27 สิงหาคม 2553

Volkswagen Fox แฮทช์แบ็ค 3 ประตู ได้ขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 60 แรงม้า

Volkswagen Fox แฮทช์แบ็ค 3 ประตู ได้ขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 60 แรงม้า Volkswagen ได้เพิ่มเครื่องยนต์ทางเลือกใหม่ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซินระดับ entry-level ขนาด 1.2 ลิตร สำหรับรถในตระกูล Fox ที่กำลังทำตลาดในทวีปยุโรป ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวยังได้มาตรฐาน Euro 5 ซึ่งเป็นมาตรฐานทางด้านการปล่อยมลพิษในอากาศของยุโรปอีกด้วย เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังเป็นขุมพลังให้กับ Volkswagen Polo ด้วยเช่นกัน โดยให้กำลัง 60 แรงม้า จากเครื่องยนต์เดิมที่ให้กำลัง 55 แรงม้า ในขณะที่อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำได้ภายในเวลา 15.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 153 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 5.8 ลิตร/100 กิโลเมตร เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรรุ่นใหม่นี้มีให้เลือกสำหรับทุกรุ่นย่อยของ Fox ในราคาเริ่มต้นที่เยอรมันนีที่ 9,825 ยูโร โดยได้เริ่มมีจำหน่ายตามโชว์รูมแล้ว
ที่มา: Volkswagen,autospinn

22 สิงหาคม 2553

รถต้นแบบ Morgan EvaGT คูเป้ทรงคลาสสิค โฉมงามอร่ามตา ดูดีไม่แพ้ภาพจากคอมพิวเตอร์

รถต้นแบบ Morgan EvaGT คูเป้ทรงคลาสสิค โฉมงามอร่ามตา ดูดีไม่แพ้ภาพจากคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ได้อวดภาพเรนเดอร์หรือภาพที่สร้างขึ้นโดยเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิคแบบพื้นๆ Morgan ได้เข็นรถต้นแบบออกมาแสดงให้สาธารณชนได้ยลโฉมสปอร์ตคูเป้ทรงคลาสสิค EvaGT ที่มองผ่านๆอาจจะดูเหมือนว่าถอดแบบมาจากในภาพไม่ผิดเพี้ยน แต่ถ้าเปรียบเทียบแบบจุดต่อจุดจะพบว่าบั้นท้ายแตกต่างจากรูปสเก็ทช์มากพอสมควรโดยเฉพาะท่อไอเสียจากที่เคยอยู่ด้านข้างซ้ายขวา กลับมารวมกันตรงกลางของรถต้นแบบที่นำมาแสดงนี้ ต้องยอมรับว่า EvaGT คันจริงที่ยังเป็นรถต้นแบบนี้มีดีไซน์ที่ทำได้ดีกว่าภาพต้นแบบเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็เหลือลุ้นอย่างเดียวว่าถ้ามีการสร้างขึ้นมาจริงๆ EvaGT รุ่นผลิตจะดูดีเหมือนในภาพถ่ายนี้หรือไม่

ที่มา: Morgan,autospinn

@.New Car.@: Volkswagen Berlin Taxi : แท็กซี่ต้นแบบเมืองเบอร์ลิ...

@.New Car.@: Volkswagen Berlin Taxi : แท็กซี่ต้นแบบเมืองเบอร์ลิ...: "Volkswagen Berlin Taxi : แท็กซี่ต้นแบบเมืองเบอร์ลิน เอกลักษณ์ของเมืองใหญ่ซึ่งจะกลายเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก นอกจากอาคารหรือสถานที่ซึ่งเป็น ..."

Volkswagen Berlin Taxi : แท็กซี่ต้นแบบเมืองเบอร์ลิน

Volkswagen Berlin Taxi : แท็กซี่ต้นแบบเมืองเบอร์ลิน เอกลักษณ์ของเมืองใหญ่ซึ่งจะกลายเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก นอกจากอาคารหรือสถานที่ซึ่งเป็น Landmark ของเมือง และของเล็กๆ อย่างเช่น ตู้โทรศัพท์ หรือตู่ไปรษณีย์แล้ว ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ หรือแท็กซี่ก็ถือเป็นอีกสัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะจดจำเมืองนั้นๆ ได้ เช่น ลอนดอน แท็กซี่ หรือเมื่อคิดถึงฟอร์ด คราวน์ วิคตอเรียสีเหลือง ก็ต้องนึกถึงนิวยอร์กอะไรทำนองนั้น

ตอนนี้โฟล์คสวาเกนจะทำอย่างนั้นให้กับเมืองเบอร์ลิน ด้วยการสร้างสรรค์แท็กซี่ต้นแบบรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Berlin taxi Concept ออกมาจัดแสดง โดยเป็นการต่อยอดทางด้านแนวคิดให้สอดคล้องกับนโยบายของโฟล์คฯ ที่จะผลิตและพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าเพื่อออกมาขายเป็นอีกทางเลือกในตลาดปี 2013 อีกด้วย

จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากต้นแบบที่ชื่อ Milano taxi ซึ่งทางโฟล์คฯ นำออกเผยแพร่สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน แต่ในตอนนั้นเป็นแค่งานดีไซน์ยังไม่มีคันจริงออกมาจัดแสดง และ Berlin taxi เป็นผลผลิตที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบรุ่นนั้นและไม่ใช่งานขายฝันอีกต่อ เพราะมีคันจริงออกมาจัดแสดง และนำออกแล่นทดสอบบนถนน
ตรงนี้เป็นความสอดคล้องทางด้านความต้องการของโฟล์คฯ และเทศบาลเมืองเบอร์ลิน ซึ่งจะมีการปรับตัวให้สอดรับกับการเป็นนครที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเริ่มมีการรณรงค์ให้หันมาสนใจกับรถยนต์พลังไฟฟ้า ส่วนทางโฟล์คฯ เองก็ขานรับความต้องการด้วยการพัฒนารถยนต์ออกมารองรับด้วยแนวคิด National Platform for Electric Mobility ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า หากเริ่มที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความแพร่หลายและเห็นผลในเรื่องของการลดมลพิษ ควรจะเริ่มที่แท็กซี่ที่แล่นอยู่บนถนนเป็นจำนวนมากเป็นอันดับแรก

ใครที่คิดว่าแท็กซี่จะต้องเป็นรถยนต์คันโตๆ เห็นทีจะต้องคิดกันใหม่ เพราะโฟล์คฯ พัฒนา Berlin taxi ให้เน้นความคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมืองด้วยตัวถังที่มีความยาวเพียง 3.73 เมตร สูง 1.6 เมตร และกว้าง 1.66 เมตร แต่ข้างในเพียบพร้อมด้วยความอเนกประสงค์เพื่อรองรับกับการบรรทุกทั้งคนและสัมภาระ
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถถูกกำหนดเอาไว้ว่าเป็นรถยนต์ทรงกล่องแบบประตูที่มีลักษณะสไลด์ไปทางด้านหลัง ซึ่งโฟล์คเชื่อว่าจะปลอดภัยที่สุดหากผู้โดยสารเข้าหรือออกจากตัวรถโดยที่ประตูด้านหลังเป็นแบบสไลด์เหมือนกับพวกรถตู้ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกรถยนต์ที่แล่นอยู่บนถนนชนประตู ถ้าใช้ประตูในลักษณะเปิดอ้าออกแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ดังนั้นประตูฝั่งผู้โดยสารจะมีลักษณะยาวจากเบาะด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง ขณะที่อีกฝั่งสำหรับผู้ขับ (รถยนต์พวงมาลัยซ้าย) จะมีแค่ประตูบานหน้าเท่านั้นเพื่อให้คนขับเข้าออก ซึ่งประตูเปิดได้กว้าง อีกทั้งตัวถังที่เป็นทรงสูง ยังทำให้การเข้าออกไม่มีปัญหาสำหรับฝรั่งตัวโตๆ

การจัดวางพื้นที่ในห้องโดยสารตอบสนองในด้านประโยชน์ใช้สอยเต็มที่ ซึ่งสำหรับแท็กซี่ในต่างประเทศ ที่มีการจำกัดจำนวนคนนั่งต่อคัน ทำให้การจัดวางตรงนี้สะดวกขึ้น ซึ่งเบาะนั่งด้านหลังรองรับผู้โดยสารได้ 2 คน คน และมีหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้วคล้ายกับ iPad ขนาดใหญ่วางอยู่ตรงเบาะหลังคนขับ
จอนี้จะทำหน้าที่เป็น Points of interest (POIs) บอกแจ้งเส้นทางและสถานที่น่าสนใจของเมือง รวมถึงราคาค่าบริการ และลูกค้าสามารถเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ รวมถึงยังสามารถปรับระดับของเครื่องปรับ อากาศผ่านทางหน้าจอนี้ได้ ขณะที่เบาะด้านหน้าฝั่งคนขับจะถูกโอบล้อมด้วยแผงคอนโซลเกียร์ที่ยาวและสูงเพื่อกั้นเป็นสัดส่วน พร้อมกับออกแบบเกียร์และเบรกมือให้รวมอยู่เป็นส่วนเดียวกัน

ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปล่อยโล่งให้เป็นพื้นที่สำหรับบรรทุกสัมภาระ เช่น กระเป๋าเดินทาง และตรงแผงหน้าปัดใกล้ๆ กับกระจกมองข้างจะมีช่องคล้ายๆ กับช่องของกระปุกออมสินสำหรับให้ผู้โดยสารที่กำลังขนสัมภาระลงเสร็จเรียบร้อยแล้วจัดจ่ายทิปให้กับคนขับ
ตัวรถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีช่วงกำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ หรือ 50 กิโลวัตต์สำหรับการผลิตกำลังแบบต่อเนื่องและคงที่ และอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนที่ถูกติดตั้งอยู่ใต้พื้นตัวถังเป็นแบบขนาด 45 kWh ขณะที่ตัวรถอาจจะหนักหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับขนาด เพราะอยู่ที่ 1,500 กิโลกรัม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะชุดแพ็คแบตเตอรี่ที่ต้องขนาดใหญ่หน่อย เนื่องจากตัวรถต้องแล่นให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ขืนขับได้นิดเดียว แล้วต้องชาร์จ รายได้หดกันพอดี

แต่แพ็คแบตเตอรี่ชุดนี้เมื่อชาร์จเต็มก็แล่นได้ 300 กิโลเมตร ขึ้นอยู่สไตล์การขับ ส่วนการชาร์จสามารถทำได้โดยที่โลโก้ VW บนกระจังหน้าจะมีช่องสำหรับชาร์จไฟ โดยการชาร์จแบบ Quick Mode เอาแบบแค่ 80% ก็รอเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าจะเอาเต็มก็ 3-4 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าและระบบพื้นฐานของเครื่องชาร์จด้วยว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน

โฟล์คฯ บอกว่านี่ยังเป็นต้นแบบ แต่ก็ไม่หมายความว่าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นจริง และถ้ารถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของตัวเองวางขายในปี 2013 เชื่อว่าน่าจะสามารถต่อยอดและนำไปสู่การผลิตเป็นจำนวนมาก เพื่อการใช้งานบริการในสไตล์แท็กซี่ได้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

19 สิงหาคม 2553

ยอดขายพุ่ง"จากัวร์-แลนด์โรเวอร์"ขอเพิ่มเครื่องจากฟอร์ด

ยอดขายพุ่ง"จากัวร์-แลนด์โรเวอร์"ขอเพิ่มเครื่องจากฟอร์ด แลนด์โรเวอร์ และจากัวร์ แบรนด์รถยนต์ระดับหรูภายใต้การดูแลของทาทา มอเตอร์ เตรียมเจรจากับฟอร์ด มอเตอร์ เจ้าของเดิม เพื่อขอเพิ่มการสนับสนุนเครื่องยนต์มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลังจากที่ทั้ง 2 แบรนด์ โดยเฉพาะจากัวร์ มียอดขายแล่นฉิวเกินคาด และทำให้เครื่องยนต์ไม่เพียงพอต่อการผลิตเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า

Ravi Kant รองประธานของทาทา มอเตอร์กล่าวว่า ในตอนนี้กำลังทำข้อเสนอเพื่อให้ทางฟอร์ดพิจารณา เกี่ยวกับการสนับสนุนเครื่องยนต์ให้กับทั้ง 2 แบรนด์ เพราะในช่วงต้นปีนี้ ยอดขายของทั้งแลนด์โรเวอร์ และจากัวร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในไตรมาสที่ผ่านมา ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 60% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2009
อีกทั้งทางคาร์ล-ปีเตอร์ ฟอสเตอร์ ซีอีโอของทาทา ก็กำลังจะเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นด้วยการก่อสร้างโรงงานที่จีน และอินเดีย ซึ่งนั่นทำให้ความต้องการเครื่องยนต์ของทั้ง 2 ยี่ห้อเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ทางฟอร์ดยังไม่ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ทาทา มอเตอร์ซื้อกิจการแบบแพ็คคู่ของจากัวร์ และฟอร์ดเข้ามาอยู่ในเครือด้วยมูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 82,500 ล้านบาทเมื่อปี 2008 และยอดขายในช่วงไตรสมาสที่ผ่านมามีตัวเลขอยู่ที่ 57,153 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันที่มียอดขายเพียง 35,947 คันเท่านั้น และทางทาทาเองเชื่อว่ายอดขายของทั้ง 2 บริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘เราสามารถผลิตรถยนต์ได้มากกว่านี้ถ้าเรามีเครื่องยนต์มากพอ’ ฟอสเตอร์กล่าวที่มุมไบ ประเทศอินเดีย เมื่อถูกนักข่าวถามถึงเรื่องนี้ โดยอดีตบอสส์ใหญ่ของจีเอ็มยุโรปเข้าร่วมกับทางทาทา มอเตอร์เมื่อต้นปีนี้ พร้อมกับวางแผนขยายแนวรุกให้กับทั้ง 2 แบรนด์ด้วยการเพิ่มรุ่นรถยนต์ใหม่ๆ ในอนาคต โดยสัญญาการสนับสนุนเครื่องยนต์ของฟอร์ดให้กับอดีตบริษัทในเครือทั้ง 2 แห่งจะสิ้นสุดลงในปี 2019

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เต็มตา! Porsche 918 Spyder Hybrid คลิปวิดีโอระยะประชิด ก่อนโชว์ตัวที่ Pebble Beach

เต็มตา! Porsche 918 Spyder Hybrid คลิปวิดีโอระยะประชิด ก่อนโชว์ตัวที่ Pebble Beach เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Porsche 918 Spyder Hybrid ซุปเปอร์คาร์ระบบไฮบริดที่ยังเป็นรถแนวคิดอยู่ถูกส่งมาจากเยอรมันนีเพื่อมา วาดลวดลายบนท้องถนนในเมืองมอนเทอร์รี่ย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตามคลิปวิดีโอที่ได้นำมาให้ชมนี้ ก่อนที่จะโชว์ตัวในงาน Pebble Beach Concours d’Elegance ที่จัดขึ้นในเมืองเดียวกัน โดยผู้รับภารกิจในขับโชว์ก็คือ Michael Mauer หัวหน้าทีมออกแบบของ Porsche AG นั่นเอง

ตามที่ได้เคยรายงานไปแล้วว่า 918 Spyder รุ่นนี้มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 3.4 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหน้าที่ให้ตัวเลขทางด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมันอย่างน่าอัศจรรย์ ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรุ่นนี้มีอัตราการปล่อย CO2 เพียงแค่ 70 กรัม/กิโลเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 3 ลิตร/100 กิโลเมตรที่แม้แต่รถประหยัดน้ำมันคันเล็กๆยังต้องอาย แถมมีอัตราเร่งในแบบซุปเปอร์คาร์ที่ไม่แพ้ใครด้วยตัวเลข 0-100 ใน 3.2 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนเวลา Lap Time ที่สนามทดสอบที่ Nurburgring ทำได้ต่ำกว่า 7 นาที 30 วินาที เร็วกว่า Porsche Carrera ซุปเปอร์คาร์ในสังกัดเดียวกัน!
Porsche 918 Spyder Hybrid Drive at Pebble Beach Monterey 2010

ที่มา: Porsche , autospinn

Bentley Continental GTC และ GTC Speed 80-11 รุ่นพิเศษปี 2011 ความหรูนี้มีให้แค่อเมริกัน

Bentley Continental GTC และ GTC Speed 80-11 รุ่นพิเศษปี 2011 ความหรูนี้มีให้แค่อเมริกัน ในงาน Pebble Beach Concours d’Elegance ครั้งที่ 60 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Bentley เปิดได้เปิดตัว Continental GTC และ GTC Speed 80-11 รุ่นพิเศษที่จะผลิตออกมาจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดยตัวเลข 80 หมายถึงจำนวนที่จะผลิต 80 คัน ในขณะที่ 11 หมายถึงรุ่นปี 2011 ความแตกต่างจาก Continental GTC และ GTC Speed รุ่นมาตรฐานคือเรื่องของรูปลักษณ์ล้วนๆ ทั้งสองรุ่นมีให้เลือกหลายสีรวมถึงสีพิเศษที่เพิ่มเข้ามาที่เรียกว่า Midnight โดยมีหลังคาแข็งเป็นสีเมทัลลิคเทาเข้ม มีฝาถังน้ำมัน Mulliner และโลโก้ Union Jack ที่กันชนหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
รุ่น GTC มาพร้อมกับเครื่องยนต์ W12 ทวินเทอร์โบ 6.0 ลิตร ให้กำลัง 552 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดไม่ธรรมดาที่ 313 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.8 วินาที วิ่งบนล้ออัลลอยชุดใหม่แบบ 14 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว
ส่วนรุ่น GTC Speed ใช้เครื่องยนต์รุ่นเดียวกันที่มีกำลังมากขึ้นคือ 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 749 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 321.8 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-96 ใน 4.5 วินาที มาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วสีเข้ม ที่ซ่อนคาลิปเปอร์เบรคสีแดงไว้ภายใน
ทีมออกแบบของ Bentley ได้ตกแต่งภายในด้วยชุดหนัง Beluga พร้อมปักลายสีตัดกันโดยมีโลโก้ Bentley สีขาวสำหรับรุ่น GTC และสีแดงสำหรับรุ่น GTC Speed มีการตกแต่งด้วยฝาครอบทำจากไม้สีดำ Paino Black ในส่วนต่างๆ แผงหน้าปัดสีอลูมิเนียมที่ใช้สีสว่างสำหรับรุ่น GTC แต่เป็นสีเข้มออกมืดสำหรับ GTC Speed ปิดท้ายด้วยคันเร่งอลูมิเนียมเจาะรูและแผ่นเหล็กที่ธรณีประตูจารึกคำว่า 80-11 Edition ครับ
ที่มา autospinn

17 สิงหาคม 2553

New Volkswagen CrossTouran รถอเนกประสงค์สไตล์ออฟโรด เวอร์ชั่นตัวเล็กของ Touran


New Volkswagen CrossTouran รถอเนกประสงค์สไตล์ออฟโรด เวอร์ชั่นตัวเล็กของ Touran จากที่ได้เปิดตัว CrossPolo และ CrossGolf ไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว Volkswagen ขอแนะนำรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว CrossTouran ที่เป็นเวอร์ชั่นไซส์เล็กของ Touran รถมินิแวนที่เรารู้จักกันดี ซึ่ง CrossTouran ได้รับการออกแบบให้มีพื้นตัวถังสูงขึ้นจากพื้นมากกว่า Touran ถึง 20 มิลลิเมตรเพื่อรองรับการใช้งานในสไตล์ออฟโรดมากขึ้น และดูเหมือนจะเป็นอย่างเดียวที่ทำให้รถรุ่นนี้แตกต่างไปจาก Touran รุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน

ในเรื่องของรูปลักษณ์ CrossTouran ได้ยืมแบบมาจากรถรุ่น SUV ในส่วนของกันชนหน้าและหลังส่วนล่าง คิ้วกันชนข้างสีดำ คิ้วบังโคลนขนาดใหญ่ตรงซุ้มล้อ และสเกิร์ตข้างแบบใหม่ CrossTouran วิ่งบนล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว และที่น่าสนใจอีกอย่างของรถรุ่นนี้ก็คือ Roof Rail อลูมิเนียมด้าน ภายในนั้น เบาะที่นั่งเป็นแบบหลากสีแต่อยู่ในโทนเดียวกันคือ ดำ น้ำเงิน เทา ขาว เป็นเส้นสลับกัน มีการตกแต่งด้วยวัสดุคล้ายสเตนเลสภายในตัวรถ พวงมาลัยหุ้มหนังรวมถึงหัวเกียร์และคันเบรคมือด้วย

Volkswagen CrossTouran จะมีจำหน่ายในยุโรปในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล TDI รุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน TSI โดยมีอ็อปชั่นเป็นรุ่นติดแก็ส โดยมีกำลังอยู่ระหว่าง 105-170 แรงม้า และเริ่มมีจำหน่ายแล้วที่ประเทศเยอรมันนีในราคาเริ่มต้น 27,700 ยูโรครับ

New Volkswagen CrossTouran รถอเนกประสงค์สไตล์ออฟโรด

ที่มา: Volkswagen,autospinn

12 สิงหาคม 2553

New Land Rover Freelander 2 ปี 2011 มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ประหยัดน้ำมันที่สุดเท่าที่เคยมีมา


New Land Rover Freelander 2 ปี 2011 มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ประหยัดน้ำมันที่สุดเท่าที่เคยมีมา Land Rover เปิดตัว Freelander 2 ที่มีหน้าตาอาจจะไม่ดูแตกต่างจากรุ่นปัจจุบันมากนัก แต่ความใหม่คือการที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 2.2 ลิตร ปรับปรุงใหม่มาให้เลือก 2 รุ่น และถือว่าเป็นครั้งแรกของรุ่นที่มีการนำเอาระบบขับเคลื่อนแบบ 2WD หรือขับเคลื่อน 2 ล้อมาใช้ ในส่วนภายนอกของ Freelander 2 ใหม่นี้ใช้กันชนดีไซน์ใหม่ กระจังหน้าใหม่แต่ดูเดิมๆ ไฟหน้าและไฟท้ายแตกแต่างออกไปบ้าง ส่วนล้ออัลลอยชุดใหม่มีขอบ 18 และ 19 นิ้วให้เลือก
ภายในไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักยกเว้นในส่วนของแผงอุปกรณ์ปรับปรุงใหม่ เบาะนั่งไฟฟ้าทั้งสี่จุดใช้สไตล์ใหม่ที่มีออปชั่นเป็นชุดหุ้มหนังของ Windsor ปรับได้ 8/6 ตำแหน่ง นอกจากนั้นยังมีพรมรองพื้น และกล่องเก็บของบริเวณกลางตัวรถ
การปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การนำเอาเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร ปรับปรุงใหม่ ที่มาพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable geometry มาใช้ เครื่องยนต์ดีเซลที่ได้มาตรฐาน EU5 รุ่นนี้มี 2 รุ่นย่อย คือ เครื่องยนต์ TD4 ขนาด 150 แรงม้า ที่มีเกียร์อัตโนมัติและเทคโนโลยี Stop/Start เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือจะเลือกใช้เกียร์อัตโนมัติที่มีระบบ Stop/Start เป็นออปชั่น อีกรุ่นหนึ่งก็คือ SD4 ขนาด 190 แรงม้าที่มีเพียงเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น
Land Rover เผยว่า Freelander SD4 ซึ่งเป็นตัวชูโรงของรุ่นมีอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายในเวลา 8.7 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง และถือว่าเป็นการเดินตามรอย Range Rover Evoque ที่ทาง Freelander จะมาพร้อมรุ่นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น นั่นก็คือ Freelander 2 eD4 ซึ่งเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 2.2 ลิตร 150 แรงม้า ซึ่งเป็นรุ่นที่่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดเท่าที่บริษัทฯเคยผลิตมา โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ลิตร/100 กิโลเมตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 158 กรัม/กิโลเมตร

“Freelander 2 eD4 จะเป็นรุ่นที่พา Land Rover เข้าสู่สมรภูมิรบของตลาดรถ SUV แบบขับเคลื่อน 2 ล้อที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดในยุโรป โดยตลาดรถ SUV ชนิดนี้มีสัดส่วนถึง 23% ของทั้งเซกเมนท์ และบริษัทฯพร้อมที่จะลุยในตลาดนี้อย่างเต็มที่” จากการเปิดเผยของนาย Phil Popham กรรมการผู้จัดการของ Land Rover
Land Rover จะเริ่มจำหน่าย Freelander 2 ในปลายเดือนกันยายนนี้ที่ประเทศอังกฤษ ก่อนที่บุกตลาดอื่นๆหลังจากนั้น
ที่มา: Land Rover,www.autospinn.com

11 สิงหาคม 2553

จากไทยไปออสเตรเลีย Mazda2 เวอร์ชั่นแดนจิงโจ้ ทั้ง Hatchback และ Sedan เริ่มขายพฤษภาคมนี้

จากไทยไปออสเตรเลีย Mazda2 เวอร์ชั่นแดนจิงโจ้ ทั้ง Hatchback และ Sedan เริ่มขายพฤษภาคมนี้ ก่อนที่ Mazda ประเทศไทยจะเริ่มทำการตลาด Mazda2 เวอร์ชั่น Sedan ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ Mazda ออสเตรเลียก็ได้เผยโฉม Mazda2 ทั้งเวอร์ชั่น Hatchback และ Sedan ไปพร้อมๆกัน ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การนำเข้ารถยนต์รุ่นดังกล่าวจะมาจากโรงงานใหม่ของ Mazda ในประเทศไทยแทนโรงงานเดิมจากประเทศญี่ปุ่น

รูปร่างหน้าตาก็ไม่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นไทยมากนัก แต่จะคล้ายเวอร์ชั่นอเมริกามากกว่าตรงแผงกระจังหน้า ชุดไฟหน้าใช้สีเข้มขึ้น ที่เตะตาก็เห็นจะเป็นไฟท้ายที่ดูคุ้นตามากๆ ในส่วนของระบบขับเคลื่อนจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 102 แรงม้า สำหรับทั้งสองเวอร์ชั่น โดยระบบเกียร์มีทั้งแบบธรรมดาและอัตโนมัติ

สำหรับพื้นที่บรรจุสัมภาระภายใน Mazda อ้างว่า สามารถจุได้ถึง 450 ลิตร นอกจากนั้น Mazda2 เวอร์ชั่นออสเตรเลียยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยขอบ 15 นิ้ว ระบบปรับอากาศ กระจกข้างและหน้าต่างไฟฟ้า ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีถุงลมนิรภัย SRS ด้านหน้าและด้านข้าง ระบบ ABD และ EBD
ที่มา autospinn

08 สิงหาคม 2553

Daihatsu Copen โรดสเตอร์จิ๋ว โฉมปี 2011 เพิ่มรุ่น Ultimate S Edition + ของแต่งแบรนด์เนม


Daihatsu Copen โรดสเตอร์จิ๋ว โฉมปี 2011 เพิ่มรุ่น Ultimate S Edition + ของแต่งแบรนด์เนม Daihatsu ได้เผยโฉม Copen รถสไตล์โรดสเตอร์ขนาดเล็ก รุ่นปี 2011 ที่ประเทศญี่ปุ่น และเพื่อที่จะให้มั่นใจว่าลูกค้าใหม่ๆจะหันมามอง บริษัทในเครือ Toyota แห่งนี้เลยปรับปรุงรุ่นพื้นฐานให้มีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น และได้ถือโอกาสแนะนำรุ่นใหม่ Ultimate S Edition ที่แผงกระจังหน้าได้รับการออกแบบใหม่ ล้ออัลลอย BBS ขอบ 15 นิ้วสีเข้ม พวงมาลัยและก้านเกียร์จาก Momo โดยมีออปชั่นเป็นเบาะที่นั่งสไตล์สปอร์ตหุ้มหนัง หรือเลือกที่จะซื้อที่นั่งของ Recaro หุ้มด้วยอัลคันทาร่า

Daihatsu Copen ทุกเวอร์ชั่นมาพร้อมกับหลังคาแข็งไฟฟ้า เครื่องยนต์เทอร์โบ 660 ซีซี ให้กำลัง 64 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตรที่ 3,200 รอบ/นาที ขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะหรือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ในเรื่องของราคาที่จำหน่ายไม่มีการเปิดเผยในช่วงนี้ครับ



ที่มา: Daihatsu,www.autospinn.com

07 สิงหาคม 2553

แปลกตาจนต้องเหลียวมอง นิสสัน JUKE

แปลกตาจนต้องเหลียวมอง นิสสัน JUKE นานๆ ทีจะได้สัมผัสกับรถยนต์รูปทรงแปลกตาอย่างกับ เจ้านิสสัน JUKE ออกเสียงว่า 'จู๊ค' รถยนต์สไตล์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ถูกนำเข้ามาจำหน่ายโดย ทีแอสแอล ออโต้ ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระรายใหญ่ น่าจะเป็นรายแรกและรายเดียวในตอนนี้ เจ้านี่เหมาะกับหนุ่มๆ สาวๆ รุ่นใหม่ที่ชอบความแตกต่าง และมีสตางค์มากพอ
รูปโฉมหน้าตาด้านหน้าจัดว่า แปลกได้ใจ ดูไกลๆ บางคนบอกผมว่ามันเหมือน'กบ' แต่ก็ดูสวย เก๋ เท่ มีสไตล์ดี

ด้านหลังออกแบบเน้นให้หลังคาลาดลงมา สไตล์รถสปอร์ต เท่าที่สังเกตโดยรวมๆ เหมือนกับนิสสันตั้งใจนำรูปทรงด้านท้ายของ นิสสัน มูราโน่ เอสยูวี รุ่นใหญ่ มารวมกับความโฉบเฉี่ยวแบบสปอร์ตของ นิสสัน แฟร์เลดี้ มาผนึกเข้าไว้ด้วยกัน เลยทำให้ได้บั้นท้ายที่แตกต่างอย่างที่เห็น

สำหรับผม JUKE เหมือนกับการคิดนอกกรอบของนิสสัน กล้าฉีกสไตล์การออกแบบรถยนต์ตลาดทั่วไป แต่จะถูกอกถูกใจใครบ้าง อันนี้คงต้องพิสูจน์กัน แต่สำหรับเมืองไทย เจ้านี่คงจะเอามาตัดสินอะไรมากไม่ได้ เพราะมันเป็นรถยนต์นำเข้า โดยไม่เกี่ยวข้องกับนิสสัน มอเตอร์ส ประเทศไทย คงขายจำนวนไม่มาก ด้วยราคาที่สูงจากการบวกภาษีนำเข้า อันที่จริงนิสสันรุ่นนี้มันผลิตขึ้นมาขายในตลาดญี่ปุ่น และยุโรปเป็นหลัก

ขณะที่การออกแบบภายในเน้นความทันสมัย และให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง มาตรวัดต่างๆ ไปจนถึงคอนโซลกลาง ดูใช้งานง่าย จะติดปัญหานิดหน่อยคือ ตรงที่จอมอนิเตอร์ LCD ตรงกลางเป็นของญี่ปุ่น ซึ่งปุ่มควบคุมทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น เนวิเกเตอร์ก็ยังเป็นของญี่ปุ่น ใช้งานในเมืองไทยคงไม่ได้ อย่างไรก็ดีอันนี้แก้ปัญหาไม่ยาก สามารถเปลี่ยนเป็นจอ LCD ของบ้านเราได้ รวมถึงระบบเนวิเกเตอร์ โดยผู้นำเข้าสามารถดำเนินการให้ได้ แต่ถ้าคิดจะไม่เปลี่ยน เจ้าจอ LED ตัวนี้ ยังใช้งานเป็นเครื่องเสียง และเครื่องเล่น DVD ได้ปรกติ

ถ้ามองภาพภายนอก ผมคงเดาว่า มันคงใช้เครื่องยนต์อย่างต่ำก็น่าจะ 1.8 ลิตร หรือให้เจ๋งๆ เลยก็ต้อง 2.0 ลิตร ที่ไหนได้ หลังจากได้ทดสอบจึงรู้ว่า ที่แท้ก็เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเท่านั้นเอง อันที่จริงมันคือเทรนด์การออกแบบ และพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน นิยมใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่ใหญ่มาก ตัวอย่างรถยนต์รุ่นใหม่ของค่ายญี่ปุ่น ถ้าเป็นรถขนาดไม่ใหญ่โตนัก มันจะใส่เครื่องยนต์ขนาดนี้แหละ นั่นเพราะมันให้ความประหยัดได้ดี เหมาะกับสถานการณ์น้ำมันใกล้หมดโลกประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น อย่าไปใส่ใจว่า นิสสัน JUKE เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 114 แรงม้า กับแรงบิดอีก 150 นิวตันเมตร จะเปรี้ยวได้มากแค่ไหน มันเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ขับสบายๆ ยิ่งถ้าใช้ในบ้านเรา โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะถึงอย่างไรก็ติดกันกลางถนนอยู่ดี

อย่างที่บอกมันเป็นรถขับสไตล์เพลงป๊อป ช่วงล่างนุ่มนวล ขนาดที่กะทัดรัดทำให้มันคล่องตัวกับการขับขี่ในเมือง ส่วนนอกเมืองนั้น ผมทดสอบเจ้านี่ในเส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา ใช้เส้นทางยกระดับบางนา-บางปะกง ต่อด้วยบายพาส ชลบุรี พัทยา ถนนส่วนใหญ่โล่งครับ ทางตรงเป็นหลัก พอได้ครับ อัตราเร่งไม่น่าเกียจอะไร เพราะบางทีเพลงป๊อปเพราะๆ ก็เติมจังหวะเร็วได้เหมือนกัน และถ้าอยากให้มันแรง และเร็วขึ้นก็สามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกใช้งานได้ 3 แบบ คือ Manual, ECO และ Sport นอกจากกำลังเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนแล้ว มันจะปรับช่วงล่างให้เหมาะสมกับโหมดการขับขี่แต่ละแบบด้วย

นิสสัน JUKE ก็เหมือนกับรถนำเข้าหลายรุ่น ราคาค่อนข้างสูง เจ้านี่ขายที่ญี่ปุ่นในราคาไม่ถึงล้าน แต่ที่ขายในเมืองไทยด้วยราคา 2.09 ล้านบาทก็เพราะภาษีนำเข้านั่นเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่จะครอบครองมันต้องเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ทีเอสแอล ได้จัดราคาโปรโมชั่นในช่วงนี้ลดลงมาอีกนิดหน่อย เหลือ 1.99 ล้านบาท ส่วนในเรื่องบริการหลังการขาย เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรตัวนี้ดูแลไม่ยาก อีกทั้งทีเอสแอล ผู้นำเข้ามาขายเองก็มีความพร้อมในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ และทีมช่างที่ชำนาญในการซ่อมบำรุงรักษาอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

Ford Explorer 4X4 เธอ...เปลี่ยนไป

Ford Explorer 4X4 เธอ...เปลี่ยนไป ฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์ ถือเป็นหนึ่งในเอสยูวียอดนิยมและแต่ละปีมียอดขายนับแสนคันในตลาดสหรัฐอเมริกา...แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคเบ่งบานของตลาดรถยนต์ประเภทนี้ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1990 และต้นๆ ของช่วงทศวรรษ 2000

เพราะหลังจากนั้น ภาพรวมทางด้านยอดขายของตลาดเอสยูวีก็นับวันจะเตี้ยลงๆ เนื่องจากรสนิยมของลูกค้ารุ่นใหม่ๆ เปลี่ยนไป ส่วนลูกค้าเก่าๆ ถึงแม้ว่าอยากจะขับ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสภาพการกินน้ำมันแบบสุดโหดของเอสยูวีสไตล์อเมริกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันก็ขึ้นเอาๆ แบบไม่เกรงใจเงินในกระเป๋า ก็เลยตัดใจต้องถอยฉากดีกว่า
กับสภาพเช่นนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีเอสยูวีขนาดกลางและขนาดใหญ่อยู่ในไลน์อัพรถยนต์ที่ขายในตลาดต่างทราบถึงเรื่องนี้ดี ส่วนการจะพยายามสร้างจุดเด่นทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงให้กลุ่มลูกค้าทั้งรุ่นเก่าและใหม่ให้กลับมาสนใจได้อีกหรือไม่นั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางการตลาด และแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ของแต่ละค่ายว่าจะเด็ดแค่ไหน

ฟอร์ดก็กำลังทำเช่นนี้อยู่กับเอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อดูผ่านๆ อาจจะคิดว่าก็เป็นแค่โมเดลเชนจ์อีกรุ่นของเอสยูวีสายพันธุ์นี้ แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียดจะพบว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจาก 4 เจเนอเรชั่นที่ทำตลาดก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพื้นฐานทางวิศวกรรม ซึ่งดูแล้วเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะจำเป็นเท่าไร

อย่างที่เราทราบกันดีว่า แม้ฟอร์ดจะประสบปัญหาทางด้านการเงินและพยายามฟื้นฟูกิจการของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2006 นับจากนายใหม่อย่าง อลัน มูลัลลี่ เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO และพยายามลดต้นทุนการผลิตและพัฒนารถยนต์มาโดยตลอด แต่เอ็กซ์พลอเรอร์นั้นเดิมแชร์พื้นฐานร่วมกับปิกอัพขนาดกลางรุ่นเรนเจอร์ (คนละแบบกับบ้านเรา) มาโดยตลอด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนพื้นฐานตรงนี้ เพราะปิกอัพเหล่านี้ก็ยังมีขายอยู่ในตลาด และสามารถแชร์พื้นฐานร่วมกันได้

แต่สุดท้ายฟอร์ดกลับเลือกที่จะเปลี่ยนให้เอ็กซ์พลอเรอร์มาใช้พื้นฐานของรถเก๋งขนาดกลางอย่างฟอร์ด ทอรัส หรือลินคอล์น MKS และ MKT ใช้เลย์เอาต์ตัวถังแบบเครื่องยนต์วางขวางด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีจุดเด่นในเรื่องการตอบสนองการขับทั้งสมรรถนะ การยึดเกาะ และความนุ่มนวลบนออนโรดที่ไม่ต่างจากรถเก๋งเพราะใช้พื้นฐานระบบช่วงล่างเดียวกันแบบปีกนกคู่ SLA สำหรับด้านหน้า และอิสระ มัลติลิงก์สำหรับด้านหลัง แต่การลุยบนเส้นทางออฟโรดเป็นรองเอสยูวีที่ใช้แชสซีส์แบบขั้นบันไดของปิกอัพ

ตรงนี้เป็นความกล้าที่จะเสี่ยงมาก เพราะเท่ากับเอาเดิมพันในด้านความเชื่อมั่นของลูกค้าเก่ามาเสี่ยง แต่ถ้ามองอีกมุมก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าจะเสี่ยง เนื่องจากฟอร์ดน่าจะคิดและทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้วว่า กลุ่มลูกค้าของพวกเขาใช้งานเอ็กซ์พลอเรอร์ในแบบไหนมากกว่ากันระหว่าง 'ออนโรด' กับ 'ออฟโรด' และถ้าผลลัพธ์ออกมาอย่างที่เป็นอยู่ในลักษณะนี้ เชื่อว่าคำตอบที่ได้จากลูกค้าน่าจะเป็น 'ออนโรด' ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่ฟอร์ดได้ทำไปแล้วกับเอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่

แน่นอนว่าตรงนี้อาจถูกมองเป็นจุดด้อยสำหรับตัวผลิตภัณฑ์ในการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าอีกกลุ่มที่ยึดมั่นสมรรถนะในการใช้งานแบบออฟโรด แต่ฟอร์ดก็พยายามทำให้เกิดปัญหานี้น้อยที่สุดด้วยการที่ยังใช้คำว่า 'SUV' หรือ Sport Utility Vehicle ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่อไป แทนที่จะเปลี่ยนมาใช้คำว่า Crossover ซึ่งเป็นคำที่ฮอตฮิตสำหรับลูกค้าที่ชอบความอเนกประสงค์ในยุคนี้

นอกจากนั้น อีกประเด็นหลักที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้พื้นตัวถังรุ่นนี้ทำให้เอ็กซ์พลอเรอร์ใหม่ได้รับอานิสงส์ เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ในรหัส EcoBoost และทำให้เอ็กซ์พลอเรอร์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่กำลังมองหาเอสยูวียุคใหม่ที่มีความประหยัดน้ำมันได้

สำหรับปัจจุบัน ทิศทางของการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน สมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ การใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุต่ำจับคู่กับระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบ หรือไม่ก็ซูเปอร์ชาร์จ พร้อมกับติดตั้งเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย เช่น ระบบ Di หรือระบบวาล์วแปรผัน เข้าไป เพื่อช่วยในการรีดกำลังให้กับเครื่องยนต์ ขณะที่ความประหยัดก็ลดลง

เครื่องยนต์ EcoBoost ที่นำมาใช้เป็นแบบ 4 สูบ 2000 ซีซี. เทอร์โบ พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ Di แต่รีดกำลังออกมาได้มากถึง 237 แรงม้า มากกว่าที่ได้รับจากเครื่องยนต์วี6 4000 ซีซี. วางอยู่ในเอ็กซ์พลอเรอร์รุ่นเดิมถึง 27 แรงม้า และมีขายเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า

แต่ถ้าราคาน้ำมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ฟอร์ดก็มีอีกทางเลือกกับเครื่องยนต์วี6 พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT มีความจุ 3500 ซีซี. แต่สามารถรีดกำลังออกมาได้ 290 แรงม้า ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ได้จากเครื่องยนต์วี8 4600 ซีซี. และมีขายทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อตลอดเวลา

ส่วนจุดเด่นอื่นๆ ของตัวรถ ทางฟอร์ดก็พยายามคงความเป็นเอ็กซ์พลอเรอร์เอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์บึกบึนแข็งแกร่ง ในรุ่นใหม่นี้ถูกประยุกต์มาจากเส้นสายบนตัวถังของต้นแบบรุ่นเอ็กซ์พลอเรอร์ อเมริกาที่เปิดตัวในปี 2008 รวมถึงจำนวนเบาะนั่งในห้องโดยสาร สามารถรองรับทั้งผู้ขับและผู้โดยสารรวม 7 ที่นั่ง ด้วยเบาะนั่งแบบ 3 แถว สามารถพับได้อย่างอเนกประสงค์ตามความต้องการ แต่แต่งเติมความหรูหราในทุกรายละเอียด เพื่อให้เอ็กซ์พลอเรอร์สามารถแข่งขันกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดได้

เปิดตัวออกมาแล้ว พร้อมกับระบุราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 28,190 เหรียญสหรัฐ โดยจะเริ่มทำตลาดและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ในช่วงต้นปีหน้า แต่ในช่วงแรกคงเป็นตลาดอเมริกาเหนือเพียงอย่างเดียว ส่วนประเด็นที่ว่า ความเปลี่ยนแปลงไปของเอ็กซ์พลอเรอร์จะมีอะไรต่อความเชื่อมั่น และส่งผลต่อเนื่องไปยังยอดขายในตลาดหรือไม่นั้น...เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

06 สิงหาคม 2553

เผยโฉม All-New Citroen C4 คอมแพคท์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ก่อนเปิดตัวที่ Paris Motor Show

เผยโฉม All-New Citroen C4 คอมแพคท์แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ก่อนเปิดตัวที่ Paris Motor Show Citroen ปล่อยภาพชุดเต็มของ All-New C4 รถ Compact Hatchback 5 ประตู รุ่นปี 2011 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ 1-2 วันก่อนเพิ่งปล่อยภาพชุดแรกออกมาเรียกความสนใจจากตลาดรถในระดับ C-Segment ที่มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Volkwagen Golf, Renault Megane, Ford Focus, Opel Astra และ Toyota Auris All-New C4 มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Paris Motor Show ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้และจะเริ่มลุยตลาดด้วยการบุกยุโรปก่อนตลาดอื่นๆ C4 มีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลอย่างละ 3 รุ่นให้เลือก โดยเครื่องยนต์เบนซินจะมีเวอร์ชั่นที่รองรับ LPG ด้วยอีก 1 รุ่น รุ่นเครื่องยนต์เบนซินได้แก่ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 95 แรงม้า มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 120 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่รองรับการใช้ก็าซ LPG และรุ่นเทอร์โบเบนซิน 1.6 ลิตร 155 แรงม้า ที่ขับเคลื่อนผ่านเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ประกอบด้วยเครื่องยนต์ HDi 1.6 ลิตร 90 และ 105 แรงม้า ที่ใช้เกียร์ธรรมดา และรุ่นเครื่องยนต์ HDi 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล HDi 1.6 ลิตร จะมีเวอร์ชั่น e-HDi ที่มาพร้อมระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ และระบบไมโครไฮบริดแบบใหม่จาก Citroen ที่ใช้กับระบบ Stop & Start เจนเนอเรชั่นล่าสุดด้วย โดยกำลังรถจะเท่ากับของเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร รุ่นมาตราฐาน แต่ประหยัดน้ำมันมากกว่าและปล่อย CO2 สู่อากาศน้อยกว่า (คาดว่าจะอยู่ในระดับ 99 กรัม/กิโลเมตร ในขณะที่รุ่นมาตรฐานจะอยู่ที่ 109 กรัม/กิโลเมตร)

ที่มา autospinn.com

New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive เริ่มขายแล้ววันนี้ที่ญี่ปุ่น

New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive เริ่มขายแล้ววันนี้ที่ญี่ปุ่น ไม่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นรถรุ่นใหม่ๆที่มาพร้อมกับระบบ All-Wheel-Drive (AWD) ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแทนที่จะเป็น option ล่าสุดกรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นกับ Mazda Premacy รุ่นใหม่ที่ชูความสดใหม่ด้วยการใช้ระบบ AMD เป็นจุดขาย Premacy หรือชื่อในตลาดอื่นๆนอกญี่ปุ่นคือ Mazda5 มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ 20E และ 20S ที่มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ทั้งสองรุ่น ขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะMazda เผยว่าผู้ขับขี่สามารถเลือกระบบขับเคลื่อนให้เป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) หรือขับเคลื่อนล้อหลัง (AWD) ได้โดยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว ซึ่งรถอเนกประสงค์ระบบ AWD รุ่นนี้ได้เริ่มมีจำหน่ายแล้ววันนี้ในประเทศญี่ปุ่นในราคาเริ่มต้น 2,109,000 เยน สำหรับรุ่น 20E และ 2,314,000 เยนสำหรับรุ่น 20S ครับ
New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive
New Mazda Premacy/Mazda5 รถ MPV เวอร์ชั่น All-Wheel-Drive

ที่มา: Mazda,autospinn

03 สิงหาคม 2553

“มาสด้า3”ปรับลุคปลุกกระแสให้ดังอีกครั้ง

“มาสด้า3”ปรับลุคปลุกกระแสให้ดังอีกครั้ง หลังปล่อยให้ “มาสด้า2” ออกมาวาดลวดลาย ทำยอดขายกระฉูด ล่าสุดค่าย “ซูม ซูม” ไม่ลืมข้าเก่าเต่าเลี้ยง จัดการกระตุ้นความสดใหม่ให้เก๋งคอมแพกต์ “มาสด้า3” โดยเน้นการปรับโฉมสปอร์ตรอบคัน พร้อมเพิ่มออปชันอำนวยความสะดวก ส่วนราคาขยับตั้งแต่ 6,000 - 31,000 บาทแล้วแต่รุ่น
สำหรับ “มาสด้า 3 ลุคใหม่” แบ่งเป็น 6 รุ่นย่อยเหมือนเดิม แต่การปรับโฉมครั้งนี้ไม่ได้ไปแตะต้องรุ่นล่างสุด “1.6 กรู๊ฟ” ตัวถังซีดาน และคงราคาขายเดิม 755,000 บาท ส่วนรุ่นย่อยอื่นเปลี่ยนแปลงถ้วนหน้า โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 (สปิริต, สปิริต สปอร์ต) ที่มากับชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน ส่วนกันชนหน้าออกแบบใหม่ สปอยเลอร์หลังคาพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม และปลายท่อไอเสียสแตนเลส

ภายในตกแต่งโครเมี่ยมบริเวณช่องแอร์ แผงประตู และเบรกมือ พร้อมเพิ่มช่องต่อ AUX เสียบเครื่องเล่นแบบพกพา รวมถึงติดเซ็นเซอร์ถอยหลังมาเป็นมาตรฐาน (ยกเว้นรุ่น1.6 กรู๊ฟ)
ด้านเครื่องยนต์ MZR คงสมรรถนะเดิม ทั้งขนาด 1.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-มตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) และระบบคันเร่งแบบ Drive-By-Wire ส่วน ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ช่วงล่างอิสระ4 ล้อ (4W Independent Suspension) ด้านหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัท โช้คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ โช้คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ขึ้นชื่อเรื่องการขับขี่สนุกสนานและเกาะถนน
ความปลอดภัยระดับดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and load limiter) แป้นเบรกออกแบบพิเศษสามารถยุบตัวเมื่อเกิดการชนด้านหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ พร้อมการยุบตัวของพวงมาลัยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการกระแทกที่ศีรษะและหน้าอก (Crashable brake pedal, collapsible steering column) รวมถึงถุงลมนิรภัยพร้อมม่านนิรภัยแบบ 8 จุด
สำหรับราคา “มาสด้า 3 ลุคใหม่” รุ่น 1.6 สปิริต 830,000 บาท รุ่น 1.6 สปิริต สปอร์ต (แฮทซ์แบ็ก) 857,000 บาท ส่วน 2.0 แมกซ์ 966,000 บาท และตัวท็อป 2.0 แมกซ์ สปอร์ต (แฮทซ์แบ็ก) 1,035,000 บาท
โดย“โชอิชิ ยูกิ” บอสใหญ่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าการเปิดตัวเก๋ง “มาสด้า3 ลุคใหม่” จะส่งผลให้ยอดขายมาสด้า3 ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 6,000 คัน ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับรถรุ่นอื่นๆ จะดันยอดขายรวมปี 2553 เพิ่มขึ้นถึง 164% หรือ 35,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด5% ของตลาดรถยนต์โดยรวม

“ตลาดรถยนต์ในปีนี้ค่อนข้างคึกคัก หลังจากที่หลายๆค่ายออกมากระตุ้นกันขนานใหญ่ ส่งผลให้ตลาดรวมเพิ่มสูงขึ้นถึง 50% โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์มาสด้าช่วงหกเดือนแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย.2553) ทำได้ 16,895 คัน เพิ่มขึ้น 240% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (4,970 คัน) และจากกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์และคุณภาพรถยนต์ทั้ง 5 รุ่นของมาสด้าที่จำหน่ายในประเทศไทยในเวลานี้ โดยเฉพาะมาสด้า2 ใหม่ และมาสด้า3 ที่ประสานกันดึงลูกค้าเข้าโชว์รูม จนทำให้ยอดขายมาสด้า มีอัตราการเติบโตสูงสุดในตลาดรถยนต์เมืองไทย”

นอกจากนี้มาสด้ายังคาดการณ์ว่าปี 2553 จะเป็นปีทองของตลาดรถยนต์ไทย ด้วยยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะทำได้เกิน 700,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2552 (548,620 คัน) ประมาณ 28%

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์