อมั่นถึงทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มีสัญญาณการปรับตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดฮุนไดอีกทางหนึ่งด้วย"

นายคุราตะ กล่าวว่า ฮุนไดมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เสริมตลาด 3 รุ่นด้วยกัน เริ่มจากในวันที่ 11 มี.ค. จะแนะนำ ทูซอน (TUCSON) รถเอสยูวี เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 166 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

ส่วนอีก 2 รุ่นจะเปิดตัวช่วงปลายปี คือ แกรนด์ สตาเร็กซ์ (Grand Starex) รถเอ็มพีวีรุ่นพิเศษพัฒนาจาก เอช 1 นำเข้าจากอินโดนีเซีย โดยใช้สิทธิอาฟตา

รุ่นที่ 3 คือ ไอเท็น (i10) เป็นรถซิตี้ขนาดเล็ก ในตลาดเอเซ็กเมนท์ แฮทช์แบค 5 ประตู เครื่องยนต์ DOHC 1.2 ลิตร เป้าหมายเพื่อเจาะตลาดรถประหยัดน้ำมัน และนำเข้าจากมาเลเซีย

ทั้งนี้ ปัจจุบันฮุนไดมีฐานการผลิตไอเท็นในเอเชียอยู่ที่อินเดีย ซึ่งมีความต้องการในประเทศสูง ไม่สามารถส่งออกได้ ฮุนไดจึงกำหนดให้มาเลเซียเป็นฐานผลิตป้อนภูมิภาค แต่ขณะนี้ แผนการผลิตล่าช้าออกไป ทำให้ไทยเปิดตัวได้ในช่วงปลายปี

"สำหรับเมืองไทย ฮุนไดก็มีแผนเป็นฐานผลิตเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นรุ่นใด"

ทั้งนี้ ปัจจุบันรถยนต์ฮุนไดที่จำหน่ายในไทยนั้น เอช 1 คูเป้ และซานตา เฟ นั้น นำเข้าจากเกาหลี มีเพียงรถยนต์นั่งโซนาต้า รุ่นเดียวที่ประกอบในประเทศ โดยจ้างบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นผู้ประกอบให้ แต่ปัจจุบัน โซนาต้าได้ชะลอการผลิตตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทแม่ได้แนะนำโมเดลใหม่ ส่วนเมืองไทยจะเริ่มต้นผลิตเมื่อไร ต้องรอดูทิศทางการตลาดก่อน

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


Tags : รถยนต์ฮุนได

ไปด้วย! Honda 3R-C ต้นแบบรถสามล้อพลังงานไฟฟ้า เกาะขบวนไป Geneva Motor Show ด้วยอีกคัน


ไปด้วย! Honda 3R-C ต้นแบบรถสามล้อพลังงานไฟฟ้า เกาะขบวนไป Geneva Motor Show ด้วยอีกคัน
Honda ไม่เคยห่างหายจากการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์สวยๆให้ตื่นตาตื่นใจของคนรักที่จะเดินทางอยู่เสมอ หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ระดับพรีเมี่ยมอย่าง PCX ในเมืองไทยไปแล้ว ล่าสุดเตรียมอวดรถ 3 ล้อพลังงานไฟฟ้าโฉมไฮเทคที่ยังถือว่าอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างอยู่ 3R-C คือชื่อของรถ 3 ล้อคันที่เห็นนี้ โดย 3R-C ได้รับการออกแบบโดยทีมงานวิจัยและออกแบบของ Honda ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งรถรุ่นนี้จะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ติดตั้งไว้ใต้โครงสร้างตัวถังของรถ

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของรถรุ่นนี้ก็คือ การใช้ชิลด์บังลมเป็นหลังคาไปในตัว โดยสามารถยืดเข้าออกได้คล้ายหลังคาของรถยนต์เปิดประทุน 3R-C มีกำหนดการไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อร่วมงาน Geneva Motor Show เช่นกัน ส่วนการที่ Honda จะผลิตออกมาจำหน่ายจริงในตอนท้ายที่สุดหรือไม่ ก็ต้องรอชมกันต่อไป เพราะของเล่นอะไรแบบนี้บริษัทใหญ่ๆเขาชอบทำออกมาโชว์อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ทำออกมาขายก็มีบ่อยครั้งไป!

ที่มา: Honda/www.autospinn.com

24 กุมภาพันธ์ 2553

โตโยต้าจับคัมรี่ 2.0G แต่งสปอร์ต

โตโยต้าจับคัมรี่ 2.0G แต่งสปอร์ต

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ชื่นชอบความโดดเด่นแนะนำรถยนต์ โตโยต้า คัมรี่ 2.0G Extremo ใหม่ ตกแต่งสปอร์ต หรูหรา
คัมรี 2.0G เอ็กซ์ทรีโม (Extremo) ใหม่ ภายนอกโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งรอบคัน สเกิร์ตกันชนหน้า ด้านข้าง กันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง โคมไฟหน้า และโคมไฟท้ายแบบ Smoke Chrome ล้อแม็ก 16 นิ้ว สีเทาดำ ยางขนาด 215/60/R16 ภายในหรูหราด้วยโทนสีดำทั้งเบาะนั่ง แผงประตู คอนโซล พวงมาลัยลายไม้ และหัวเกียร์หุ้มหนัง มี 3 สีให้เลือก Silver Metallic, Black Mica และ White Pearl

ใช้เครื่องยนต์ 1AZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-i ความจุกระบอกสูบ 1,998 ซีซี แรงม้าสูงสุด 108 กิโลวัตต์ (147ps)/6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร/4,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบ อิสระดูอัลลิงค์สตรัท
ความปลอดภัยแบบป้องกัน ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) โครงสร้างนิรภัย GOA ช่วยกระจายแรงกระแทกจากการชนไปยังโครงสร้างส่วนต่างๆ ของตัวรถ เพื่อลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดกับผู้โดยสาร พวงมาลัยยุบตัวได้ช่วยลดโอกาสที่พวงมาลัยจะกระแทกกับหน้าอกผู้ขับเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้า ถุงลมเสริมความปลอดภัยคู่หน้า โครงสร้างเบาะนั่งแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) ติดตั้งที่เบาะนั่งด้านหน้า โดยพนักพิงจะโอบกระชับรองรับศีรษะและแผ่นหลังช่วงบนอย่างพอดีเมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง
ราคา 1.305 ล้านบาท (เพิ่มอีก 10,000 บาท สำหรับสี White Pearl)


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

มาสด้า MX5 โรดเตอร์ รสดั้งเดิม

มาสด้า MX5 โรดเตอร์ รสดั้งเดิม
โดย : ยุทธพงษ์ ภาษี
เศรษฐกิจโลกที่ตกสะเก็ด ทำให้บรรดาค่ายรถต่างๆ ลดกำลังการผลิตกันฮวบ รถทั้งโลกจาก 65 ล้านคัน เหลือเพียง 45-50 ล้านคัน
ถึงวันนี้บรรดาแกนนำ พี่เบิ้มใหญ่ของวงการรถยนต์โลกก็ยังไม่ฟื้นตัว ค่ายเล็กๆ ยิ่งแย่ใหญ่ไม่ต้องพูดถึง

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทุกคนก็จับตามองดูว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเมื่อไรถ้าฟื้นก็จะหันมาทำการผลิตใหม่กันอีกครั้ง แต่ทว่ามีรถยี่ห้อหนึ่งที่ในตลาดโลกคนอื่นๆ เขายังไม่เพิ่มสายการผลิตกัน แต่มาสด้ากลับเดินเครื่องหรือเดินหน้า ออกสตาร์ทผลิตรถ ก่อนใครแล้ว

มาสด้า จึงได้ชื่อว่า ไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบมากมายเท่าไรนัก เหตุผลเพราะว่าอาจจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ได้เข้าตาลูกค้า เลยยอดฉลุย โดยเฉพาะมาสด้า 2 ที่เพิ่งออกสู่ตลาดเมืองนอก ซึ่งมีเวอร์ชั่นซีดาน และ 2 ประตู คูเป้ออกมา สำหรับเมืองไทย รอที่จะเปิดตัวในระยะเวลาอันใกล้

ในขณะที่การออกมาสด้า 2 มายังไม่ทันเก่า กระจายของยังไม่ทั่วทุกตลาด มาสด้าก็ดันมาสด้า 3 รุ่นใหม่ออกมาอีก โดยนอกจากรุ่นซีดานแล้ว เวลานี้มาสด้า 3 พัฒนา ไปจนถึงเวอร์ชั่น MRS ซึ่งเป็นชุดแต่งหล่อ เพิ่มความแรงของมาสด้า และเวอร์ชั่น i-Stop ที่มีเทคโนโลยีช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น นี่ไม่รวมรถรุ่นอื่นๆ เช่น มาสด้า 6 และ CX7 ที่เปิดตัวรถปี 2010 กันออกมาแล้วครับ เรียกว่า เป็นปีของมาสด้า ที่คนอื่นๆ เงียบแต่ มาสด้า นั้นเติบโตได้อย่างน่าสนใจ
มาที่เมืองไทย ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มาสด้าเป็นค่ายรถที่สวนกระแสเศรษฐกิจ ด้วยยอดขายที่เติบโต สำหรับเก๋งคอมแพคท์ 4 เดือนนั่นรองจากโตโยต้า ที่ขายรุ่นอัลติส ฮอนด้าที่ขายรุ่น ซีวิคแล้ว ที่ 3 ของตลาดก็คือมาสด้า 3

จริงๆ มาสด้ามีรถที่เต็มไลน์ เรียกว่า หากเอารถเก๋งอื่นๆ มารวมกันแล้ว มาสด้ามีให้เลือกครบกว่าทุกยี่ห้อ เช่น โรดสเตอร์ ที่ไม่มีค่ายรถญี่ปุ่นค่ายไหนเปิดตลาดโรดสเตอร์นอกเสียจากมาสด้า โดยรุ่นที่ขายเป็นที่รู้จักดี คือ MX5 ซึ่งผมได้มีโอกาสสัมผัสรถปีอัพเดทหรือโมเดล 2008

รถรุ่นนี้คือรถที่ทำสถิติว่า เป็นโรดสเตอร์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลกเวลานี้ ขายไปแล้วกว่า 8.5 แสนคัน นับตั้งแต่ปี 1989 ซึ่ง 2.54 แสนคันนั้นเป็นยอดขายที่เกิดขึ้นในตลาดยุโรป

ต้องบอกว่า มาสด้า MX5 ทำตลาดมาหลายเจเนอเรชั่น แต่ได้ ขับทีไร “รสชาติไม่เคยเปลี่ยน”

ผมจำได้ว่า ตั้งแต่รุ่นแรกที่ขายในเมืองไทย เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ไม่มีระบบช่วยเหลือที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่พวงมาลัย คันเร่งและอารมณ์สนุก กดทีไร หลังติดเบาะทุกที กับน้ำหนักตัวรถที่ไม่มากนักสัดส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าเหมือนซูเปอร์คาร์เพียงแค่ย่อสัดส่วนลงมาเท่านั้น

โรดสเตอร์ ขนาดเล็ก 2 ที่นั่ง เปิดประทุน มันคือรถที่ซื้อมาเพื่อให้ความสุขทางใจ เพียงแค่มองดูรูปร่างหน้าตาก็ได้ ความรู้สึกที่แตกต่างจากรถทั่วไป และอย่าคิดว่ามันจะมีความสะดวกสบายแบบรถเก๋งซีดานหรูหรามีให้ ในทางกลับกันโรดสเตอร์ ให้ความรู้สึกในสิ่งที่รถหรูหราเหล่านั้นให้ไม่ได้

เช่น เราอยากได้รถที่กระชากเราให้หลังติดเบาะในทางสั้นๆ และควบคุมแม่นยำในทางโค้งที่แคบและเล็ก ต้องการรถที่ตอบสนองไว ตามสั่ง สปอร์ตไม่ธรรมดา ต้องมากกว่าอารมณ์สปอร์ต แบบนี้ เราจะพบอารมณ์แบบนี้ได้ในมาสด้า MX5

เวลาขับ มาสด้า MX5 แล้วนึกถึงความรู้สึกของการขับรถโกคาร์ท เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการออกแบบรถที่มีแนวทางของตัวเองและอย่างที่บอก เวอร์ชั่นไหนๆ ก็ไม่แตกต่างในความรู้สึกที่ขับโดยเฉพาะ การกระจายน้ำหนัก 50:50 ระหว่างหน้าและหลัง ความรู้สึก มีความเคลื่อนไหว แข็งแกร่ง กระชับไม่เหมือนใคร

เครื่องยนต์ มีให้เลือกทั้งแบบ 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่มีพลังธรรมชาติของเครื่องตอบสนองในรอบสูง ลากรอบได้ถึงเรดไลน์ ความสนุกมาตั้งแต่ 2,000 รอบขึ้นไป และแน่นอนว่า รถเล็กๆ แบบนี้ ก็กินน้ำมันเอาเรื่องเหมือนกัน หากมันส์ เสียจนลืมยกเท้า

ปัจจุบัน MX5 ไม่ได้ เป็นรถยนต์ที่ดิบๆ เหมือนเดิม เพราะว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย มีทั้งระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (DSC) และแทรคชั่นคอนโทรล (TCS) หากชอบอารมณ์โรดสเตอร์

จะขาดเสียไม่ได้ที่จะต้องมีเครื่องเสียงชั้นยอด มาสด้านั้นพัฒนาระบบเครื่องเสียงร่วมกับ BOSE ดังนั้นในมาสด้า MX5 เราจะเห็น เครื่องเสียงยี่ห้อดังนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผงหน้าปัด และมาทั้งระบบที่เรียกว่า Premium Bose® Audio System

ทั้งหมด คือ โรดเตอร์ หนึ่งเดียวในค่ายญี่ปุ่น ขับวัน ก็ได้ มันส์แบบเดิมๆ MX5 ไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ


ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/wheel/20090525/44726/มาสด้า-MX5-โรดเตอร์-รสดั้งเดิม.html

Tags : มาสด้า MX5

Isuzu D-Max X-Series ไลฟ์สไตล์ปิกอัพเพื่อคนพันธุ์เอ็กซ์


Isuzu D-Max X-Series ไลฟ์สไตล์ปิกอัพเพื่อคนพันธุ์เอ็กซ์
อีซูซุประเดิมต้นปี ด้วยการปิดผับดัง ฟังกี้ วิลว่า ย่านเอกมัย เปิดตัว"อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์" รุ่นพิเศษ (Isuzu D-Max X-Series) เอาใจคนร
ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์ ไลฟ์สไตล์ปิกอัพนี้ จะฉีกแนวจากอีซูซุทุกรุ่นที่เราเคยมีมา เนื่องจากครั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายของเรา คือ คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ คือ ไม่ใช่คนที่เรียนหรือทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีลักษณะการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย บางคนอาจจะชอบเล่นกีฬา บางคนอาจจะชอบสนุกสนานกับเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่สไตล์ของตนเอง

อีซูซุ ดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์เหมาะที่จะใช้ทั้งในเมือง หรือไปพักผ่อนทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต่างจังหวัดก็ได้ ที่สำคัญ สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย และดีไซน์ที่เท่ ทันสมัยโดยเน้นสีดำ-แดงเป็นหลักสื่อถึงบุคลิกของรถและเจ้าของได้อย่างชัดเจน จุดที่โดดเด่นที่สุด คือ การออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยสีดำ-แดง พร้อมมาตรวัดใหม่และแผงควบคุมเรืองแสงสีส้มแอมเบอร์ให้อารมณ์สปอร์ตสุด

"เอ็กซ์-ซีรีส์" ถือเป็นรุ่นพิเศษภายใต้แนวคิดไลฟ์สไตล์ปิกอัพ มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ได้แก่ รุ่น Speed รุ่น Hi-Lander 2 ประตู และ 4 ประตู แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้แก่ รุ่น Rodeo และรุ่น LS 4 ประตู

การเปลี่ยนแปลงภายใต้โครงสร้างของดีแมคซ์ รหัส I190 เดิม เครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร เครื่อง 2500 Ddi Turbo 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร แต่เพิ่มสติกเกอร์ "SPORTY-X" เป็นสัญลักษณ์ รหัสร้อนแรง

ที่เห็นเด่นชัด คือ โลโก้ ISUZU สีแดง และการตกแต่งลายคาดคู่ด้านหน้าสไตล์สปอร์ต สคูป ฝากระโปรงหน้าแต่งใหม่ให้เป็นเอกลักษณ์ ในรุ่นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo ขอบหน้าต่าง และแถบกันกระแทกด้านข้าง ใช้วัสดุโครเมียมเสริมความเงางาม เพิ่มสีเทาพิเศษรอบคันทั้งขอบล้อ (Fender) และบันไดข้าง (Side Step) (ในรุ่น LS) และชุดสเกิร์ตรอบคันขับเน้นความเท่ (ในรุ่น Speed)

ภายในตกแต่ง STYLISH-X ให้อารมณ์สปอร์ตโดยเพิ่มสีแดงที่พวงมาลัย มาตรวัด Super Vision แบบสปอร์ต พร้อมแผงควบคุมเรืองแสงสีส้ม แอมเบอร์ห้องโดยสารโทน เบาะนั่งและวัสดุบุข้างประตูขับเน้นสีแดง พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังแท้
นอกจากนี้ อีซูซุยังเสริมระบบความบันเทิงเต็มรูปแบบจาก Kenwood ชุดเครื่องเล่นดีวีดีที่คอนโซลหน้าขนาด 7 นิ้ว 2 Din ควบคุม การทำงานด้วยระบบสัมผัส เชื่อมต่อ iPod, iPhone และ BlackBerry รวมถึง Bluetooth Connection กล้องมองภาพขณะถอยหลัง (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)

นอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้ว อีซูซุเตรียมกิจกรรมการตลาดใหม่ๆ ภายใต้คอนเซปต์ "Live the X-style Life!" ไว้ด้วย อาทิเช่น งานปาร์ตี้เปิดตัวต่อสื่อมวลชนโดยการปิดผับดัง Funky Villa พร้อมการจัดไลฟ์สไตล์โชว์พิเศษจากเหล่าศิลปินดัง และนางแบบสุดฮอตพร้อมสาวสุดเซ็กซี่ จากนิตยสาร Maxim การจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์ "แชมป์ชนแชมป์" เพื่อรางวัลแห่งศักดิ์ศรี "ถ้วยพระราชทานประเภท ก." สนับสนุนโดยอีซูซุ ในวันเสาร์ที่ 20 ก.พ.นี้ ที่สนามศุภชลาศัย โดยเป็นการพบกันระหว่าง ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2009 กับทีมการท่าเรือไทย เอฟซี แชมป์เอฟเอคัพ 2009 ถือเป็นนัดสำคัญที่หาดูได้ยาก และยังมีกิจกรรม X-style อื่นๆ
สำหรับ "อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์" รุ่นพิเศษนี้ จะเริ่มออกขายในโชว์รูมอีซูซุ ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. 2553

ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


Tags : ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ • ฮิโรชิ นาคางาวะ • อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์

Chevrolet Aveo RS รถแนวคิดดีไซน์ใหม่ พร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ Ecotec จ่อเปิดตัวที่ Detroit Auto Show


Chevrolet Aveo RS รถแนวคิดดีไซน์ใหม่ พร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ Ecotec จ่อเปิดตัวที่ Detroit Auto Show
ในงาน Detroit Auto Show หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า North American International Auto Show ที่จะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 11 มกราคมนี้ Chevrolet เตรียมเปิดตัวรถแนวคิด Aveo RS ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Ford Fiesta และ Toyota Yaris ในตลาดอเมริกา ด้วยมิติความยาวที่มากกว่า กว้างกว่า และมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า Aveo รุ่นปัจจุบัน รถแนวคิด Aveo 5 ประตูใหม่รุ่นนี้ได้ใช้มีการออกแบบใหม่ในบางส่วนที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมๆ เช่น กระจังหน้าแบบ 2 ส่วน ไฟท้ายแบบกลม ฯลฯ

และเนื่องจากเป็นเวอร์ชั่น RS รถแนวคิดรุ่นนี้ก็เลยมีคุณสมบัติเด่นหลายๆอย่างที่แตกต่างไปจากรุ่นมาตรฐานเช่น ล้ออัลลอย 5 ก้าน ขอบ 19 นิ้วที่ใช้คาลิปเปอร์เบรคขนาดใหญ่ของ Boracay Blue สปอยเลอร์หลังคา กันชนหน้าใหม่ที่มีช่องอากาศขนาดใหญ่ ไฟท้ายครอบด้วยวัสดุอลูมิเนียมสีเทา diffuser หลังที่ใช้ปลายท่อไอเสียคู่โครเมี่ยมที่ติดตั้งบริเวณกึ่งกลาง ภายในมีการตกแต่งด้วยเครื่องหนังปักลายสีน้ำเงิน โดยเบาะนั่งด้านหน้าเป็นสไตล์สปอร์ท

ใต้ฝากระโปรง Aveo RS ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ Ecotec 4สูบ แถวเรียง 1.4 ลิตร 138 แรงม้า ที่จะถูกนำมาใช้กับ Chevrolet Cruze รุ่นใหม่ๆ โดยกำลังจะถูกส่งไปยังล้อหน้าผ่านกล่องเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

General Motors เผยว่า Aveo RS รุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่เมืองโอริออน รัฐมิชิแกน ในปี 2011 เป็นต้นไปครับ


ที่มา: General Motors/www.autospinn.com


Tagged as: 2010 Chevrolet Aveo RS, 2010 detroit auto show, 2011 Chevrolet Aveo RS, Aveo RS, Chevrolet, Chevrolet Aveo, Chevrolet Aveo RS, detroit auto show, อาวีโอ, เชฟโรเลต, เชฟโรเลต อาวีโอ

เผยโฉมแล้ว Chevy Aveo ใหม่ รุ่นปี 2012 ซีดานเล็กหน้าดุ เตรียมชน Fit, Versa และ Fiesta

เผยโฉมแล้ว Chevy Aveo ใหม่ รุ่นปี 2012 ซีดานเล็กหน้าดุ เตรียมชน Fit, Versa และ Fiesta
หลังจากที่ได้อวดโฉมรถแนวคิดแฮทช์แบ็ค 5 ประตู Chevy Aveo RS ไปแล้วในงาน Detroit Auto Show เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ล่าสุด General Motors ได้ปล่อยภาพเวอร์ชั่นผลิตของ Aveo Sedan ใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตามกำหนดการในการทำการตลาด Aveo ที่เห็นนี้จะเป็นโฉมรุ่นปี 2012 ซึ่งจากภาพที่มีเพียง 2 ภาพก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นภาพรวมของรถเล็กโฉมใหม่รุ่นนี้ได้แบบไม่ต้องลุ้นกับภาพชุดใหม่ โดยไฟหน้ายังคงสไตล์ “หน้านิ่วคิ้วขมวด” ของรถแนวคิด Aveo RS ไว้เช่นเดิม

รูปลักษณ์ใหม่นี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่ของการออกแบบของรถรุ่นนี้เลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วภาพภายในยังแสดงให้เห็นถึงความหรูหราและวัสดุที่ใช้ทำในสไตล์ของ Chevy Equinox แม้ว่า Aveo จะเป็นเพียงแค่รถขนาดเล็กเท่านั้น งานนี้คู่แข่งอย่าง Honda Fit, Nissan Versa และ Ford Fiesta อาจจะต้องทำงานหนักมากขึ้นเมื่อ Chevy Aveo ใหม่นี้เข้าสู่ตลาดในปี 2012


ที่มา: General Motors/www.autospinn.com

New Nissan Navara และ Pathfinder ปรับเล็ก ปี 2010 เวอร์ชั่นยุโรป พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ 3.0 ลิตร


New Nissan Navara และ Pathfinder ปรับเล็ก ปี 2010 เวอร์ชั่นยุโรป พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ 3.0 ลิตร
Nissan ได้เปิดตัวรถยนต์สำหรับตลาดยุโรป 2 รุ่นพร้อมๆกันคือ รถกระบะปิกอัพ Navara หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ Frontier สำหรับบางตลาดและรถ SUV รุ่น Pathfinder โดยทั้งสองรุ่นเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ปี 2011 และในการปรับเล็กนี้ Nissan ได้นำเอาขุมพลังใหม่มาใช้ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์ดีเซล V6 ขนาด 3.0 ลิตร แบบใหม่เอี่ยมอ่องแกะกล่องมาขาย นอกจากนั้นเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร แบบเดิมก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกก็มีการออกแบบใหม่รวมถึงโฉมภายใน แถมอุปกรณ์มาตรฐานก็มีมากขึ้นด้วย
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ Navara และ Pathfinder จะใช้เครื่องยนต์ที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Nissan และ Renault ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล V6 3.0 ลิตร Direct Injection ที่ใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆที่ทำตลาดในยุโรป เช่น Infinit EX30d, FX30d และ M30d

เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร ให้กำลัง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที และด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ระดับนี้ทำให้ Navara สามารถลากจูงสัมภาระที่มีน้ำหนักได้มากถึง 3,000 กิโลกรัม ในขณะที่ Pathfinder มีตัวเลขที่สูงกว่าคือ 3,500 กิโลกรัม

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.5 ลิตรแบบเดิมนั้น ได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังและแรงบิดเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 11% โดยกำลังเพิ่มขึ้น 19 แรงม้า รวมเป็น 190 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 47 นิวตันเมตร รวมเป็น 450 นิวตันเมตร
นอกจากตัวเลขทางด้านสมรรถนะจะดีขึ้นแล้ว Nissan ยังเผยอีกว่า การพัฒนาที่ดีขึ้นได้รวมถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศที่น้อยลงอีกด้วย โดยรุ่นเกียร์ธรรมดาจะมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 8.5 ลิตร/100 กิโลเมตร ประหยัดขึ้น 1.3 ลิตร/100 กิโลเมตร ในขณะที่อัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศลดลง 40 กรัม/กิโลเมตร เป็น 224 กรัม/กิโลเมตร

ในเรื่องของการปรับเปลี่ยนรูปโฉมที่จำเป็นต้องทำหากมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นนั้น ได้แก่ การออกแบบฝากระโปรงใหม่ กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าก็ใหม่โดยใช้ไฟแบบโปรเจคเตอร์ กันชนหน้ามีการออกแบบใหม่ที่มีขนาดยาวขึ้นถึง 80 มิลลิเมตร ในขณะที่ส่วนมุมดูมนขึ้นสำหรับรถทั้งสองรุ่น ล้ออัลลอยก็ใช้ลายใหม่เช่นกัน ส่วน Pathfinder มีกันชนหลังที่ได้รับการออกแบบใหม่
เข้ามาดูภายในจะพบว่าที่คอนโซลกลางของทั้งสองรุ่นมีการออกแบบหัวเกียร์ใหม่ การออกแบบใหม่ยังเกิดขึ้นกับแผงข้างประตู วัสดุผ้าหุ้มเบาะที่นั่ง การแต่งลายโครเมี่ยม หน้าปัด นอกจากนั้นยังมีระบบ Nissan Connect Premium พร้อมจอระบบสัมผัสความละเอียดสูงซึ่งจะมีอยู่ในบางรุ่น ส่วนอื่นๆที่น่าสนใจได้แก่ ระบบควบคุมความเสถียรของตัวรถควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ กล้องมองหลังในรุ่น Navara และอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมายสำหรับทั้งสองรุ่น

Nissan Navara และ Pathfinder ใหม่ทั้งสองรุ่นนี้จะมีการเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show โดยรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบจะเริ่มมีจำหน่ายทั่วยุโรปในเดือนเมษายนปีนี้ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร จะตามออกมาในอีก 2 เดือนหลังจากนั้นครับ

ที่มา: Nissan/www.autospinn.com