25 มีนาคม 2554

รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011”

รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” เกีย ออพติมา ไฮบริด
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำเสนอภาพรถเด่นที่มาอวดโฉมภายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2011 อย่างต่อเนื่อง…ซึ่งใครพอมีเวลาอยากจะมาสัมผัสบรรยากาศจริงๆ ก็เชิญได้ตั้งแต่ 25 มีนาคม - 5 เมษายนนี้…แล้วอย่าไปผิดที่ เพราะปีนี้เขาย้ายมาจัดที่ อิมแพค ชาเลนเจอร์ฮอล์ เมืองทองธานี
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011”
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011”เกีย พิเคนโต
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” เกีย พิเคนโต
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ โอราชิ (หน้าและพริตตี้)
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ โอราชิ(มุมหลัง)
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ วิว(หน้า)
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ วิว(หลัง)
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ กาลู ใหม่
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” มิตซึโอกะ กาลู ใหม่
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” อีซูซุ ดีแมกซ์ แต่งลายโหลดเตี้ยอย่างโหด
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” รถตู้จาก เฌอรี่
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” โปรตอน เลอเค้
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” โปรตอน เลอเค้
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” Toyota FT-EV II
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” Toyota FT-EV II
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” Toyota FT 86 Concept
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” Toyota FT 86 Concept
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” โตโยต้า ผ่า พริอุส ให้เห็นเทคโนโลยี
รวมภาพรถเปิดตัวงาน “บางกอกมอเตอร์โชว์ 2011” โตโยต้า ผ่า พริอุส ให้เห็นเทคโนโลยี
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

22 มีนาคม 2554

ด่วน!ปิกอัพ“โคโลราโด”เผยโฉมครั้งแรกในโลก

วันนี้ (21มี.ค.) จีเอ็ม และ เชฟโรเลต จัดการเผยโฉมปิกอัพต้นแบบ “โคโลราโด ใหม่” ก่อนจะนำมาเปิดตัวสู่สายตาชาวไทยครั้งแรกในโลกที่ “บางกอก มอเตอร์โชว์ 2011” ซึ่งจะเปิดรอบวีไอพีวันแรก 23 มีนาคมนี้ ส่วนรอบบุคคลทั่วไปเริ่ม 25 มีนาคม - 5 เมษายน 2554
เชฟโรเลต โคโลราโด ต้นแบบ มากับรูปทรงแข็งแกร่งบึกบึน ตัวถังแบบเอ็กซ์เทนเดด-แค็บ หรือแบบ 2 ประตูพร้อมแค็บและที่นั่งด้านหลังคนขับ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ยกสูง สะดุดตาด้วยล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้วและยางแบบออฟโรด พร้อมสมรรถนะแห่งความแรงอันยอดเยี่ยมด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบขนาด 2.8 ลิตร ให้แรงบิดต่อเนื่องตอบสนองทุกการใช้งาน

สำหรับ โคโลราโด ใหม่ ได้รับการสร้างสรรค์จากหน่วยงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกของจีเอ็ม โดยฝีมือทีมวิศวกรที่ทำงานอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับการเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยนานหลายเดือนของทีมหัวหน้าวิศวกร ที่เฝ้าสังเกตภาวะตลาดรถเมืองไทย และการใช้งานปิกอัพของลูกค้าชาวไทย ตลอดจนสำรวจคุณภาพท้องถนนเกือบทั่วประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าปิกอัพรุ่นใหม่นี้จะตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากที่สุด

โดยเป้าหมายการออกแบบของรถต้นแบบโคโลราโด คือ การนำเสนอความแข็งแกร่งออกมาทางตัวถังที่มีขนาดใหญ่และมั่นคง ด้านหน้าโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์กระจังหน้าสองชั้น และโลโก้โบไทสีทองอันโดดเด่นของเชฟโรเลตนำสายตาทุกคู่ไปสู่กรอบไฟหน้าที่พาดเฉียงขึ้นไปบนฝากระโปรงรถ ซึ่งเชื่อมต่อกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ดูทรงพลัง
ขณะที่สีสันของตัวถังด้านหน้ารถเลือกใช้สีเมทัลลิกชนิดพิเศษที่เรียกว่า ‘เปปเปอร์ดัสต์’ ตัดกับอลูมิเนียมขัดเงา เข้าคู่กับบันไดด้านข้างที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของตัวรถ การออกแบบกรอบไฟหน้าโคมดำพร้อมหลอดไฟแบบแอลอีดี เช่นเดียวกับไฟท้ายแบบแอลอีดีทั้งหมดจะสามารถดึงดูดสายตาทุกคู่ในยามค่ำคืน

การออกแบบตัวถังภายนอกส่วนอื่น ประกอบด้วย

-การออกแบบช่วงแค็บที่ไหลลื่น พร้อมปิดกระบะท้ายสีเดียวกับตัวถังรถ
-แถบสีเทาเข้ม พาดผ่านด้านหน้า ด้านข้าง และด้านท้ายรถ
-ล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้ว สีเทาเข้ม ตกแต่งแบบ “ลิควิด เมทัล”
-ยางออฟโรด คูเปอร์ ซีออน แอลทีแซด ขนาด 285/50 R20
-กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแอลอีดี

ภายในห้องโดยสารแบบดูอัล-ค็อกพิท เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเชฟโรเลตที่เน้นความสมดุลลื่นไหลตลอดคอนโซลหน้าไปจนถึงแผงข้างประตู มีการแทรกดีไซน์แบบบิดโค้งเพื่อเพิ่มความล้ำสมัย แสงไฟในห้องโดยสารสีฟ้าไอซ์บลู เบาะหนังตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน เน้นให้เห็นสัมผัสของความสะดวกสบาย กว้างขวาง และรื่มรมย์ตลอดการเดินทาง

การแตกแต่งเน้นโทนสีต่างเพิ่มความหรูหรา เบาะหนังสีอ่อนตัดกับลายไม้สีเข้มและโครเมียม พร้อมพื้นผิวที่ไม่มีความมันมากนัก และวัสดุอื่นๆที่ให้สัมผัสอ่อนนุ่ม ช่องเก็บของหลากหลายขนาดถูกติดตั้งทั่วห้องโดยสาร รวมถึงช่องเก็บของที่มีฝาปิดมิดชิดเพื่อเก็บของมีค่าและช่องเก็บของขนาดใหญ่บริเวณคอนโซลด้านหน้าแบบสองชั้นแสดงความหรูหราและตัวตนของเจ้าของรถ ตลอดจนช่วยสร้างความรู้สึกแบบพรีเมียมให้ผู้โดยสารแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวกครบครัน ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน และระบบให้ความบันเทิงแบบ “อินโฟเทนเมนท์” เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเชฟโรเลต โคโลราโด ส่วนคอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอแอลซีดีขนาด 7 นิ้วสำหรับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อเว็บไซต์ การปรับเลือกเพลง และการใช้งานโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี

…เตรียมพบกับ ต้นแบบ “เชฟโรเลต โคโลราโด” ในงานบางกอกมอเตอร์ 2011 ส่วนคิวทำตลาดในไทยคาดว่าไม่น่าจะเกินช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

17 มีนาคม 2554

“มาสด้า 3 ใหม่” ประเดิมเครื่อง 2.0 ลิตร...1.064 ล้านบาท

เช้าวันนี้ (17 มี.ค.) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “มาสด้า 3 โมเดลเชนจ์” โดยประเดิมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาพร้อมกันทั้งตัวถังแฮตช์แบ็กและซีดาน สนนราคาขาย 1.064 ล้านบาท
สำหรับ All New Mazda3 มาพร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว สไตล์ “ซูม-ซูม” ส่วนเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม Paddle Shift ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ

ออปชันเด่นทั้งไฟหน้าโปรเจกเตอร์แบบไบซีนอน พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบ LED รูปทรงสปอร์ต ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เปิด-ปิดประตูโดยไม้ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท พร้อมระบบ Push Start Button เพียงปลายนิ้วสัมผัส รวมถึงซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบการควบคุมการทรงตัว DSC ให้ความมั่นทุกการเข้าโค้ง ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 17 นิ้วโดย โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า มาสด้า 3 เจเนอเรชันใหม่ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้มาสด้าในประเทศไทยอีกครั้ง เพราะเป็นยนตรกรรมคุณภาพที่ผู้บริโภครอคอยมากที่สุดในปีนี้ ทั้งแนวทางการออกแบบรูปโฉมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา รูปลักษณ์ให้ความรู้สึกสปอร์ตแม้ขณะเคลื่อนไหวหรือขณะจอดนิ่งสงบอยู่กับที่ โฉบเฉี่ยวปราดเปรียว พร้อมการประกอบอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง

“สิ่งที่ทำให้มาสด้า 3 โดดเด่น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนารถสปอร์ต เรียกว่า “เทคโนโลยีไลต์เวท” (Lightweight Technology) ลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของรถลง แต่ช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น ขณะเดียวกันช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม 3%” สำหรับมาสด้า 3 ใหม่ สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลงถึง 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และที่แน่นอนคือ ระบบช่วงล่างอันเลื่องชื่อของมาสด้า ทุกองค์ประกอบ จึงตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนานตามแบบฉบับ “ซูม-ซูม” อย่างแท้จริง

มาสด้า 3 ใหม่ เริ่มแรกจะมีด้วยกัน 2 รุ่น คือ แฮตช์แบ็ก 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ราคา 1,064,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

16 มีนาคม 2554

ฟอร์ด โฟกัส”2.0ลิตรเพิ่มออปชันเปิดราคา8.49แสนบาท

ฟอร์ด รุกตลาดเก๋งคอมแพกต์ ส่ง “โฟกัส” รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พร้อมปรับเพิ่มออปชันทั้งตัวถังแฮทซ์แบ็ก และซีดาน แต่เปิดราคาเพียง 8.49 แสนบาท

สาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานฝ่ายการตลาด การขาย และการบริการ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัว โฟกัส เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร รุ่น “เกีย พลัส” และ “สปอร์ต พลัส” สนนราคา 849,000 บาท (ราคารุ่น เกีย และสปอร์ต เดิม 919,000 บาท) พร้อมแถมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง “ฟอร์ดนำเสนอโฟกัส ใหม่ ในราคาที่เร้าใจ เพื่อเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว”

โดย ฟอร์ด โฟกัส รุ่น 5 ประตู สปอร์ต พลัส ได้รับการตกแต่งด้วยชุดอุปกรณ์สไตล์สปอร์ตรอบคัน ทั้งสเกิร์ตด้านหลัง ด้านข้าง และสปอยเลอร์ท้าย พร้อมเพิ่มสีใหม่สีแดงสด Tango Red ขณะที่โฟกัส รุ่น 4 ประตู เกีย พลัส ตกแต่งด้วยชุดอุปกรณ์สปอร์ตรอบคันเช่นกัน ทั้งสเกิร์ตด้านหน้า สปอยเลอร์ท้าย และชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรก พร้อมที่พักเท้าสไตล์สปอร์ต

ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดูราเทค ขนาด 2.0 ลิตร เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยมากมาย อาทิ ระบบไฟหน้าแบบอัตโนมัติ กระจกมองด้านหลังพร้อมไฟหรี่แบบอัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์ถอยหลัง รวมทั้งระบบเกียร์แบบซีเควนเชี่ยลสปอร์ตชิฟท์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่และทำให้โฟกัสใหม่ให้การประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม

นอกจากการเปิดตัวรุ่นเกีย พลัส และสปอร์ต พลัส แล้ว ฟอร์ดยังมอบข้อเสนอพิเศษสุดสำหรับฟอร์ด โฟกัส รุ่นอื่นๆ ภายในงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 4 เมษายนนี้ ด้วยแคมเปญพิเศษ ดาวน์ 25 % และผ่อนนาน 48 เดือน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 0.99% โดยฟอร์ด โฟกัส ทุกรุ่นมอบความคุ้มครองประกันภัยชั้น 1 ตลอด 1 ปีเต็ม ทั้งยังมอบส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 30,000 บาท สำหรับฟอร์ด โฟกัส ฟิเนส เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร อีกด้วย
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ใหม่!“อีซูซุ มิว-เซเว่น ช้อยส์”ทางเลือกคนชอบเท่

อีซูซุ เตรียมใช้เวทีบางกอกมอเตอร์โชว์ 2011 เปิดตัว รถรุ่นพิเศษ “มิว-เซเว่น ช้อยส์” (MU-7 Choiz) ชูแนวคิด “สนุกกับชีวิตที่เลือกได้...ในสไตล์คุณ” (Your way…Your Choiz) สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้รถรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น พร้อมรูปลักษณ์สะดุดตา ผสานกับห้องโดยสารภายในโทนสีเทาดำ รับความสปอร์ตเร้าใจ
“รุ่นพิเศษ! อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” (Isuzu MU-7 Choiz) มาพร้อมกับคำนิยามที่แตกต่าง

C : Career - Focused เฉียบกับงาน...มุ่งมั่นกับชีวิต
H : Hip ฉีกกฎไลฟ์สไตล์...ดีไซน์ชีวิตเอง
O : Outstanding ไล่ล่าความท้าทาย...เป้าหมายคือความสำเร็จ
I : In-Trend เหวี่ยงให้สุด...ไม่หลุดกระแส
Z : Zesty สนุกสุดมัน...ทุกวันของชีวิต

“รุ่นพิเศษ! อีซูซุมิว-เซเว่น ช้อยส์” รถยนต์นั่งอเนกประสงค์คันเท่ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมให้เลือกคอลเลกชั่นใหม่ให้ชีวิต สะท้อนความคิดและตัวตนด้วย 2 สี โดดเด่น สีขาวมุก Silky White Pearl หรูหรา ทันสมัย ล้ำสไตล์ และ สีดำไมก้า Starry Black Mica สปอร์ต เท่ สุดท้าทาย

โดดเด่นด้วยชุดกันชนหน้า พร้อมสปอยเลอร์ด้านหน้าและด้านท้ายดีไซน์สปอร์ตเร้าใจ เพิ่มสีสันของสคูปฝากระโปรงหน้า บันไดข้าง Roof Garnish และสปอยเลอร์หลังคาสไตล์ Metro Life ดุดันกับชุดไฟหน้าและไฟท้าย ดีไซน์กรอบสีโครเมี่ยม แบบ Smoked Chrome พร้อมชุดตกแต่งไฟเบรกดวงที่ 3 HMSL (High Mounted Stop Lamp) แบบ LED ประกบล้ออะลูมินั่มสีเทา Blue Sapphire
ภายห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีเทา-ดำ ส่วนเบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำ แบบ Red Stitch ให้อารมณ์สปอร์ต พร้อมพวงมาลัย และหัวเกียร์หุ้มหนังแท้สีเทาดำ แต้มด้วยชุดลายไม้ Black Wood Grain ที่คอนโซลหน้าและแผงข้างประตู

นอกจากนี้ยังอัดออปชันอำนวยความสะดวกมาให้เพียบตามสไตล์อีซูซุ ทั้ง ชุดเครื่องเสียงชั้นดีจาก Kenwood จอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบไร้สาย Built-in Bluetoothพร้อมระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ ไอ-จินนี่

รวมถึง Titanium Vision ระบบกล้องมองภาพด้านหน้ารถ และกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ มองเห็นภาพด้านหน้าทั้งซ้ายและขวา ภาพมุมกว้าง และมุมก้ม ลดมุมอับ พร้อมมุมมองจากกล้องมองภาพด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าจอด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น
ด้านเครื่องยนต์รุ่น 4JJ1-TCX 3000 Ddi VGS Turbo ขนาด 3,000 ซีซี DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบพิเศษแบบแปรผัน VGS Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่พิเศษ กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

สำหรับราคา“มิว-เซเว่น ช้อยส์” อีซูซุยังไม่เปิดเผย แต่เชื่อว่าจะปรับเพิ่มจากรุ่้นปกติ(1.202 ล้านบาท)แน่นอน ซึ่งต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ที่จะจัด ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม ถึง 5 เมษายนนี้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

15 มีนาคม 2554

รู้หลัก 'ดัดแปลงรถ' ขับขี่ปลอดภัย...ห่างไกลอุบัติเหตุ

อยากมีรถสวยเท่ ขับไปไหน ๆ ก็มีแต่คนมอง คงหนีไม่พ้นต้องไปพึ่งพาร้านแต่งรถ

แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ต้องการดัดแปลงรถต้องไม่ลืมนึกถึงก็คือ ความปลอดภัยในการขับขี่ทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ!!

ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ นักแข่งรถผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์มากว่า 35 ปี กล่าวถึงการตกแต่งหรือดัดแปลงรถให้ฟังว่า เป็นธรรมชาติของทุกคนที่มีรถก็อยากให้รถของตนเองสวย ดูดี เพราะโดยปกติรถยนต์ที่ออกมาจากโชว์รูมหรือออกมาจากโรงงานมักจะมีรูปแบบที่ธรรมดาเน้นการใช้งาน ผู้รักรถทั้งหลายจึงมักจะนำรถยนต์ไปแต่งเติมส่วนนั้น ส่วนนี้เพิ่มขึ้น เพราะในปัจจุบันมีร้านและอุปกรณ์ที่ตอบสนองในเรื่องนี้อยู่หลากหลายร้านด้วยกัน

การดัดแปลงรถที่ทำกันนั้น เริ่มจาก ในส่วนของ ล้อแม็กกับยาง เนื่องจากว่า ขนาดของยางที่ออกมาจากโรงงานจะเป็นขนาดมาตรฐานแต่ส่วนใหญ่จะเป็นขนาดที่เล็กเกินไป จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วยเหตุผลประการแรก คือ ความสวยงาม และอีกเรื่องหนึ่ง คือ การเกาะถนน เพราะยางที่ติดรถออกมาจากโรงงานจะมีซีรีส์หรือความสูงของยางค่อนข้างสูง

โดยปกติยางรถที่ซีรีส์มาก ๆ แก้มยางจะสูงตามไปด้วย ซึ่งจะมีผลตรงที่ว่า ถ้าเป็นการขับใช้งานแบบทั่ว ๆ ไป ตามปกติที่ต้องใช้ความนุ่มนวล ในเรื่องของการยึดเกาะถนนจะมีอาการโคลงเมื่อขับเลี้ยวโค้ง ที่ต้องใช้ความเร็วสูง เพราะล้อจะปลิ้นได้ง่าย ประกอบกับถ้าเติมลมยางไม่เหมาะสมจะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ยางหลุดออกจากขอบกระทะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าต้องขับรถในช่วงที่ต้องใช้ความเร็วสูง ๆ จึงนิยมเปลี่ยนล้อแม็กกับยางกัน เพื่อให้ขนาดความกว้างของหน้ายางมีมากขึ้น พื้นที่ของยางเตี้ยลง ทำให้สัมผัสของยางกับหน้าถนนจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้มีการยึดเกาะติดถนนได้มากขึ้น

“ในส่วนของล้อบางคนจะเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้น ตรงนี้จำเป็นต้องคำนวณให้ดี คือ ถ้าจะเปลี่ยนหรือดัดแปลงล้อรถจะต้องเปลี่ยนให้เกิดความสมดุลกับรถด้วย เพื่อให้มาตรวัดความเร็วไม่เพี้ยนมากนัก บางคนใส่ล้อใหญ่ ๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่การออกตัวก็หนัก ขับก็ลำบาก กินน้ำมัน ด้วย แต่มักจะไม่ค่อยสนใจในเรื่องเหล่านี้กัน เอาสวยเข้าว่า”

การจะเปลี่ยนล้อและยางหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ถ้าซื้อรถมาเพื่อต้องการใช้งานในชีวิตประจำวันโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากนัก ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ยางจะมีอายุการใช้งานใกล้เคียงกันหมด แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วใช้งานรถให้เต็มกับสมรรถนะ เช่น ใช้รถเพื่อแข่งกับเวลาในบางช่วงเวลา บางพื้นผิวถนนที่ต้องใช้ความเร็วสูง โดยต้องการการยึดเกาะถนนมาก ๆ การเปลี่ยนตรงนี้ก็จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้นในการขับขี่แต่ต้องคำนึงด้วยว่า การเปลี่ยนยางที่มีซีรีส์ต่ำ จะเหมาะในสภาพพื้นผิวถนนที่เรียบ เพราะยางมีโอกาสแตกได้ง่าย รวมทั้ง กระทะล้อเบี้ยวเสียรูปได้ง่ายอีกด้วย การใช้งานจึงต้องระวังค่อนข้างสูง

จากนั้นจะนิยมเปลี่ยนโช้คให้เตี้ยลงเรียกว่า โหลดเตี้ย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี คนที่มีงบประมาณน้อยก็จะเลือกวิธีการตัดสปริง ซึ่งการทำอย่างนี้ เท่ากับไปเปลี่ยนแปลงมาตรฐานสโตรกหรือช่วงยึดของโช้คอัพ ซึ่งเหลือน้อยเกินไปสำหรับการใช้งานในสภาพท้องถนนบ้านเรา ส่งผลให้ซีลรั่ว น้ำมันก็จะไหลรั่วซึมออกมา ทำให้โช้คอัพเสีย การขับก็ค่อนข้างจะลำบาก นั่นคือ การดัดแปลงรถวิธีนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก สำหรับผู้ที่มีงบประมาณเพียงพอ ก็จะไปซื้อโช้คกับสปริงที่สำเร็จมาซึ่งในท้องตลาดมีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน การเปลี่ยนอย่างนี้ก็จะได้ประสิทธิภาพของโช้คอัพเต็มที่

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการโหลดเตี้ย คือ ถ้าโหลดเตี้ยมากเกินไป โช้คอัพจะกระทบหรือที่เรียกว่ายัน ทำให้การขับรู้สึกว่าเหมือนไม่มีโช้คอัพ เพราะช่วงชักขึ้น-ลงของโช้คจะสั้น ถี่ขึ้น ทำให้คนที่นั่งในรถต้องรับแรงกระแทกเต็ม ๆ รู้สึกว่ารถสะเทือน รวมทั้ง ต้องคำนึงถึงขนาดยางด้วย ถ้าขนาดยางไม่ใหญ่มากจนเกินไป เวลาเลี้ยวล้อจะไม่ไปติดซุ้มบังโคลน แล้วก็ไม่ต้องใช้แรงมากในการเลี้ยวด้วย โดยเฉพาะรถที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์จะช่วยได้ ตรงนี้ต้องใช้ขนาดของยางให้ถูกต้องด้วย รถจะได้ไม่กินน้ำมัน อีกทั้งไม่เป็นอันตรายหรือเป็นอุปสรรคในการขับขี่อีกด้วย

และที่มาคู่กัน คือ การยกสูง ซึ่งเป็นการทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถเปลี่ยนไป โดยจะทำให้รถมีการโคลงตัวมาก ทำให้การเลี้ยวโค้งในความเร็วสูง มีความอันตราย น่ากลัว มีความเสี่ยงเกิดขึ้น

“การดัดแปลงรถในลักษณะเช่นนี้ต้องมาดูการใช้งานแล้วว่า จะทำรถยกสูงไปใช้งานอะไร ถ้าต้องการหนีน้ำท่วม หรือนำรถไปใช้งานในพื้นที่ทุรกันดาร สมควรดัดแปลงรถให้สูงขึ้น เพราะจะเป็นการช่วยให้ใต้ท้องรถรอดพ้นจากอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ ช่วยทำให้รถไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ซึ่งต่างจากโหลดเตี้ย หากนำรถไปใช้ในพื้นที่ทุรกันดาร หรือพื้นที่ที่น้ำท่วม ที่ลุ่ม ก็จะไม่เหมาะสม ท้องรถติดพื้นแน่ ๆ”

การยกรถให้สูงขึ้น จะต้องเปลี่ยนล้อและยางให้สมดุล เหมาะสมกันด้วย ไม่ใช่ยกรถสูงแต่ยังใช้ยางที่เป็นยางธรรมดา ปกติทั่วไป ตามหลักเมื่อยกรถสูงขนาดยางจะต้องใหญ่ขึ้น ด้านการขับจะมีอุปสรรคเหมือนกัน คือ ขับค่อนข้างลำบาก ต้องกะ ประมาณให้ดี ประการต่อมา คือ กินน้ำมัน รวมทั้งในเรื่องของมาตรวัดความเร็วก็จะเพี้ยนไปมาก ฉะนั้น คนที่ขับรถยกสูงจะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า อาทิ ในเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน จำต้องมีการคิดคำนวณให้ดีด้วย

มาถึงการดัดแปลง ไฟหน้า ซึ่งถือว่ากำลังนิยมกันมาก ในช่วงนี้กระแสมาแรง ณัฐวุฒิ กล่าวถึงการดัดแปลงในส่วนนี้ว่า เป็นเรื่องปกติที่คนที่ขับรถในเวลากลางคืนต้องการทัศนวิสัยที่ดี การมองเห็นที่ชัดเจน แต่ถ้าสังเกตให้ดีโดยส่วนใหญ่แล้วรถยนต์มักจะติดฟิล์มดำกันมาก พอติดฟิล์มมืด แน่นอนจะขับสบายในเวลากลางวัน ไม่ร้อน แต่พอกลางคืนจะมองไม่เห็นแล้ว ฉะนั้น จึงแก้ปัญหาด้วยการดัดแปลงโดยจะต้องเพิ่มความสว่างของไฟหน้าให้มีความสว่างมากขึ้น เพื่อที่จะชดเชยกับฟิล์มที่ติดดำมืด

“เราลืมมองไปว่า สิ่งที่กำลังพยายามไปชดเชยกับฟิล์มที่ติดดำจนเกินไปทำให้เวลากลางคืนมองไม่ค่อยเห็นนั้น ถ้าเราไม่ติดฟิล์มดำจนเกินไปก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟหน้าแสงสว่างมากขนาดนั้นในเวลากลางคืน โดยไฟหน้าที่นิยมเปลี่ยนกันจะเป็นหลอดซีนอน เป็นหลอดไฟที่ให้ความสว่างมากกว่าหลอดไฟทั่วไปหลายเท่า รวมทั้งมีความทนทาน ใช้ได้นาน

เมื่อเปลี่ยนแล้วทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นดีขึ้น สว่าง เห็นอะไรได้อย่างชัดเจน สบายเราแต่ลำบากเพื่อนร่วมทางเป็นอย่างมาก เพราะไฟซีนอนเป็นหลอดไฟที่ให้ความสว่างมาก จ้ามาก ทำให้เวลารถขับสวนกัน แสงไฟจะไปรบกวนสายตา แสงเข้าไปแยงตาคนขับฝั่งตรงข้าม ทำให้ไม่สามารถที่จะมองถนนได้เลย ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีกด้วย”

การติดไฟหน้าที่ดีควรเป็นไฟสีขาวหรือเหลืองอ่อน ความเข้มของแสงไม่ควรเกิน 55 วัตต์ และติดตั้งสูงจากผิวทางถนนไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร รูปแบบการกระจายแสงต้องอยู่ในระดับตรงช่องจราจรและไม่รบกวนสายตาผู้ขับขี่ที่ใช้ถนนร่วมกัน

นอกจากนั้น ยังมี ไฟตัดหมอก ที่มักเปลี่ยนให้เป็นแสงสีขาว ซึ่งการใช้งาน
จริง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพควรจะเป็นแสงสีเหลือง และควรเปิดใช้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่หมอกลง ฝนตกหนัก มีควันหรือฝุ่นละอองมากเท่านั้น โดยปรับมุมแสงให้เหมาะสมในการใช้งาน

รวมทั้ง ไฟสปอตไลต์ ซึ่งติดอยู่ใต้กันชน บางคนดัดแปลงใส่อยู่ในระดับเดียวกับไฟหน้าเลย ตรงนี้เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะลักษณะของสปอตไลต์ลำแสงจะออกมาแบบกระจาย อาจไปรบกวนสายตารถที่สวนกันได้ การดัดแปลงในส่วนนี้ต้องควบคุมเรื่องของมุมแสงให้เหมาะสม โดยแสงควรที่จะให้เห็นความสว่างจากหน้ารถไปประมาณ 2-3 เมตรเท่านั้น

ยังมีในส่วนของ ท่อไอเสีย ที่นิยมเปลี่ยนกันและเกิดผลกระทบน่าจะเป็นส่วนของ แคตตาไลติก คือ ตัวกรองไอเสีย ซึ่งปกติเป็นมาตรฐานอยู่แล้วที่รถทุกรุ่น ทุกคันจะต้องมี แต่ก็มีหลายคนที่ถอดตัวกรองไอเสียออก เพราะมันจะไปอั้น เนื่องจากตัวกรองไอเสียจะมีลักษณะเป็นไส้ พอเอาออกตัวกรองไอเสียออกก็จะโล่ง ไอเสียออกเร็ว พอไอเสียออกเร็วก็จะให้กำลังของเครื่องยนต์ดีขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น ความเร็ว
ตีนปลายก็ดีขึ้น

“ผลที่ตามมา คือ เกิดมลพิษอย่างแน่นอน เพราะไม่มีการกรองของเสียก่อนปล่อยออกมา สิ่งที่ออกมาจึงเป็นของเสีย ล้วน ๆ ต่อมา คือ เสียงดัง ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่า รถคันนั้นจะมีตัวเก็บเสียงที่เรียกว่าไซเรนเซอร์อยู่กี่ลูก ปกติจะมี 2 ลูก อยู่ที่กลางรถหนึ่งลูก ท้ายรถอีกหนึ่งลูก ถ้าคันใดมี 2 ลูกก็จะดังน้อยกว่าที่มีลูกเดียวหรือไม่มีเลย โดยจะมีเสียง ทุ้มและดัง รบกวนผู้อื่นเป็นอย่างมาก แต่จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนขับเพราะรถจะขับลื่นและเร็วขึ้น ตรงนี้อย่าลืมว่า เมื่อรถขับได้ลื่นขึ้น เร็วขึ้น การกินน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นไปตามสัดส่วนด้วยเช่นกัน”

ณัฐวุฒิ กูรูรถกล่าวทิ้งท้ายว่า การดัดแปลงรถเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แต่ต้องทำอย่างเหมาะสมและถูกต้อง การทำอะไรที่ถูกกฎหมายก็จะสบายใจ ไม่ต้องกังวล รวมทั้ง จะได้ใช้รถบนท้องถนนกันอย่างสบายใจทุกฝ่าย และที่สำคัญคนขับต้องมีวินัย มีระเบียบให้กับตัวเอง พยายามใส่ใจทั้งตัวเองและคนรอบข้างให้มาก

’ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ก็ควรใส่ใจ ตรงนี้สามารถทำได้โดยการฝึกฝน ปลูกฝังกันได้ตั้งแต่เด็ก ๆ อยากให้คนใช้รถบนท้องถนนเป็นคนรุ่นใหม่ ที่รักษากฎระเบียบจราจร มีวินัยในการใช้รถ ใช้ถนน แล้วปัญหาบนท้องถนนจะเบาบางลง“.

++++++++++++++++++++++++++
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจดัดแปลงรถ

1. ควรศึกษาการดัดแปลงรถในแต่ละส่วนเสียก่อน โดยไม่จำเป็นจะต้องศึกษาให้ท่องแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก่อนทำควรถามข้อมูลจากผู้รู้ โดยที่ผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่รู้จริงหรือจากผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้วและไม่โกหก เพื่อจะได้รู้ว่าการดัดแปลงในส่วนต่าง ๆ มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

2. ควรดูสภาพรถด้วยว่า ควรจะดัดแปลงแค่ไหน เพราะบางครั้งการเปลี่ยนแปลงรถโดยไม่ดูสภาพรถอาจก่อให้เกิดปัญหาในส่วนอื่น ๆ ตามมาได้ เพราะอะไหล่ของรถย่อมเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน จึงต้องดูส่วนประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วยว่าเมื่อเปลี่ยนตรงนี้แล้วตัวที่รองรับอยู่ไหวหรือไม่ เหมือนกับการใส่รองเท้า ปกติใส่เบอร์ 5 ก็ใส่สบาย เดินสบาย แต่พอมาใส่เบอร์ 7 น้ำหนักมากขึ้น การเดินลำบาก ส่งผลไปถึงข้อเท้า ข้อเข่า รถก็เช่นเดียวกันจะลามไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ ถ้าไม่คำนึงถึงสภาพของรถ

3. เมื่อมีความรู้แล้ว นำมาพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะมาปรับเปลี่ยนกับรถของเรา เพื่อการนำมาใช้งานจะได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากการลงทุน

4. จากนั้นต้องพิจารณาในเรื่องของงบประมาณด้วย โดยให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ จะได้ไม่เดือดร้อนทั้งกับตนเองและครอบครัว เพราะการดัดแปลงที่มากจนเกินไป บางครั้งไม่ได้ใช้ให้เต็มสมรรถนะตามที่เสียเงินไป การเปลี่ยนตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงควรทำให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานและงบประมาณที่มีอยู่ อย่าทำให้งบบานปลาย เลือกทำให้สมเหตุสมผล อย่าใช้ความชอบ ความพอใจ เพราะการทำจะไม่เกิดประโยชน์ในการใช้งาน เสียเงินเปล่า

5. มีความรู้ด้านกฎหมาย เวลาดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนรถในส่วนใดจะได้ทำในขอบเขตของกฎหมายที่กำหนดไว้.

ที่มา ทีมวาไรตี้เดลินิวส์

13 มีนาคม 2554

ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต ใหม่ ซีดานทรงสปอร์ตคูเป้

หลังจากได้เห็นรูปโฉมของฮุนได โซนาต้า สปอร์ต ใหม่ ด้วยตาตัวเอง ในงานเปิดตัวเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ สนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ (แดนเนรมิตเก่า) ผมเห็นด้วยกับข้อเขียนคุณอ้วนซ่าแอบซิ่ง เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่บอกว่า “โซนาต้าใหม่นั้น ถูกสร้างขึ้นโดยมีรูปทรงคล้ายคลึงกับแนวคิดของเบนซ์ ซีแอลเอส คือเป็นซีดานทรงสปอร์ตคูเป้” เสียจริง ๆ

สำหรับแนวคิดในการออกแบบเจ้าโซนาต้า สปอร์ต ใหม่ ก็คือ “คอลมี คูเป้” หรือ “เรียกฉันว่ารถสปอร์ตคูเป้” ซึ่งจากแนวความคิดนี้ จะเห็นว่าส่วนหน้าถูกออกแบบให้มีลักษณะที่เรียวยาว ทำมุมลาดต่ำแบบรูปลิ่ม ส่วนชุดไฟหน้าแบบโคมคู่ มีรูปทรงที่รับกับแนวของแก้มบังโคลนหน้าและกันชน ส่งให้ภาพลักษณ์ด้านหน้ารถดูดุดันกว่าเบนซ์ ซีแอลเอส ที่หลาย ๆ คนคิดว่าฮุนไดลอกแบบมาเสียอีก

ส่วนทางด้านข้างมีความโดดเด่นอยู่ที่หลังคาแก้วสุดหรู ดูดีกว่าคู่แข่งในรุ่นเดียวกันอยู่หลายขุม ยิ่งมาผสานกับเส้นสันที่ลากยาวผ่านแนวของมือจับเปิดประตูหน้าและหลัง และแนวหลังคาทรงต่ำที่มีส่วนทรงโค้งทำมุมลาดแบบรถสปอร์ต จึงทำให้เมื่อมองดูจากมุมเฉียง 45 องศาแล้ว ตัวรถแบบ 4 ประตูกลับละม้ายคล้ายเหมือนรถสปอร์ต 2 ประตู (คูเป้) ตามแนวคิดในการออกแบบ “คอลมี คูเป้” สำหรับชุดไฟท้ายก็มีรูปทรงที่ยาวโอบรับไปจดด้านข้างของตัวรถ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นโคมไฟท้ายที่ออกแบบได้ดูดีที่สุดในบรรดารถเกาหลีที่เคยเห็นมาเลย

ส่วนการตกแต่งภายในจะเล่นสีสันแบบทูโทน ดำตัดกับคิ้วโครเมียม ตัวคอนโซลหน้าที่ออกแบบให้ดูกลมกลืนกับแผงข้างประตู ช่วยเสริมราศีให้ดูภูมิฐานแบบรถยุโรป สำหรับเบาะคู่หน้าถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่และนิ่ม นั่งสบาย ตัวเบาะปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมบันทึกความจำได้ 3 แบบ ส่วนตัวเบาะนั่งหลังก็มีพื้นวางขา กว้างดี และยังสามารถพับลงได้แบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ นอกจากนี้ที่ด้านหลังคอนโซลกลางยังมีช่องแอร์แยกมาให้อีกด้วย

ภายใต้ฝากระโปรงหน้าของโซนาต้า สปอร์ต ใหม่ จะบรรจุไว้ด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังบิดสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมทั้งติดตั้งก้านเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลังพวงมาลัย เพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา

ระบบช่วงล่างเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ โดยทางด้านหน้าจะใช้แบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ พร้อมทั้งติดตั้งระบบกระจายแรงเบรก (อีดีบี) ระบบป้องกันล้อล็อก (เอบีเอส) ส่วนระบบควบคุมการทรงตัวจะมีให้เฉพาะในรุ่นจี

สำหรับโซนาต้า สปอร์ตใหม่ ที่ฮุนไดนำเข้ามาขายในบ้านเรานั้นจะมีอยู่ 2 รุ่นด้วยกันคือ รุ่นเอส สนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,550,000 บาท และรุ่นจี ราคา 1,870,000 บาท และถ้าคุณผู้อ่านอยากเห็นโฉมหน้าของ ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต ใหม่ ก็สามารถไปชมได้ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ช่วงปลายเดือนนี้ครับ.

สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์
ที่มา เดลินิวส์

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ แรงจากสนามสู่ถนน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้เปิดตัว มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ใหม่ แรกเห็น ดูดีมีเสน่ห์ไม่น้อย ด้วยภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าใหม่ ที่ลงตัวกับไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบไบ-ซีนอน ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน แผงครอบใต้กันชนหลัง ที่เปิดประตูด้านนอกแบบโครเมียมและล้ออัลลอยลายใหม่

ส่วนภายในมีให้เลือกแตกต่างกันในแต่ละรุ่น ทั้งโทนสีดำ คอนโซลหน้าแบบจีโอเมทริก โทนสีเบจ คอนโซลหน้าแบบลายไม้ เป็นต้น เน้นการติดตั้งอุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานได้อย่างลงตัว ให้ประโยชน์การใช้สอยได้มากยิ่งขึ้น เช่น มาตรวัดเรืองแสงแบบความคมชัดสูง ช่วยให้ง่ายต่อการอ่าน พร้อมจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์ “ทวินไทป์ แอลซีดี ดิจิตอล” กระจกไฟฟ้าอัตโนมัติด้านคนขับ กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า โดยสามารถพับเก็บเมื่อล็อกรถ อีกทั้งยังติดตั้งระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อกรถ

สำหรับแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ในรุ่น จีทีเอส ลิมิเต็ด และรุ่นจีที มาพร้อมกับพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ที่สามารถเลือกปรับการใช้งานได้โดยผู้ขับไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยเมื่อต้องการปรับเปลี่ยนระบบเครื่องเสียง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และใหม่ล่าสุด คือ ระบบกุญแจอัจฉริยะ เคโอเอส ที่ช่วยให้ล็อกหรือปลดล็อกประตูและฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ได้ง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม อิมโมบิไลเซอร์

สร้างความเร้าใจทั้งภายนอกและภายในแล้ว ยังให้ความแรงแบบประหยัดด้วย เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรที่สามารถรองรับน้ำมันเบนซินได้ทุกประเภทไปจนถึง อี 85 และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร สามารถเติมอี 20 มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่มีให้เลือก 4 รุ่น ราคาระหว่าง 794,000-1,051,000 บาท ซึ่งลดลงจากราคาเดิม 17,000-37,000 บาท มีให้เลือก 6 สี มีสีใหม่ คือ แดงเมทัลลิก.

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

07 มีนาคม 2554

Tata Pixel Concept รถเล็กสเปคอีโคคาร์ ใช้พื้นฐานของ Nano เปิดตัวที่เจนีวา

Tata Pixel Concept รถเล็กสเปคอีโคคาร์ ใช้พื้นฐานของ Nano เปิดตัวที่เจนีวา
แม้ว่าจะประสบอุปสรรคในการทำตลาด Nana ที่เกิดปัญหาเพลิงลุกไหม้ในแบบที่ทราบและไม่ทราบสาเหตุมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบุกเข้ายึดตลาดรถประหยัดน้ำมันขนาดเล็กอย่างอีโคคาร์ของค่ายรถจากญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ Tata ละความสนใจจากตลาดรถขนาดเล็กไปได้ เพราะล่าสุดได้เปิดตัว Pixel Concept ที่งาน Geneva Motor Show ครั้งที่ 81 ซึ่งรถรุ่นนี้ใช้พื้นฐานของ Nano ในการออกแบบและสร้างโดยมาในดีไซน์ที่ดูทันสมัยน่ารัก โดยเฉพาะการใช้ประตูแบบปีกนกเหมือนซุปเปอร์คาร์ รวมถึงไฟหน้าที่ดูทันสมัย

Tata เปิดเผยว่า แม้ว่าขนาดภายนอกของ Pixel Concept จะดูเล็ก แต่ภายในกลับกว้างขวางมากกว่าที่ใครๆคาด โดยสามารถรองรับผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ได้ถึง 4 คนด้วยกัน ภายในได้รับการตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยวัสดุคุณภาพสูงพร้อมติดตั้งระบบความบันเทิงที่ใช้ Tablet PC เป็นอุปกรณ์หลัก

Pixel Concept ถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 3 สูบ 1.2 ลิตรที่มาพร้อมเทคโนโลยี Start-Stop ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขด้านสมรรถนะ แต่ Tata อ้างว่ารถรุ่นนี้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 3.4 ลิตร/100 กิโลเมตร โดยมีอัตราการปล่อย CO2 เพียง 89 กรัม/กิโลเมตร และเพื่อการควบคุมรถที่ดีขึ้น Tata ได้ทำการติดตั้งระบบ Zero Trun ที่ช่วยให้ Pixel มีรัศมีวงเลี้ยวเพียง 2.6 เมตรเท่านั้น

ถ้ามีผลิตออกมาจำหน่ายจริง ก็คงเข้าสเปคอีโคคาร์ในบ้านเราได้สบายๆ ปล่อยให้ Nano กลายเป็นเพียงอดีตรถประหยัดน้ำมันที่มีคนถามหามากที่สุดรุ่นหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน

ที่มา autospinn

Volkswagen Bulli Concept ไมโครบัสไฟฟ้า ขนาด 3+3 ที่นั่ง เปิดตัวที่เจนีวา

Volkswagen Bulli Concept ไมโครบัสไฟฟ้า ขนาด 3+3 ที่นั่ง เปิดตัวที่เจนีวา
Volkswagen เผยโฉม Bulli Concept ไมโครบัสพลังงานไฟฟ้าขนาด 3+3 ที่นั่งในงาน Geneva Motor Show ซึ่งรถโดยสารรุ่นนี้มีความยาว 3.99 เมตร กว้าง 1.75 เมตร และสูง 1.70 เมตร ส่วนฐานล้อมีขนาดยาวกว่ารุ่น Golf อยุู่ 4 เซนติเมตรคือ 2.62 เมตร แต่มีความกว้างมากกว่าเพราะต้องรองรับผู้โดยสารได้แถว(ที่นั่ง)ละ 3 คน Bulli ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์(113 แรงม้า) โดยมีแหล่งจ่ายไฟเป็นชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยมีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 260 นิวตันเมตร ไมโครบัสรุ่นนี้สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลา 11.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การทำสีตังถังภายนอกแบบทูโทนเป็นการระลึกถึงรถบัส Samba รุ่นดั้งเดิม โดยใช้ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้วสีขาวที่มีดุมล้อและโดยรอบเป็นสีโครเมี่ยม ภายในห้องโดยสารเราจะพบ iPad ซึ่งทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลแบบ Multi-Function ที่สามารถถอดออกมาได้ โดยถูกติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลางที่มีระบบนำทางรวมอยู่ด้วย สำหรับรถรุ่นนี้จะไม่มีมาตรวัดความเร็วและคันเกียร์ แต่จะมีสวิทช์แบบหมุนบนแผงหน้าปัดที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลังได้
Bulli Concept ได้ยังรับการออกแบบให้สามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ในกรณีที่รถรุ่นนี้ถูกผลิตออกมาจำหน่ายจริงๆ

ที่มา autospinn

05 มีนาคม 2554

ญี่ปุ่นเปิดตัวรถไฟหัวกระสุน "ฮายาบูสะ" ความเร็วสูงพร้อมบริการสุดหรู

เอเอฟพี - รถไฟหัวกระสุนขบวนล่าสุดของญี่ปุ่น "ฮายาบูสะ" หรือฟัลคอน ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เริ่มให้บริการแล้ววันนี้ (5) โดยมีการอวดอ้างว่าเป็นรถไฟโดยสาร ที่มีต้นแบบจากบริการอันหรูหราฟู่ฟ่าของชั้นธุรกิจบนเครื่องบินเลยทีเดียว

รถไฟความเร็วสูงอันทันสมัยขบวนล่าสุดนี้จะออกเดินทาง 2 ครั้งต่อวัน จากกรุงโตเกียวไปเมืองอาโอโมริ ซึ่งอยู่เหนือสุดบนเกาะฮอนชู และยังจะเพิ่มอีกเที่ยวโดยแวะเมืองเซนได ที่อยู่ระหว่างโตเกียวและอาโอโมริด้วย
มัตซึทาเกะ โอตซูกะ ประธานบริษัทอีสต์ เจแปน เรลเวย์ (เจอาร์อีสต์) กล่าวเน้นถึงความพิถีพิถันในการสร้างรถไฟขบวนใหม่นี้ว่า "เพื่อความเป็นเลิศของเรา เราจะพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของฮายาบูสะ ไม่ใช่แค่เพียงความเร็ว"

บรรยากาศตอนเปิดบริการครั้งแรกสลดลงเล็กน้อยเนื่องจากล่าช้าไป 7 นาที หลังผู้โดยสารรายหนึ่งตกจากชานชาลาของสถานีโตเกียว ซึ่งผู้ที่รอรถไฟนับพันคนพากันถ่ายรูปเขา และชายคนดังกล่าวก็ปีนกลับขึ้นมาเองโดยไม่มีใครช่วยเหลือ

รถไฟฮายาบูสะ รุ่นอี 5 วิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเดินทางจากโตเกียวไปอาโอโมริ ที่ระยะทาง 675 กิโลเมตร ภายในเวลา 3 ชั่วโมง 10 นาที โดยตั้งแต่ปีหน้าจะเพิ่มความเร็วเป็น 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อจะกลายเป็นรถไฟที่แล่นเร็วที่สุดในญี่ปุ่น
สำหรับค่าโดยสารขาเดียว ผู้โดยสารจะต้องควักเงิน 26,360 เยน หรือราว 11,000 บาท เพื่อที่จะรับบริการอันสะดวกสบายจากพนักงาน โดยมีบริการเสิร์ฟทั้งอาหาร และเครื่องดื่มถึงที่นั่งเบาะหนังบนพื้นพรมขนสัตว์อย่างหนา

ทั้งนี้ รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงของญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งทางเหลือสำหรับนักเดินทางหลายๆ คน นอกเหนือจากการเดินทางโดยเครื่องบิน หรือรถยนต์ นับตั้งแต่บริการรถไฟชินคันเซนเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 1964
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์