27 กุมภาพันธ์ 2554

เฟียต อาบาร์ธ 695 เฟอร์รารีน้อย

บรรดาแฟนของรถซูเปอร์คาร์ม้าลำพอง เฟอร์รารี งานนี้มีของเล่นมาให้ยลเพราะ อีตั้น อิมปอร์ท ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์อิสระ ได้นำเข้ารถยนต์หรู เฟียต อาบาร์ธ 695 ทริบิวโต้ เฟอร์รารี รถสปอร์ตขนาดเล็กที่ทีมออกแบบได้รวมนวัตกรรมการขับเคลื่อนของเฟอร์รารีกับยนตรกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟียตทำให้ได้ อบาร์ธ 695 ทริบิวโต้ ออกมาอย่างลงตัว โดยรูปลักษณ์ภายนอกออกแบบใหม่ตลอดทั้งคัน กันชนด้านหน้า ด้านหลัง สเกิร์ต ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบของเฟอร์รารี นอกจากนั้นยังโดดเด่นด้วย “สีแดง” ซึ่งเป็นแดงเดียวกันกับของเฟอร์รารีอีกด้วย

ส่วนท่อไอเสียแบบ เรคคอร์ด มอนซ่า ที่ให้เสียงกระหึ่ม เร้าใจเหมือนขับเคี่ยวอยู่ในสนามแข่ง ไฟหน้าและไฟท้าย เพิ่มความส่องสว่างถึง 3 เท่า ภายในที่ตกแต่งให้ดูขรึม แต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา ด้วยเบาะหนังสีดำ พวงมาลัยหุ้มหนังสีดำ

นอกจากนี้ยังใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ผลิตชิ้นส่วน เช่น กระจกมองข้าง ประตู เบาะนั่งทำให้น้ำหนักเบากว่าปกติถึง 10 กก. และรูปทรงของเบาะนั่งโอบกระชับตามหลักสรีรศาสตร์ เมื่อรถเข้าโค้ง หรือเกิดแรงเหวี่ยง ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ยังสามารถทรงตัวได้ ตรงนี้ยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่เฟียต อาบาร์ธ 695 คันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบ ที-เจ็ต 16 วาล์ว เกียร์เอ็มทีเอ (Manual Transmission Automated) ให้ความแรงสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ทำอัตราเร่ง 1-100 กม./ชม. ภายใน 7 วินาที ครบเครื่อง สปอร์ต หรู คล่องตัวแบบนี้ อีตั้นฯ เคาะราคาที่คันละ 2,890,000 บาท ขอบอกว่า สีแดงที่เห็นผลิตมาแค่พันกว่าคันเท่านั้น และมีขายในไทยเพียงไม่กี่คัน ส่วนรถสีเหลืองก็จะตามมาอีกระลอก อยากเป็นเจ้าของก็ต้องรีบหน่อย.

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

มาสด้า ชิงเปิดตัว ณเดชน์ คู่ เป้-อารักษ์

กระแสการแข่งขันรถกลุ่มบี-คาร์ หรือรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง ปีนี้เชื่อว่าไม่ต่างจากปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ค่ายมาสด้าในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่ม โดยมีมาสด้า 2 เป็นหัวหอกและสร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำจะอยู่นิ่งต่อไปไม่ได้ แม้ยังไม่ถึงเวลาปรับเปลี่ยนโมเดลแต่ค่ายมาสด้ามองว่าต้องมีอะไรใหม่ ๆ กระตุ้นให้ตลาดตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุดทำเอาสาว ๆ ใจละลาย เพราะได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ ณเดชน์ คูกิมิยะ ดารานักแสดงวัยรุ่นสุดฮอตในเวลานี้ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ของมาสด้า 2 ซีดาน 4 ประตู ภายใต้คอนเซปต์ ชีวิตที่ควบคุมได้ สไตล์ซูมซูม ส่วน เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ก็ไม่ได้หายไปไหนยังคงเป็นพรีเซ็นเตอร์ มาสด้า 2 แฮชท์แบ็ค 5 ประตูต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้คอนเซปต์ เริ่มต้นชีวิตสไตล์ ซูมซูม โดยมาสด้า 2 ที่เป็นรุ่นซีดาน 4 ประตู ราคา อยู่ระหว่าง 535,000-675,000 บาท ส่วนแฮชท์แบ็ค 5 ประตูนั้นราคาอยู่ระหว่าง 535,000-690,000 บาท
ทั้งนี้ โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรถยนต์มาสด้าไว้ที่ 38,500 คัน หรือมีส่วนแบ่งการตลาด 4.5% โดยรถยนต์หัวหอกที่จะทำตลาดให้ยอดขายมาสด้าเป็นไปตามเป้าหมาย คือ มาสด้า 2 โดยเฉพาะรถรุ่นนี้ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้สูงถึง 24,000 คัน
ส่วนการดึง ณเดชน์และ เป้-อารักษ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของมาสด้า 2 ซีดาน และแฮชท์แบ็ค 5 ประตู เพื่อแบ่งกลุ่มเป้าหมายของรถแต่ละรุ่นให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังวางแนวรบกันคู่แข่งที่เริ่มพาเหรดเข้ามาทำตลาดอย่างหนาตา ซึ่งนอกเหนือจากรถในกลุ่มบี-คาร์ หรือที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ราคา อยู่ระหว่าง 550,000-650,000 บาทแล้วยังมีซับบี-คาร์ซึ่งเป็นรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซี ราคาต่ำกว่า 500,000 บาท รวมไปถึงรถประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ เข้าร่วมวงไพบูลย์ด้วยจากเจ้าเดิมที่มีอยู่ในตลาดทั้ง ฮอนด้า ซิตี้, ฮอนด้า แจ๊ซ, โตโยต้า ยาริส, โตโยต้า วีออส, มาสด้า 2, ฟอร์ด เฟียสต้า, นิสสัน มาร์ช ล่าสุดมีน้องใหม่ไฟแรงเปิดตัวอย่างเป็นทางการคือ ฮอนด้า บริโอ้

เริ่มเห็นความร้อนแรงของรถกลุ่มบี-คาร์ตั้งแต่ต้นปี เชื่อว่าทั้งปีนี้ค่ายรถยนต์คงซัดกันมันหยด เพราะแต่ละค่ายไม่ต้องการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้คู่แข่งไป แต่จะทำอย่างไรให้ยอดขายเพิ่ม อันนี้ต้องรอดูว่าใครสมองไวเข็นกลยุทธ์การตลาดแบบไหนออกมา.

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

24 กุมภาพันธ์ 2554

“แลนเซอร์”ราคาใหม่7.94แสน-ดึง“อนันดา”พรีเซนเตอร์

“แลนเซอร์”ราคาใหม่7.94แสน-ดึง“อนันดา”พรีเซนเตอร์ มิตซูบิชิ จัดการรีลอนซ์ “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” โดยปรับออปชันและเปิดราคาใหม่ 794,000 บาท พร้อมสื่อสารการตลาดด้วยการดึงดาราดัง “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม”” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
รุ่นGT
โคจิ นากาฮาร่า กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมแนะนำ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ภายใต้แนวคิด เผยเสน่ห์ เร้าใจในตัวคุณ - Be fascinated เน้นภาพลักษณ์รถเก๋งสไตล์โฉบเฉี่ยวของมิตซูบิชิที่มีความลงตัวและสะท้อนตัวตนผู้ขับขี่

สำหรับมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ใหม่ มาพร้อมความโดดเด่น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่นำสมัยของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตั้ง ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS ที่ช่วยให้สามารถล็อกหรือปลดล็อก ประตู และฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม “อิมโมบิไลเซอร์”

นอกจากนี้ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ยังมาพร้อมอุปกรณ์และการตกแต่งภายในเน้นความลงตัว ความสะดวกสบายในการใช้งาน และประโยชน์ใช้สอยมากยิ่งขึ้น อาทิ มาตรวัดแบบ Hi-Contrast กระจกมองข้างที่พับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า กระจกไฟฟ้าแบบอัตโนมัติพร้อมระบบความปลอดภัย และระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อกรวมไปถึงระบบไฟนำทางหลังดับเครื่อง ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ในขณะที่พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น 1.8 GLS Ltd. เป็นต้นไป ส่วนในรุ่น GT นอกจากจะมาพร้อมจอภาพระบบสัมผัสแล้วยังมีการติดตั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายและระบบนำทางอัตโนมัติอีกด้วย
ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ได้รับการตกแต่งให้เร้าใจมากยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งกระจังหน้าแบบใหม่ สเกิร์ตข้าง คิ้วตกแต่งชายฝากระโปรงท้าย พร้อมแนะนำตัวถังสีใหม่ “แดงเมทัลลิก”

แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ นั้นจะยังคงมีทั้งเครื่องขนาด 1.8 ลิตร FFV ซึ่งรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทุกประเภทตั้งแต่เบนซินธรรมดาไปจนถึงแก๊สโซฮอล์ อี 85 ในขณะที่รุ่น 2.0 ลิตร รองรับได้ถึงแก๊สโซฮอล์ อี 20 โดยมีราคาขายอยู่ที่ 794,000 บาท ถึง 1,051,000 บาท พร้อมถือโอกาสนี้แนะนำ “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” ดารานักแสดงชั้นนำ และตัวแทนคนรุ่นใหม่ซึ่งจะมาช่วยร่วมถ่ายทอดความมีเสน่ห์ และ สมรรถนะที่เป็นเยี่ยมของตัวรถยนต์แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รวมไปถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้ขับขี่
รุ่นGLS
โดย“อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” จะมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ของแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ซึ่งถือเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของรถรุ่นดังกล่าวในเมืองไทย เพราะเชื่อว่าจะสามารถสะท้อนตัวตน และความมีเสน่ห์ที่เร้าใจของแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ได้ชัดเจนและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีของการเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น นอกเหนือจากการเป็น พรีเซ็นเตอร์สำหรับภาพยนตร์โฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว อนันดาจะได้ร่วมทำกิจกรรมของทางบริษัทฯ ในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มี 6 สีให้เลือก ประกอบด้วย สีแดงเมทัลลิก สีบรอนซ์เงิน สีบรอนซ์ทอง สีเทาดำ สีดำ และสีขาว “ไวท์เพิร์ล”

ราคาขาย แลนเซอร์ อีเอ็กซ์
รุ่น ราคา(บาท)
1.8 MIVEC GLX 794,000
1.8 MIVEC GLS-Limited 879,000(ภายในสีดำ)
1.8 MIVEC GLS-Limited 879,000(ภายในสีเบจ)
2.0 MIVEC GT 1,051,000

***รุ่นสีขาว “ไวท์เพิร์ล” ราคาเพิ่มอีก 10,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

23 กุมภาพันธ์ 2554

โตโยต้าเลกซัส “CT200h ไฮบริด"พร้อมราคาขาย

“CT200h ไฮบริด” แค่ 2.19ล้าน...ถูกสุดของเลกซัส วันนี้(22 ก.พ.) บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว “เลกซัส CT200h ใหม่” ที่กล้าคุยว่านี้คือรถไฮบริดแฮทช์แบคคันแรกของโลก ชูรูปลักษณ์โดดเด่นหรูหรา ผสานสมรรถนะของระบบไฮบริดอันเลื่องชื่อ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับ First Class สนนราคาเริ่มต้น2,190,000 บาท ซึ่งถือเป็นรถรุ่นถูกที่สุดของเลกซัสที่ทำตลาดในไทย
สำหรับสมรรถนะที่โดดเด่น มาจากเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง แบบ Atkinson Cycle ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิค (EFI) และระบบปรับองศาวาล์วแปรผัน VVT-i (Variable Valve Timing-intelligent) ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าส่งผลให้ระบบเครื่องยนต์เลกซัสไฮบริดไดร์ฟ (Lexus Hybrid Drive) ของรุ่น CT200h มีกำลังเสมือนเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แต่มีค่าคาร์บอนไดอ็อกไซด์ทางไอเสียต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน
นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกรูปแบบการตอบสนองต่อการขับขี่ได้สองแบบ คือ Dynamic และ Relaxing (2 moods 2 modes) โดยจะแสดงผ่านสีของไฟบนหน้าปัด -สีแดงและสีฟ้า- ผสานกับโหมดการขับเคลื่อนอีกสี่รูปแบบ ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน Eco กับ Normal เน้นการขับขี่แบบอารมณ์ที่สบายผ่อนคลาย (Relaxing) ในขณะ ที่โหมด Sport จะเน้นไปที่การขับขี่แบบเร้าใจ (Dynamic) นอกจากนี้ในโหมด EV หรือการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถแล่นไปได้อย่างเงียบกริบด้วยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และการปล่อยไอเสียอย่างก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์(CO2) ก๊าซไนตรัสอ็อกไซด์(NOx) และเขม่ากลายเป็นศูนย์
ประสิทธิภาพเครื่องยนต์
กำลังเครื่องยนต์: 99/5,200 PS/rpm
แรงบิด: 142/2,800 - 4,400 Nm/rpm

เลกซัสได้พัฒนาหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าขึ้นใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้าที่ยอดเยี่ยม พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังส่งสูงที่สามารถแปลงกระแสไฟกำลังสูงจากหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าไปเป็นพลังขับเคลื่อนรถยนต์ ระบบดังกล่าวให้สมรรถนะในการเร่งที่เงียบและทรงพลัง ทั้งในขณะออกตัวและให้การตอบสนองที่ดีเลิศแม้ในขณะเร่งเครื่องยนต์ด้วยความเร็วในแบบที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากใช้ระบบเครื่องยนต์เบนซินเพียงอย่างเดียว
ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง
แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด 650V
กำลังสูงสุด 60 kw
แรงบิดสูงสุด 207 Nm
แรงม้าสูงสุด (ทั้งระบบ) 134 hp / 136 PS
อัตราเร่ง 0-100 km/h: 10.3 sec
ด้านระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ซึ่งควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission) เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ไฮบริดได้อย่างลงตัวและให้การขับขี่ที่นุ่มนวล ระบบส่งกำลังดังกล่าวประกอบไปด้วยอุปกรณ์ส่งถ่ายกำลังแบบ Split device มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังส่งสูง และเจเนอเรเตอร์

พร้อมคุณลักษณะพิเศษ ของระบบ ไฮบริด ด้วย 2 รูปแบบ 2 อารมณ์การขับขี่ (2 moods 2 modes) ไม่ว่าจะเป็นแบบสบายๆในโหมด Normal, Eco และ EV โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะแสดงเป็นสีฟ้า และการขับขี่แบบสนุกสนานในโหมด Sport โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะเปลี่ยนเป็นสีแดง รวมถึงการตอบสนองของระบบต่างๆ อาทิ VSC TRC ABS รวมถึง น้ำหนักพวงมาลัย เพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ต และความสนุกสนานเร้าใจ

ด้วยเทคโนโลยีของ Lexus Hybrid Drive, CT200h จึงปล่อยค่าไอเสียออกสู่บรรยากาศต่ำตามมาตรฐาน Euro Step V ด้วยอัตราเฉลี่ยของ CO2 เพียง 94 กรัม/กม. และนอกจากนี้ยังมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งระดับเดียวกัน โดยมีอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ย ที่ 24.4 กม/ลิตร

ในส่วนของการออกแบบภายนอก สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้ปรัชญา “L-finesse” ผ่านเส้นสายของตัวถังที่ลื่น ไหลไปตามหลักอากาสพลศาสตร์ ด้วยค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทานต่ำ (Cd) เพียง 0.29 อีกทั้ง รูปทรงของโป่งล้อที่กว้างเพื่อรองรับกับซุ้มล้อ ทำให้รถดูต่ำแนบพื้น พร้อมฝากระโปรงหน้า และประตูท้ายทำจากอลูมิเนียม ทำให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วง (CG) ที่ต่ำ รับกับหลังคาที่เทลาด ให้ อารมณ์สปอร์ตรวมถึงการทรงตัวที่ดี

-กระจังหน้ารูปลักษณ์ใหม่ แบบ ‘spindle-shaped’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจาก รูปแบบของลมที่ปะทะตัวรถในระหว่างที่รถวิ่ง สอดรับกับแนวเส้นสายของตัวถัง

-กระจกด้านหลังมีเส้นสายดีไซน์แบบ ‘Slingshot’

-ไฟหน้าแบบ LED ใหม่ พร้อมไฟ Daytime Running Lights และ ไฟหรี่แบบ LED รูปทรง L- shape

-ไฟท้ายและไฟเบรกใหม่ แบบ LED ให้การส่องสว่างที่ชัดเจนในยามค่ำคืน ให้การตอบสนองที่ ฉับ ไว โดยใช้พลังงานที่ต่ำ พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ในส่วนของการออกแบบภายใน ด้วยการคำนึงถึงอรรถประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบาย ภายใต้หลักการ HMI (Human-Machine Interface) โดยการแบ่งโซนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของการควบคุม และ การแสดงผล ด้วยการออกแบบดังกล่าว ทำให้ผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นต้องละสายตาจากการมองเส้นทาง ทำให้เกิดความสะดวกสบาย และความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

“เลกซัส CT200h” ยังมากับ ออปชัน ระบบนำทางจากเลกซัส (Lexus Navigation System) ทำงานโดยแสดงแผนที่แบบ DVD และบอกเส้นทางด้วยระบบเสียง เพื่อการนำทางที่ถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถค้นหาเส้นทางและซูมตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรายแรกในประเทศไทยสำหรับยนตรกรรมหรูทื่แสดงข้อมูลการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครแบบ Real-time โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลกองบังคับการตำรวจจราจร เพื่อการวางแผนการเดินทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ราคาเลกซัส CT200h

รุ่น ราคา (บาท)
Luxury 2,190,000
F-sport 2,390,000
Premium (ระบบนำทางอัจฉริยะ) 2,590,000
Premium (ระบบนำทางอัจฉริยะและมูนรูฟ) 2,690,000

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

21 กุมภาพันธ์ 2554

มิตซูบิชิจัดแคมเปญรับหน้าร้อนนี้

มิตซูบิชิ ปลื้มยอดขายทะลุ 4 พันคันต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่งแคมเปญเด็ดดอกเบี้ยเริ่มต่ำต้นที่ 0% กระตุ้นยอดขาย พร้อมชวนลูกค้าเดิมเข้ารับบริการตรวจเช็คสภาพรถฟรี 27 รายการ และซื้อผลิตภัณฑ์รักษาและบำรุงเครื่องยนต์นำเข้าได้ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 5 เมษายนนี้ ที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ ทั่วประเทศ
โคจิ นากาฮาร่า กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงยอดขายรถยนต์มิตซูบิชิ ในเดือน มกราคมที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 4,458 คัน เติบโตขึ้น 104.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 2,176 คัน ถือเป็นการทำยอดขายที่สูงกว่า 4 พันคันต่อเดือนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา

โดยแบ่งเป็นรถกระบะไทรทัน 2,690 คัน เติบโตขึ้นเกือบ 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ยอดขายรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อยู่ที่ 1,154 คัน เพิ่มขึ้น 107.3% ในส่วนของกลุ่มรถยนต์นั่ง คือมิตซูบิชิ แลนเซอร์ และ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ เติบโตขึ้น 28.7% ด้วยตัวเลขยอดขาย 520 คัน

ทั้งนี้มิตซูบิชิเชื่อว่าตลาดรถยนต์รวมในปี 2554 นี้จะขยายตัวต่อเนื่องโดยมีอัตราเติบโตประมาณ 4-5% สอดคล้องกับระดับ GDP ซึ่งจะทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศจะมีขนาดประมาณ 820,000 คัน โดยมองเห็นปัจจัยสนับสนุนจากการขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ การขยายตัวของการลงทุนทางธุรกิจ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของหลายค่ายที่กระตุ้นให้ตลาดมีความคึกคักยิ่งขึ้น ในส่วนของมิตซูบิชินั้น วางเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ 6% หรือประมาณ 50,000 คัน

"เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเมษายนนี้ เรายังได้เตรียมจัดแคมเปญพิเศษภายใต้ชื่อ “ซัมเมอร์สุขใจกับมิตซูบิชิ” ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์มิตซูบิชิ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 0%* และข้อเสนอพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทฯ ยังได้ขยายรายการฟรีค่าแรงการเช็คระยะสำหรับรถยนต์มิตซูบิชิรุ่นปี MY11 ทุกรุ่นเป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแล้วแต่ระยะใดถึงก่อน โดยลูกค้าสามารถนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กิโลเมตรแรก และทุกๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน"

พร้อมกันนี้ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าในการใช้รถใช้ถนนช่วงเดือนแห่งความรักไปจนถึงเทศกาลสงกรานต์ด้วย บริการตรวจ เช็คสภาพรถฟรีถึง 27 รายการ ที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ ทั่วประเทศ โดยข้อเสนอดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ไปจนถึงวันที่ 5 เมษายนนี้

สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 5เมษายน นี้ หรือ ติดต่อศูนย์ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประสานงานลูกค้ามิตซูบิชิ Customer Consulting Center โทร. 1800 900 009 ฟรี เฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน และโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่าย AIS ในวันและเวลาทำการ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

15 กุมภาพันธ์ 2554

Harley Davidson Blackline 2011 ดีไซน์เฉียบ

เปิดตัวไปหมาดๆที่งาน International Motorcycle Show ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา สำหรับ Harley-Davidson Blackline รุ่นปี 2011 มอเตอร์ไซค์ที่ใช้แพลตฟอร์มแบบ Softail ที่มองดูเหมือน Hardtail (ไม่มีระบบกันสะเทือนหลัง) ในขณะที่ลักษณะเด่นอื่นๆได้แก่ ถังน้ำมันแบบอสมมาตรขนาด 5 แกลลอน และแฮนด์เดิ้ลบาร์แบบยกสูงระดับไหล่ Split Drag™ เดินสายภายใน
ขุมพลังของมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ก็คือ เครื่องยนต์ Twin Cam 96B™ V-Twin เคาเตอร์บาลานซ์ Rigid-Mounted ที่มาพร้อมระบบ Electronic Sequential Port Fuel Injection (ESPFI) แรงบิดสูงสุด 89 ปอนด์ฟุตที่ 3,250 รอบ/นาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลัง Cruise Drive® 6 สปีด อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานอเมริกาอยู่ที่ 54 และ 35 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับนอกและในเมือง(แบบประหยัด)ตามลำดับ เฟรมและสวิงอาร์มทำพาวเดอร์โคทสีดำ Black Denim
ราคาขายปลีกของ Hardley-Davidson Blackline รุ่นปี 2011 นี้ในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 15,499 เหรียญสหรัฐฯครับ

ขอบคุณเนื้อหาจาก autospinn

Zundapp Bella R201สกู๊ตเตอร์แปลกๆ จาก ซุนดัป

โปรย…และ...ผู้บริโภคก็มีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรกในงาน Frankfurt Show ปี 1953 และชื่อของ Bella ก็เริ่มสดใส โดยเครื่องยนต์ที่หยิบใช้ในครั้งแรก ก็เป็นอานิสงส์จากจักรยานยนต์ 150 ซี.ซี. ขนาด 7 แรงม้า
ชื่อของ Zundapp ผุดเข้ามาในสารบบโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ตั้งแต่ปี 1917 โดยเป็นการรวมตัวของเพื่อนซี้นาม Dr.Fritz Neumeyer และ Friedruch Krupp ทว่า โรงงานภายใต้ชื่อของ Zunder-und-Apparatebeu กลับมีอายุอานามไม่นานนัก ต้องเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารและปรับทิศทางธุรกิจกันใหม่ ในปี 1921 Zundapp ก็กลับมาสู่วงการผลิตรถจักรยานยนต์อีกครั้ง ทว่า ครั้งนี้มันยิ่งใหญ่และเห็นน้ำ เห็นเนื้อ มากขึ้น...ในปี 1938 Zundapp สามารถผลิตรถจักรยานยนต์ออกจำหน่ายได้มากถึง 200,000 คัน โรงงานแห่งนี้ได้รับการจับตาอย่างมาก ในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีฐานะการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง กระนั้น ก็ได้ยิ้มกันไม่นาน เยอรมนี คือโต้โผ "ฝ่ายอักษะ" ที่เปิดศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 กิจกรรมภายในประเทศส่วนใหญ่จึงถูกปรับทิศทาง ไลน์ผลิตส่วนใหญ่จำต้องเบน แผนผลิต "ยุทโธปกรณ์" เป็นหลัก...หลัง...แพ้สงคราม!!!...โรงงาน Zundapp...ถูกบอม!!!...กิจกรรมในประเทศถูกเยียวยา กว่าจะมี โอกาสได้เห็นแบรนด์การค้าของ Zundapp อีกครั้ง...ก็...ต้องรอนานถึงปี 1951 โดยไลน์ผลิตหลักเป็นเพียงรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ที่มีเครื่องยนต์แสนประหยัด (Moped)

ต้น ทุนถูก ประหยัด ใช้งานได้อเนกประสงค์ คือแนวทาง "รถสกู๊ตเตอร์" ที่อิตาลีเพื่อนร่วมค่าย (อักษะ) ประสบความสำเร็จ รถหน้าตา แปลกๆ โป่งๆ แปล่งๆ ของ Zundapp ก็เลยเลือกใช้แนวทางนี้ โดยอิงพื้นฐานของการผลิตตามแบบอย่างทั้ง Vespa/Lambretta ทว่า มันก็มีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ บนความใหญ่โตตามแบบฉบับของเยอรมนี มันมีบังโคลนหน้าขนาดใหญ่ (มาก) กับท่อนหางที่เรียว เหลี่ยม และยาวกว่า โครงสร้างแบบท่อกลมถูกพัฒนามาจากรถมอเตอร์ไซค์รุ่นก่อนหน้า มันแข็งแกร่งกว่าเฟรมขึ้นรูปด้วยเหล็กแผ่น...ซึ่ง ...สุดท้ายรถของ Zundapp ก็ถูกเข็นออกมา โดยมันมีหน้าตาไปละม้ายคล้ายกับ Scooter อิตาลี แบรนด์ของ MotoParilla รุ่น Levrier ทว่า Zundapp ก็อ้างว่าเป็นแบบที่เกิดขึ้นจากโรงงานทั้งหมด...และ...ผู้บริโภคก็มีโอกาส ได้เห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรกในงาน Frankfurt Show ปี 1953 และชื่อของ Bella ก็เริ่มสดใส โดยเครื่องยนต์ที่หยิบใช้ในครั้งแรก ก็เป็นอานิสงส์จากจักรยานยนต์ 150 ซี.ซี. ขนาด 7 แรงม้า
955 มีการขยับขยายปริมาตรกระบอกสูบของ Bella ขึ้นเป็น 200 ซี.ซี. 10 แรงม้า มันสดใสและดูสวยงามมากยิ่งขึ้น เป็นแบบฉบับ ของสกู๊ตเตอร์จากเยอรมนีที่ถูกส่งไปขายในอเมริกาในนามของ Suburbanetta ถึงมันจะดูแปลกๆ แต่ก็สร้างความฮือฮาได้อยู่บ้าง โดย Zundapp เลือกใช้เครื่องยนต์ระบบ "สตาร์ทไฟฟ้า" แถมเลือกวางมันไว้บนบอดี้เหล็กขึ้นรูปแบบครึ่งท่อน รวมถึงใช้ล้อ หน้า/หลัง ขนาด 12 นิ้ว...ปลายปี 1955 Bella ได้รับการพัฒนาอีกครั้ง จากสกู๊ตเตอร์บอดี้เต็มเครื่องยนต์สตาร์ทไฟฟ้าจากรุ่น R200 สู่ R201 ที่เพิ่มขนาดของคาร์บูเรเตอร์ให้โตขึ้น นั่นรวมถึงระบบโช้คอัพหน้าแบบ "ตะเกียบแขนคู่" กระบอกไฮดรอลิกคือภาพลักษณ์ใหม่ และสำหรับออปชั่นพิเศษพร้อมไซด์คาร์ของ Steib ก็สามารถเลือกสรรได้จากดีลเลอร์ใกล้บ้าน

...ปลายปี 1956 โปรดักชั่นไลน์ของ Zundapp เพิ่มออปชั่นด้วยรถรุ่นอัพเกรด ที่เพิ่ม ซี.ซี. อีกเล็กน้อย กับออปชั่นเขียนคิ้วทาปาก ใส่โช้คหน้าแบบคานสวิง โช้คอัพเดี่ยว พอให้ได้ยอด มีทั้ง R153/R203 (150/200 ซี.ซี.) ซึ่งในปีถัดมาก็ยังดัน R154/R204 ตามมาอีกด้วย...ไลน์การผลิตจากพื้นฐาน เครื่องยนต์ขนาด 150 ซี.ซี. ในนามของสกู๊ตเตอร์ Bella นั้น ยื้อได้ยาวนานถึงปี 1958 เท่านั้น ในขณะที่รุ่น 200 ซี.ซี. โมเดลสุดท้าย เป็นปี 1962...ก่อน...เครื่องยนต์พิกัดใหม่ขนาด 175 ซี.ซี. ในนามของ R175S จะเข้ามาแทนที่ ทว่า ก็ยังยื้อชีวิตได้ถึงปี 1964 เท่านั้น

1951-1984 Zundapp Scooter
เมื่อไปไม่รอดก็ต้อง...พับกระดาน!!! รถสกู๊ตเตอร์ของ Zundapp ถูกออกแบบใหม่หมด เครื่องยนต์ในนาม Roller/RS50 ขนาด 50 ซี.ซี. แบบผอมเพียวคือภาพลักษณ์ที่เด่นตา (เหมือน Lambretta Cento) ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่หวังผลได้...และ... มีการผลิต อย่างต่อเนื่อง ยาวนานร่วมๆ 20 ปี...ก่อน...ปิดตัวลง!!!...หัน...ไปจับธุรกิจแนวใหม่อย่างบริษัท "ไฟแนนซ์" ในปี 1984-1985 แต่ก็ต้อง ขายกิจการทั้งหมดให้กับกลุ่มทุนของ "จีน" ใน...ท้ายสุด…!?!?!

ที่มาgrandprixgroup.com

14 กุมภาพันธ์ 2554

อุ่นเครื่อง“มาสด้า3 ใหม่”-ลองขับแบบ“แอบ แอบ”

อุ่นเครื่อง“มาสด้า3 ใหม่”-ลองขับแบบ“แอบ แอบ” ช่วงกลางเดือนหน้า(มีนาคม) บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว “มาสด้า 3 โฉมใหม่” หรือรุ่นโมเดลเชนจ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งใครนั่งนับวันรอ พ.ศ.ที่คิดถึง ก็เตรียมเงินและหัวใจให้พร้อม เพราะคาดว่าคราวนี้จะไม่ต้องรอการส่งมอบนานถึง 5-6 เดือน เหมือนเคยสร้างปรากฏการณ์เอาไว้

สำหรับ “มาสด้า 3” เจเนอเรชันที่หนึ่ง ซึ่งเตรียมปลดระวางจากตลาดไทย ถือว่าสร้างชื่อและภาพลักษณ์ให้แบรนด์มาสด้ามากพอสมควร ที่สำคัญยังถือเป็นผู้บุกเบิก และชี้ช่องให้ธุรกิจมาสด้าในไทย กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
ในส่วนยอดขาย “มาสด้า 3”นับตั้งแต่เปิดตัวในไทยปลายปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีร่วม 30,000 คัน ขณะที่ยอดผลิตรวมทั่วโลกก็ทะลุ 2,900,000 คันไปเรียบร้อย

นั่นเป็นความสำเร็จที่กำลังจะเป็นอดีต(อันน่าจดจำ) ซึ่งมาสด้าก็ยอมรับว่า เมื่อของเก่าทำไว้ดี จนได้การตอบรับจากลูกค้าทั่วโลก ดังนั้นการพัฒนาโฉมใหม่ หรือเจเนอเรชันที่สองของมาสด้า3 จึงถือเป็นการบ้านอันหนักหน่วง

...แล้วอะไรที่ปรับปรุงไปบ้าง รวมถึงแนวคิดในการพัฒนา “มาสด้า3 โฉมใหม่” เป็นอย่างไร?...คำถามนี้ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ตอบด้วยการจัดงาน Next Generation Mazda3 Prototype & Test Drive ให้สื่อมวลชนหายสงสัย ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามงานดังกล่าว เป็นการแง้มข้อมูลส่วนหนึ่ง โดยเน้นไปที่ วิศวกรรมตัวถัง รวมถึงแนวคิดการออกแบบ ภายนอก-ภายใน ขณะเดียวกันก็ให้นักข่าวได้ลองขับ “มาสด้า3 โฉมใหม่” แบบพอหอมปากหอมคอเท่านั้น

“เราจะนำสิ่งที่ประสบความสำเร็จในมาสด้า3 เจเนอเรชันแรก มาศึกษาแล้วเก็บเอาไว้พร้อมจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นในรุ่นใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการให้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้า” ฮิเดยูกิ ไซโตะ ผู้จัดการด้านประชาสัมพันธ์ภูมิภาคอาเซียนของมาสด้า กล่าวและว่า

มาสด้า 3 เจเนอเรชันที่ 2 ถูกทดสอบสมรรถนะในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยภูมิประเทศและสภาพอากาศที่ต่างกันไป หรือรวมระยะทางกว่า 1.2 ล้านกิโลเมตร จึงทำให้มาสด้า 3ใหม่ เป็นรถที่ใช้ระยะทางทดสอบมากที่สุด ในบรรดารถยนต์ทุกรุ่นของมาสด้า

ฮิเดยูกิ ไซโตะ แจกแจงการพัฒนา “มาสด้า3 ใหม่” เป็น 3 ประเด็นหลักคือ 1. การออกแบบ 2.สมรรถนะ และ3.ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เริ่มจากประเด็นแรก...ซึ่งมาสด้า ยึดต้นแบบรุ่น “รียูกะ” (Ryuga) เป็นหลักในการออกแบบ ด้วยรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ เน้นเส้นสายทรงพลัง แสดงอารมณ์แม้รถจะจอดอยู่นิ่งๆ และที่สำคัญเมื่อเห็นต้องรู้ทันทีว่าเป็นรถ(ตระกูล)มาสด้า

“ตัวถังมาสด้า3 ใหม่ ดูใหญ่ขึ้นจาก มิติ รวมถึงซุ้มโป่งล้อ ซึ่งผสานการออกแบบพื้นผิว เส้นสาย ความโค้งมน ตั้งแต่เสา A ถึงเสา C พิลลาร์ ขณะเดียวกันด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสไตล์สปอร์ต ยังแฝงฟังก์ชันการใช้งานต่างๆได้อย่างลงตัว”

ภายในของมาสด้า 3 ใหม่ ยังยึดการออกแบบ Center Focus Design ให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางของการใช้งาน ด้านคอนโซลหน้าออกแบบอย่างพิถีพิถันลดรอยต่อของชิ้นส่วน และเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง พร้อมระบบไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ช่วยเพิ่มความหรูหรา และสร้างบรรยากาศในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี
ประเด็นต่อมาคือเรื่องสมรรถนะ ที่มาสด้าขอเว้นรายละเอียดเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง หรือระบบขับเคลื่อนต่างๆเอาไว้ แต่ก็ยืนยันว่า มาสด้า 3 ใหม่ ยังยึดการขับสนุกสไตล์ “ซูม ซูม” ไว้อย่างเหนียวแน่น

“การขับสนุก ไม่ได้หมายถึง แรงม้ามากที่สุด หรือ แรงบิดมากที่สุด แต่หมายถึงการควบคุมรถได้ดั่งใจ หรือ คนกับรถ ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”

ฮิเดยูกิ ไซโตะ บอกว่า การเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ของ มาสด้า 3 ใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาระบบช่วงล่าง และคุณสมบัติของโครงสร้างตัวถัง โดยเฉพาะช่วงล่างหน้าได้เพิ่มขนาดของเหล็กซับ-เฟรม ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมเพิ่มจุดยึดของแร็คพวงมาลัย กับซับ-เฟรม จาก 2 เป็น 3 จุด รวมถึงเพิ่มระยะ Pitch ของจุดยึดเหล็กกันโคลงหน้าจาก 535 มิลลิเมตร เป็น 587 มิลลิเมตร

ด้านระบบกันสะเทือนหลัง ได้เพิ่มขนาดหน้าตัดของชุดคานเหล็กด้านหลังจาก 2.0 มิลลิเมตร เป็น 2.3 มิลลิเมตร และเพิ่มะยะ Pitch ของจุดยึดเหล็กกันโคลงหลังจาก 546 มิลลิเมตร เป็น 564 มิลลิเมตร
ส่วนงานวิศวกรรมตัวถัง ได้เพิ่มคุณสมบัติความแข็งแกร่งและความมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยพัฒนาการเชื่อมชิ้นส่วนตัวถังในหลายๆจุด ทั้งโครงสร้างหลัก และระบบกันสะเทือน ส่งผลให้ลดการเสียรูปและลดการโคลงของตัวถัง

ทั้งนี้ในรุ่นซีดาน 4 ประตู ด้านหลังจะเสริมด้วยคานเหล็กขวาง เชื่อมระหว่างเบ้ายึดโช้กอัพ ซ้าย-ขวา ขณะที่รุ่นแฮทซ์แบ็ก 5 ประตู จะเชื่อมคานเหล็กขวางระหว่างซุ้มล้อหลัง ด้านซ้าย-ขวา และคานด้านบนเข้ากับเบ้าโช้กอัพด้านหลัง ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับคือ จะช่วยลดการบิดตัวเมื่อได้รับแรงกระแทกจากด้านหลัง รวมถึงช่วยรักษาสมดุลให้รถเกาะถนนดีขึ้น

สำหรับภายในออกแบบคอกพิตใหม่ทั้งหมด พร้อมเลือกวัสดุประกอบชั้นดีและพยายามใช้เป็นชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวไร้รอยต่อ ด้านเบาะคู่หน้าเพิ่มความยาวของเบาะรองนั่งอีก 20 มิลลิเมตร พนักพิงหลังสูงขึ้น 35 มิลลิเมตร ทั้งยังออกแบบโครงให้โอบกระชับสรีระด้านข้าง นอกจากนี้ยังเน้นความเงียบในห้องโดยสาร ซึ่งมาสด้าสามารถลดเสียงรบกวนลงไปได้เยอะเมื่อเทียบกับรุ่นเก่า

ปิดท้ายด้วยประเด็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มาสด้าต้องการลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และคายไอเสียต่ำ โดย“ฮิเดยูกิ ไซโตะ” เปิดเผยถึงเทคโนโลยี “ซิงเกิลนาโน คัททัลลิส” เอกสิทธิ์เฉพาะของมาสด้า ที่ถูกนำมาใช้ในมาสด้า 3 ใหม่

หลักการทำงานของเทคโนโลยีดังกล่าว คือการพัฒนาโครงสร้างของวัสดุเร่งปฎิกิริยา หรือคัททัลลิส ด้วยการใช้เทคโนโลยีซิงเกิลนาโน ที่สามารถควบคุมโมเลกุลขนาดเล็กกว่าโมเลกุลทั่วไป จึงสามารถลดปริมาณโลหะธรรมชาติราคาสูง ที่ใช้ในชุดกรองไอเสีย หรือ แคททาเลติก คอนเวอร์เตอร์ ลงได้ได้ถึง 70%

นอกจากนี้การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันยอดเยี่ยม ส่งผลให้ค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาน (Cd) ลดลง0.28 ในรุ่นซีดาน และ 0.30 ในรุ่นแฮทซ์แบ็ก ตลอดจนลดน้ำหนักตัวถัง ด้วยการใช้เหล็กคุณภาพสูง ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา
สุดท้าย “มาสด้า 3 ใหม่” จึงลดน้ำหนักลงไปได้ 15 กิโลกรัม แต่สามารถเพิ่มความแข็งแรงของตัวถังได้ 23% เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า

...ทั้งหมดเป็นข้อมูลการพัฒนา “มาสด้า 3 โฉมใหม่” ที่พอจะเปิดเผยได้ในตอนนี้ ซึ่งตัวเลขต่างๆที่ “ฮิเดยูกิ ไซโตะ” นำมากล่าวอ้างนั้น มาจากพื้นฐานเวอร์ชันที่ทำตลาดในยุโรป แต่กระนั้นก็ยืนยันว่าสเปกที่ทำตลาดในไทย จะใช้มาตรฐานวิศวกรรมเดียวกันแน่นอน

ชิมลางกับข้อมูลกันไปก่อน ส่วนราคาและออปชันสุดท้ายจะเป็นอย่างไร กลางเดือนมีนาคมนี้รู้กัน!
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

โซนาต้า สปอร์ต ถึงไทยรอฤกษ์ต้นมีนาคม โชว์คันจริง

ตามที่บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้แจ้งข่าวเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เตรียมทำตลาดในเมืองไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ความคืบหน้าล่าสุดฮุนไดบริษัทแม่ได้ส่งรถยนต์ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต รุ่นใหม่ล่าสุด ส่งตรงมาจากประเทศเกาหลีถึงเมืองไทยแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ขณะนี้รถรุ่นดังกล่าวเตรียมออกมาทดสอบกับสภาพถนนในบ้านเราก่อนนำมาเปิดตัวให้สื่อมวลชนได้สัมผัสและทดลองขับในรูปแบบ First Impression ก่อนใครในช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยคาดว่าจะเปิดตัวต่อสาธารณชน และรับสั่งจองได้ในงาน Bangkok International Motor Show 2011 ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าฮุนได โซนาต้า สปอร์ต รุ่นใหม่ จะประสบความสำเร็จ และคว้ารางวัลมาแล้วทั่วโลก จะเป็นที่ชื่นชอบจากผู้บริโภคชาวไทยเช่นเดียวกัน
ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต รุ่นใหม่เป็นรถยนต์ในสไตล์แบบ 4 ประตู คูเป้ เป็นวัฒนธรรมใหม่สำหรับผู้ต้องการสมรรถนะในการขับขี่ และ Character ที่ทันสมัย โดยนำเข้าจากประเทศเกาหลีทั้งคัน ที่เพียบพร้อมไปด้วยบุคคลิกที่โดดเด่น จากการออกแบบภายใต้แนวคิด Fluidic Sculpture Design ที่เป็นมาตรฐานใหม่ในการออกแบบรถยนต์ของฮุนได ทุกรุ่น เช่น Tucson, Elantra และ Accent ทีี่่ได้ทยอยเปิดตัวไปในหลายตลาดทั่วโลกในเวลานี้
รายละเอีัยดต่างๆ ของรถยังไม่เป็นที่เปิดเผยในเวลานี้ แต่คาดว่า ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต รุ่นใหม่จะใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่ให้แรงม้าสูงสุดที่ 165 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts บนพวงมาลัย และปุ่ม Start Button ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ช่วงล่างแบบ Sport Suspension แท้ๆเพื่อการขับขี่ที่มั่นใจเหนือกว่าในทุกความเร็ว และหลังคาแก้ว Panoramic Sunroof ที่ให้ความรู้สึกไฮเอนด์กว่าในรถยนต์ระดับเดียวกัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

07 กุมภาพันธ์ 2554

"ความจริง-ความเชื่อ"เรื่องของยางที่คุณควรรู้

ความปลอดภัยของการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้การเลือกซื้อยางรถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคนให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากยางคือสิ่งที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา การยึดเกาะถนน การทนทานต่อความร้อนและแรงเสียดทาน เป็นสิ่งที่สำคัญต่อความปลอดภัยในการเดินทาง

ทว่าหลายคนก็ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อยางอยู่ เพราะได้รับฟัง หรือได้อ่านเรื่องราวความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอายุการผลิตของยาง จนทำให้เจ้าของรถในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย คำนึงถึงวันผลิตที่ติดอยู่บนแก้มยางหรือ DOT มากจนเกินความจำเป็น เพราะแท้จริงแล้วการเลือกซื้อยางที่ถูกต้อง ควรเลือกซื้อยางที่มีขนาดที่ถูกต้อง เหมาะกับประเภทของรถ การใช้งาน คุณภาพ และควรให้ความใส่ใจการดูแลรักษายาง
กรมคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ “ประสิทธิภาพของยางรถที่มีการเติมลมแล้ว (The Pneumatic Tier)” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดยระบุว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ยางมีการใช้งาน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพ ยางรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว 120 ก.ม.ต่อชั่วโมง สามารถทำให้เกิดอุณหภูมิที่หน้ายางสูงขึ้นถึง 75 องศาเซลเซียส แต่หากความดันในลมยางน้อยกว่าปกติ (เช่น ยางแบน) ก็จะยิ่งทำให้ความร้อนหน้ายางสูงมากกว่าที่ควรจะเป็นด้วย ดังนั้น อุณหภูมิในโกดังที่จัดเก็บยางรถยนต์ก่อนการใช้งานจริง จึงมีผลต่อคุณภาพของเนื้อยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดสีเมื่อนำยางไปใช้ในการขับขี่จริง เพราะโดยทั่วไปนั้น ยางที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีก่อนการใช้งานจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาจากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต

อีกตัวอย่างหนึ่งได้จากการทดสอบของประเทศในฝั่งยุโรป โดยองค์กร ADAC ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อผู้ขับขี่รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ได้พิสูจน์เรื่องสมรรถนะของยางเอาไว้ในเดือนมิถุนายน 2553 โดยได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพยางรถยนต์ที่ผลิตใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2547 สำหรับการขับขี่ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ซึ่งผลการทดสอบก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ยางที่ผลิตใหม่จะมีสมรรถนะเหนือกว่ายางที่ผลิตมานานกว่า

ขณะเดียวกัน ทางประเทศไทยเอง ก็มีหน่วยงานภาควิชาการที่ได้ทำการทดสอบในลักษณะเดียวกัน โดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ TUV Rheinland Group Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ทดสอบและให้การรับรองคุณภาพแก่ผลิตภัณฑ์และสินค้าของบริษัทชั้นนำทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี ทำการทดสอบเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่า ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยนั้น สมรรถนะของยางที่ผลิตใหม่กับยางที่ผลิตมานานกว่าจะมีความแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยหรือไม่

จึงได้นำยางรถยนต์ที่มีวันผลิตต่างกันหนึ่งปี ไปทดสอบการใช้งาน โดยการขับขี่ด้วยความเร็วสูงที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะเวลาที่ต่อเนื่องนาน 60 นาที ผลที่ได้จากการทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกันไม่เกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งยังมีความสามารถในการบรรทุกหนักและวิ่งเป็นระยะทางไกลตลอดจนความแข็งแรงของหน้ายางและโครงสร้างยางไม่แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่วันผลิตยางนั้นห่างกันถึงหนึ่งปี
นอกจากนั้น TUV Rheinland Group Ltd. ยังได้ทำการทดสอบว่า วันที่ของการผลิตที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อสมรรถนะของยางในด้านความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่และการเบรคของยางหรือไม่ โดย TUV Rheinland Group Ltd ได้ทำการทดสอบระยะการเบรคที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนกระทั่งหยุดนิ่ง ผลการทดสอบพบว่ายางที่มีวันที่ของการผลิตแตกต่างกัน มีความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่ และการเบรคใกล้เคียงกันมาก จนแทบจะไม่มีความแตกต่าง

นายชูเดช ดีประเสริฐกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ยางที่มีวันที่การผลิตต่างกันสองถึงสามปีจะให้สมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ในระดับที่ไม่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเก็บรักษายางในร้านด้วยว่ามีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม รวมทั้งไม่โดนแดด เพราะอาจจะทำให้หน้ายางมีความยืดหยุ่นน้อยลงและแข็งขึ้น ดังนั้น การเลือกซื้อยางในร้านที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญ แทนที่จะคำนึงเรื่องวันเดือนปีที่ผลิตเป็นหลัก”

“ส่วนความเชื่อที่ว่ายางรุ่นเดียวกันถ้ายิ่งผลิตใหม่ที่สุดก็จะยิ่งทำให้ได้รับยางที่ผลิตโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นและมีวัตถุดิบที่ดีขึ้นก็ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะยางในแต่ละรุ่นนั้นจะมีการใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน บางครั้งยางที่ผลิตก่อนอาจจะมีเหนียวของยางมากกว่า ซึ่งทำให้การขับขี่มีสมรรถนะยิ่งขึ้น สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อยางสำหรับผู้ขับขี่ชาวไทย คือ ต้องเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของล้อ ส่วนวันที่ผลิตนั้นไม่ถือเป็นสิ่งที่มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมสภาพของยางแต่อย่างใด” นายชูเดช กล่าวสรุป

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านจะมีวิธีการเลือกซื้อยางที่ถูกต้องและมอบความปลอดภัยแก่การขับขี่มากที่สุด การเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกหายางที่ใหม่ที่สุดเพื่อใช้งานจะหมดไป เพราะในวันนี้มีผลพิสูจน์จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือทั่วโลกแล้วว่ายางใหม่และยางเก่าไม่แตกต่างกัน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

06 กุมภาพันธ์ 2554

ซีตรอง ดีเอส 3 รถเก๋งเล็ก หรู กะทัดรัด

ดีเอดี ยนตรกิจ ได้เปิดตัว ซีตรอง ดีเอส 3 น้องเล็กตระกูลรถหรูจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งหรูขนาดเล็กที่น่าจับตามอง ด้วยการออกแบบอย่างมีดีไซน์ ดีเอส 3 เป็น
รถจากโครงการดิฟเฟอร์เรนท์ สปิริต-ดีเอส ซึ่งเป็นรถสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามาสนองตอบความต้องการของนักนิยมรถหรู ขณะเดียวกันก็ต้องการความกะทัดรัดและคล่องตัว ซึ่งรถคันนี้ตอบสนองความต้องการตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดีดีเอส 3 เป็นรถสปอร์ตแฮทซ์แบ็ก 3 ประตู มิติตัวถังยาว 3,948 มม. กว้าง 1,715 มม. สูง 1,483 มม. ระยะฐานล้อ 2,464 มม. โดดเด่นด้วยเส้นสายโฉบเฉี่ยวรอบคัน พร้อมล้ออัลลอยลายเท่ ขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 205/45R17 ขณะเดียวกันซีตรองยังเตรียมสีสันภายนอก สีหลังคาและการตกแต่งภายใน เอาไว้ให้เลือกหลายแบบ

สำหรับรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมระบบทิปทรอนิก ที่ผู้ขับเลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังเป็นคานแข็งพร้อมโช้คอัพคอยล์สปริง ความปลอดภัยระดับดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรกเอบีเอสและระบบกระจายแรงเบรก (อีบีดี)

เรื่องหน้าตาความโดดเด่นของซีตรอง ดีเอส 3 ก็ไม่ขี้เหร่ เชิดหน้าสู้รถสปอร์ตในระดับเดียวกันได้สบาย ดีเอดี ยนตรกิจได้เคาะราคาขายน้องเล็กคันนี้ไว้เบาหวิว ที่คันละ 1.495 ล้านบาท ราคาสวยแบบนี้รถลอตแรกที่ส่งเข้ามามียอดจองไปเกลี้ยงแล้ว ขณะนี้ดีเอดี ยนตรกิจ กำลังเจรจากับบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศส ขอโควตาเพิ่ม เพราะยังมีลูกค้าอยากจับจองอีกเพียบ.
ที่มา เดลินิวส์

01 กุมภาพันธ์ 2554

Ferrari FF เร้าใจกับสปอร์ตขับสี่ล้อ

ดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบัน ที่หลายบริษัทต้องการความเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เราจะได้เห็นอะไรที่แปลกๆ และก็ใหม่ๆ ชนิดที่เป็นครั้งแรกของบริษัทที่ทำเช่นนั้นกันอยู่เสมอ และนี่ก็เช่นกัน เมื่อเฟอร์รารี่เผยโฉมสปอร์ตรุ่นใหม่ในชื่อ FF พร้อมกับที่ครั้งแรกที่ค่าย Prancing Horse ผลิตรถสปอร์ตแบบขับเคลื่อน 4 ล้อออกขายในตลาด

สปอร์ตใหม่รุ่นนี้มีชื่อว่า FF ซึ่งก็ย่อมาจาก Ferrari Four โดยคำว่า Four มีนัยยะแฝงของคำว่า 4 ทั้งในแง่ของการเป็นสปอร์ตแบบ 4 ที่นั่ง และก็ขับเคลื่อน 4 ล้อ และก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาขายจริงแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก เพราะนี่ถือว่าเป็นต้นแบบที่มีความใกล้เคียงกับการขายจริง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นข่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าก็ต้นปี 2012
เห็นหน้าตาแล้วหลายคนคงจะพอเดาออกว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งสำนักออกแบบพินินฟารินายังนั่งแท่นประจำสำหรับการทำงานในส่วนนี้ และสามารถสร้างสรรค์งานออกแบบที่ถอดแบบความเป็นรถสปอร์ตของเฟอร์รารี่ยุคปัจจุบันออกมาอย่างครบถ้วนบนตัวถังในแบบสปอร์ตคูเป้ท้ายตัด โดยออกแนวสมัยนิยมแบบ Shooting Break ที่กำลังฮิตกัน (เฉพาะแค่การผลิตต้นแบบ แต่ยังไม่เห็นค่ายไหนผลิตจริงเลย)

เห็นสเปกแล้วก็คงไม่ต้องเดากันมาก เพราะคาดว่า FF น่าจะถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ 612 Scaglietti ส่วนจะถึงขั้นมีเซอร์ไพรส์ว่าเข้ามาทำตลาดแทนที่หรือไม่นั้น อันนั้นยังไม่มีการเปิดเผย แต่เมื่อดูจากช่วงเวลาที่ 612 อยู่ในตลาดแล้วก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะสปอร์ตรุ่นใหญ่นี้ขายในตลาดมาตั้งแต่ปี 2004

อย่างไรก็ตาม นั่นดูเหมือนว่าจะไม่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจและน่าสนใจให้กับบรรดาคนรักม้ามากเท่ากับการได้รับทราบว่าสปอร์ตรุ่นนี้ได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแรกของบริษัท โดยมีชื่อว่า 4RM ซึ่งมีความทันสมัย และมีน้ำหนักของระบบโดยรวมเบากว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถึง 50%
ตัวระบบจะมีอัตราการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์สู่ล้อหลังโดยแปรผันอย่างอัตโนมัติไปตามสภาพการขับขี่ โดยทางเฟอร์รารี่ไม่ได้ระบุว่าเท่าไร แต่จะถูกเชื่อมการทำงานให้เข้ากับระบบขับเคลื่อนอื่นๆ ของตัวรถ โดยเฉพาะพวกระบบควบคุมความปลอดภัย หรือระบบควบคุมการทำงานของระบบช่วงล่าง ซึ่งที่ติดตั้งในรุ่นนี้เป็นแบบปรับระดับความหนืดของโช้กอัพอัตโนมัติในแบบ Manetorheological หรือ SCM3 และดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกของเบรมโบ

ถ้าไม่รู้ข้อมูลมาว่าพกเครื่องยนต์ใหญ่ในแบบวี12 แล้วดูจากภาพเพียงอย่างเดียว หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นสปอร์ตไซส์ปานกลาง แต่ FF เป็นสปอร์ตคลาสใหญ่ของเฟอร์รารี่ โดยมีความยาวอยู่ในระดับ 4,907 มิลลิเมตร กว้าง 1,953 มิลลิเมตร สูง 1,397 มิลลิเมตร มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก 47:53% ส่วนน้ำหนักตัวอยู่ในระดับถึง 1,790 กิโลกรัมเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ ตัวถังแบบนี้ให้ประโยชน์ใช้สอยมากกว่าคูเป้ เพราะว่าสามารถพับเบาะหลังลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระจากเดิม 450 ลิตรในแบบปกติมาเป็น 800 ลิตร

ทางด้านสเปกของเครื่องยนต์วี 12 ทางเฟอร์รารี่บอกว่าเป็นบล็อกใหม่ล่าสุดที่ถูกปรับปรุงและพัฒนาเพื่อแทนที่เครื่องยนต์บล็อกเดิมที่มีความจุเพียง 5,700 ซีซี โดยขยับความจุขึ้นมาเป็น 6,262 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยระบบไดเรกต์อินเจ็กชั่น รีดกำลังออกมาใช้งานได้ 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 69.7 กก.-ม. ที่ 6,000 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์ F1 แบบ Dual-Shift ให้ความเร้าใจด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.7 วินาที ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังที่ค่อนข้างเบา โดยม้า 1 ตัวแบกน้ำหนักเพียง 2.7 กิโลกรัมเท่านั้นเอง ขณะที่ความเร็วปลายอยู่ที่ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สำหรับตัวเลขในด้านความประหยัดน้ำมันตามรูปแบบการทดสอบของ EU แล้วตัวเลขเฉลี่ยสำหรับการขับในแบบผสมผสานอยู่ที่ 6.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีการคายระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 360 กิโลเมตร/ลิตร

เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011 เดือนมีนาคมนี้ได้เจอคันจริงกันแน่นอน และแม้ว่าเฟอร์รารี่จะบอกว่ายังเป็นต้นแบบ แต่เชื่อว่าใกล้เคียงกับการผลิตจริงอย่างมาก และว่ากันว่าเมื่อขึ้นไลน์ผลิตจริงราคาอาจจะป้วนเปี้ยนอยู่ในระดับ 700,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 21 ล้านบาท (แบบยังไม่รวมภาษีนำเข้าในไทย)
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ซูซูกิ ฮายาบูสะ"เจ้าตำนานความแรง.เคาะราคาขายที่ 8.3แสนบาท

แวดวงสองล้อเมืองไทยยังร้อนแรงต่อเนื่อง และช่วงหลังไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่รถบ้านร้านตลาดเท่านั้น เพราะในกลุ่มพรีเมี่ยมหรือพวกบิ๊กไบค์ ยังมีการนำเข้ามาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในงานBangkok Motorbike Festival 2011 ค่าย“ซูซูกิ” จัดการเปิดตัวรถใหม่ 2 รุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ฮายาบูสะ” เจ้าตำนานความเร็ว(กว่า 300กม./ชม.)ที่คนไทยรู้จักกันดี...
GSX1300R HAYABUSA
สำหรับ“ฮายาบูสะ ใหม่”เป็นการนำเข้ามาเปิดตลาดอย่างเป็นทางการของ บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด โดยรุ่นเวอร์ชันปี 2011 ของ GSX1300R HAYABUSA พัฒนาโครงสร้าง และเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1340ซีซี ให้มีประสิทธิภาพ หมายรวมถึงระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ผสานกับช่องดักอากาศที่มีประสิทธิภาพให้อากาศไหลผ่านระบายความร้อนได้ดี

ทั้งนี้เครื่องยนต์ของ“ฮายาบูสะ”ยังใช้ชิ้นส่วนภายในคุณภาพเยี่ยม ทั้งแหวนลูกสูบที่มีน้ำหนักเบาที่เคลือบสาร โครม-ไนเตรด (Chrome-Nitride) โดยสามารถเพิ่มกำลังอัดได้ถึง 12.5:1 และยังเลือกสรรก้านสูบที่ใช้วัสดุโครม-โมลิบดินัม สตีล-อัลลอยด์ (Chrome-Molybdenum Steel-Alloy) พร้อมด้วยวาล์วไอดีและไอเสียที่เป็นไทเทเนียม

เสริมด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่งอย่าง Suzuki Dual Throttle Valve (SDTV) System มีวาล์วลิ้นปีกผีเสื้อ 2 ชุด ในแต่ละลิ้นเร่ง ซึ่งวาล์วชุดแรกจะถูกควบคุมโดยคันเร่งและวาล์วชุดที่สองจะถูกควบคุมโดยระบบควบคุมเครื่องยนต์กล่องสมองกลอัจฉริยะเพื่อ ให้อากาศไหลผ่านเข้าได้เต็มประสิทธิภาพตามรอบเครื่องยนต์
GSX1300R HAYABUSA ติดตั้งระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ Suzuki Drive Mode Selector (S-DMS) System เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการควบคุมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบจุดระเบิดเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์ของผู้ขับขี่ได้ถึง 3 ระดับ โดยแบ่งเป็น 3 โหมด คือ โหมด A เน้นพละกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดสูงสุดตอบสนองคันเร่งฉับไวในสไตล์เรซซิ่ง โหมด B จะปรับการขับขี่ในสไตล์สปอร์ต และโหมด C เน้นที่การขับขี่แบบทั่วไป และเน้นการประหยัดน้ำมัน
ด้านโครงสร้างตัวถัง Suzuki GSX1300R HAYABUSA ถูกออกแบบอย่างประณีตให้มีความแข็งแรง ทนทาน และมีน้ำหนักเบาด้วยการใช้ ทวิน-สปา อะลูมิเนียมอัลลอยด์ เฟรม (Twin-Spar Aluminum-Alloy Frame) โดยทำงานร่วมกับโช้คอัพหน้าหลัง KYB แบบปรับความยืดหยุ่นรองรับการขับขี่ทุกสภาพถนนพร้อมจุดยึดเบรกหน้าใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการหยุดรถสูงสุด
หน้าที่การห้ามล้อเป็นของ ดิสก์เบรกคู่หน้าขนาด 310 มม. คาลิเปอร์อะลูมิเนียมแบบ 4 พอร์ตจาก TOKICO ส่วนดิสก์เบรกหลังขนาด 260 มม.และหนา 5.5 มม. พร้อมด้วยคาลิเปอร์แบบ 1 พอร์ตจาก TOKICO เช่นเดียวกัน
บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ตั้งราคาGSX1300R HAYABUSA ไว้ 830,000 บาท ขณะเดียวกันยังเพิ่มทางเลือกความแรงด้วยรุ่น GSX-R1000 เวอร์ชันปี 2011 ที่พัฒนาเครื่องยนต์ 4สูบ 999 ซีซี ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมด้วยโครงสร้างแซสซีส์ที่แข็งแกร่ง และมีน้ำหนักที่เบาตามหลักพลศาสตร์
GSX-R1000
ขณะเดียวกันโครงสร้างตัวถังก็แคบลง ความยาวช่วงล้อสั้นลงและสวิงอาร์มยาวขึ้น ซึ่งสามารถลดน้ำหนักลงประมาณ 5 กิโลกรัม จึงสามารถออกแบบให้เครื่องยนต์มีขนาดที่เล็กกะทัดรัดและตอบสนองความเร้าใจผู้ขับขี่ในทุกท่วงท่าให้เสมือนขับขี่บนสนามแข่งจริง ส่วนราคาขายอยู่ที่ 799,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์