25 เมษายน 2554

BMW Concept M5 สปอร์ตซาลูน

บีเอ็มดับเบิลยู เตรียมเผยโฉม BMW Concept M5 ในงาน 2011 Auto Shanghai ที่จะมีขึ้นในปลายเดือนเมษายนนี้ โดย BMW Concept M5 จะเป็นการสืบสานต่อตำนานแห่งสุดยอดสปอร์ตซาลูนที่ BMW M5 ได้ริเริ่มขึ้นเมื่อกว่า 25 ปีมาแล้ว ในฐานะเก๋ง 4 ประตู ที่มีสมรรถนะเทียบเทียมกับรถแข่ง แต่ยังคงสามารถใช้งานประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย
BMW Concept M5 ถูกสร้างอยู่บนพื้นฐานของ BMW ซีรีส์ 5 ที่เป็นซาลูนระดับผู้บริหาร เน้นความสง่างาม แฝงความสปอร์ต โดยนักออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยูได้ทำงานร่วมกับวิศวกรของ BMW M เพื่อเสริมสร้างคาแรกเตอร์ของรถตระกูล M และสะท้อนความเป็นตัวตนของสายพันธุ์ BMW M5 อีกทั้งยังเพิ่มคุณสมบัติ โดยเฉพาะในด้านแอร์โร่ไดนามิกและการระบายความร้อน เพื่อให้รับกับสมรรถนะระดับสุดยอดของสปอร์ตซาลูนคันนี้ได้อย่างลงตัว
BMW Concept M5 มาพร้อมกับช่องดักอากาศขนาดใหญ่ในกันชนหน้าและพื้นผิวแบบสามมิติ ที่นอกจากจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มการระบายอากาศให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรกแล้ว ยังให้อารมณ์ที่แฝงไว้ซึ่งความดุดัน ขับเน้นเพิ่มดีกรีความสปอร์ต แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสมดุลระหว่างความสง่างามและความสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม นักออกแบบได้เน้นถึงความต่อเนื่องของลายเส้นและพื้นผิวโค้งเว้าของกันชนหน้า ให้สอดรับกับลายเส้นและพื้นผิวของส่วนของฝากระโปรงหน้าได้อย่างกลมกลืน
มุมมองด้านข้างของ BMW Concept M5 โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วสีดำตัดกับสีตัวถัง Chrome Shadow ให้ความรู้สึกดุดัน อีกทั้งยังเสริมความน่าเกรงขามด้วยช่องลมด้านข้างที่มีสัญลักษณ์ M และไฟเลี้ยวถูกออกแบบเป็นลักษณะเส้นเรียวอยู่กึ่งกลางของช่องดักอากาศ สร้างความโดดเด่นสะดุดตาในทุกมุมมอง ในขณะที่มุมมองด้านหลังเน้นความเรียบหรูในแบบฉบับซาลูนผู้บริหาร โดยติดตั้งเพียงสปอยเลอร์ขนาดเรียวเล็กบนฝากระโปรงหลัง และสเกิร์ตใต้กันชนหลังที่ซ่อนดิฟฟิวเซอร์ไว้ในตัว ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มสมรรถนะด้านแอร์โร่ไดนามิกให้กับ BMW Concept M5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่อไอเสียคู่สไตล์ดุดันทั้งสองข้างของกันชนที่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาของ BMW Concept M5 ให้กับผู้ที่ขับรถตามอยู่ด้านหลัง
BMW Concept M5 ใช้เครื่องยนต์ V8 สมรรถนะสูง พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo ที่สามารถสร้างพละกำลังได้อย่างมหาศาลตลอดทุกช่วงรอบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของรถตระกูล M โดยเมื่อเทียบกับ BMW M5 ในรุ่นก่อนหน้า นอกจากเครื่องยนต์ใหม่ใน BMW Concept M5 จะสามารถผลิตกำลังได้สูงกว่าแล้ว ยังมีประสิทธิภาพทั้งด้านอัตราการประหยัดน้ำมันและอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีกว่าเดิมถึง 25%
วิศวกรของ BMW M เลือกใช้ระบบเกียร์ M DCT Double-Clutch Transmission 7 สปีด พร้อมกับระบบ M Drivelogic ในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อขับเคลื่อนด้านหลังทั้งสอง โดยระบบเกียร์ M Double-Clutch 7 สปีดนี้มีความโดดเด่นในด้านความรวดเร็วและแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อสมรรถนะสูงสุดในการขับเคลื่อนและประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้น นอกจากนั้น BMW Concept M5 ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Auto Start-Stop ที่ดับเครื่องยนต์เวลาที่รถจอดหยุดนิ่ง เช่น ขณะติดไฟแดง โดยอัตโนมัติ (แต่ระบบปรับอากาศยังทำงานอยู่) และติดเครื่องกลับขึ้นมาเพียงปล่อยเท้าเบรกเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการใช้พลังงานและลดการคายไอเสียโดยไม่จำเป็นขณะรถจอดนิ่ง
คาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของ BMW M5 คือ สมรรถนะระดับรถแข่ง แต่คงไว้ซึ่งความสะดวกสบายในการใช้งานประจำวัน ที่นอกจากจะเหนือชั้นด้วยแชสซีส์ที่สมดุลแล้ว ยังมีเทคโนโลยีระบบช่วยล่างที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ, ระบบเพลาขับ และระบบเบรกสมรรถนะสูงน้ำหนักเบา พร้อมทั้งยังมีนวัตกรรม Active M Differential เพื่อสร้างสมรรถนะการถ่ายทอดกำลังสู่ล้อขับเคลื่อนและเสถียรภาพสูงสุดในการเกาะถนนโดยเฉพาะในทางโค้ง โดย ระบบ Active M Differential ทำงานผ่านการควบคุมการล็อกของคลัตช์แบบ Multi-plate ภายในระบบดิฟเฟอร์เรนเชียลที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถลของล้อในสภาวะถนนลื่นหรือในขณะเข้าโค้งที่ล้อด้านในจะหมุนด้วยความเร็วต่างจากล้อด้านนอกโค้ง โดยจะถ่ายทอดกำลังไปสู่ล้อที่มีแทรกชันหรือประสิทธิภาพการเกาะถนนสูงกว่า
ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการเข้าโค้งแล้ว ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ในสภาพถนนลื่นด้วย

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,629 24-27 เมษายน พ.ศ. 2554

24 เมษายน 2554

เซี่ยงไฮ้ออโต้โชว์2011มังกรจีนเจ้าตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก

มหกรรมรถยนต์ “เซี่ยงไฮ้ ออโต้โชว์ 2011” ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นงานแสดงรถยนต์ในประเทศจีนที่ถือว่าเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกำลังซื้อมหาศาลจึงเป็นที่หมายปองของค่ายรถยนต์จากต่างประเทศและของจีนเองงานเซี่ยงไฮ้ ออโต้โชว์จัดขึ้นในวันที่ 21-28 เม.ย.นี้ ที่ศูนย์จัดการแสดงสินค้านครเซี่ยงไฮ้ บนเนื้อที่ 230,000 ตร.ม. เพื่อรองรับรถยนต์ 1,100 คันที่มีค่ายรถยนต์และผู้ผลิตอะไหล่รถยนต์ 2,000 บริษัท จาก 20 ประเทศนำรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดและรถต้นแบบ 75 คันมาอวดโฉมกัน แน่นอนว่าเป็นการเปิดตัวระดับเวิลด์พรีเมียร์ 19 คันด้วยกัน เช่น โฟล์คเต่า (บีเทิล) รุ่นใหม่ จากค่ายโฟล์คสวาเกน,เชฟโรเลต มาลิบู จากค่ายจีเอ็ม, บิวอิคเอ็นวิชัน และจากประเทศจีนเจ้าภาพ เป้าจุน 630 ส่วนของฝรั่งเศสกลุ่มพีเอสเอนำเสนอ ซีตรอง ดีเอส5 ฟอร์ดยังได้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างฟอร์ดโฟกัสมาแสดงในงานนี้ ตามมาด้วยรถยนต์จากเพื่อนบ้าน เกาหลีใต้ ฮุนได มีรถต้นแบบรุ่นบลู 2 มานำเสนอ ขณะที่ญี่ปุ่นก็ขนกันมาหลายค่าย เช่น รถต้นแบบชินาริจากมาสด้า รถต้นแบบจี เอส ไรซ์จากโตโยต้า และแน่นอนรถต้นแบบทรงน่ารัก ทาวน์พ็อดของนิสสัน ก็ได้มาอวดโฉมเช่นกัน

ธุรกิจรถยนต์ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิพัดถล่มประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา เพราะญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สู่ตลาดโลก เมื่อญี่ปุ่นเกิดสึนามิ ส่วนของการผลิตรถยนต์และอะไหล่ก็ต้องปิดตัวไปบางส่วนเพราะขาดแคลนอะไหล่เป็นสำคัญ เมื่อมีงานแสดงรถยนต์ครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิ ทุกภาคส่วนจึงต้องจับจ้องมองความเคลื่อนไหวของงานนี้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะได้รับผลกระทบในภาพรวมไปด้วยหรือไม่ ประกอบกับงานนี้จัดขึ้นที่ประเทศจีน ซึ่งเบียดแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ขึ้นมาเป็นตลาดรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว

ค่ายฟอร์ด มอเตอร์ประกาศแผนนำรถรุ่นใหม่ 15 รุ่นด้วยกันเข้าไปจำหน่ายในจีนภายในปี ค.ศ. 2015 เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของตัวเอง เพราะจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืนถึง 5-10% ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง “จีเอ็ม” ผู้ส่งออกรถยนต์จากต่างประเทศรายใหญ่ให้กับจีน ก็จะหาทางเพิ่มยอดจำหน่ายให้ได้ 2 เท่าเช่นกัน

มาดูค่ายรถยนต์จากยุโรปกันบ้างรถยนต์ของเยอรมนีก็ได้เปิดตัวระดับเวิลด์พรีเมียร์งานนี้เช่นกัน เป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (เอสยูวี) ออดี้ คิว3 ซึ่งตั้งเป้าจะให้จีนเป็นตลาดจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ที่สุดสำหรับออดี้ในปีนี้ ภาพรวมการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศจีนเพิ่มขึ้น 32% เมื่อปีที่แล้วหรือมากสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยสถิติ 18.06 ล้านคัน

ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนเอง “เอสเอไอซี” ซึ่งมีหุ้นส่วนเป็น จีเอ็ม กับ โฟล์คสวาเกน ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายให้ได้กว่า 6 ล้านคันภายในปี ค.ศ. 2015 เมื่อถึงเวลานั้นคงจะมีแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมา

อย่างไรก็ตามค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็ต้องหาทางเปิดตัวรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “อีโคคาร์” ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งทางภาครัฐของจีนก็สนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อหาทางลดมลพิษในอากาศและยังเป็นพลังงานทางเลือกทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำลังจะหมดไปด้วย ขนาดระดับบริหารฝ่ายการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู ยังยอมรับว่ารถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่เป็นโอกาสดีสำหรับตลาดในประเทศจีนซึ่งมีกำลังซื้อมหาศาล จึงเป็นสัญญาณชัดเจนที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวเพื่ออุตสาหกรรมรถยนต์ต่อไป.

วิญญู ศรีนาง
เซี่ยงไฮ้ออโต้โชว์2011มังกรจีนเจ้าตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่มา เดลินิวส์

23 เมษายน 2554

Kia Naimo Concept ความอเนกประสงค์แห่งอนาคต

Kia Naimo Concept ความอเนกประสงค์แห่งอนาคต
น่าจะเรียกว่าเป็นอีกครั้งที่ทางเกีย บริษัทน้องของฮุนได ได้มีโอกาสแสดงให้เห็นถึงแนวคิดและวิสัยทัศน์ในการออกแบบที่เน้นความล้ำสมัยออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบกันอีกครั้ง และรถยนต์อเนกประสงค์ต้นแบบที่ชื่อว่า Naimo คือ ผลงานที่ว่านี้

Naimo เป็นคำที่ดัดแปลงมาจากภาเกาหลีที่อ่านว่า Ne-mo หรือ Neh-mo ซึ่งมีความหมายถึงรูปทรงสี่เหลี่ยม และตัวรถในสไตล์ CUV หรือ Crossover Utility Vehicle ก็สะท้อนถึงชื่อนี้ออกมาอย่างชัดเจนด้วยตัวถังทรงเหลี่ยมเหมือนกัน โดยต้นแบบที่มีความยาว 3.99 เมตรคันนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์จากทีมงานออกแบบของ Kia International Design ในกรุงโซลภายใต้การควบคุมของปีเตอร์ ชเรเยอร์
แม้จะเป็นรถยนต์ต้นแบบแห่งอนาคต แต่ Naimo ก็ยังมีกลิ่นอายของงานออกแบบที่เราๆ ท่านๆ สามารถสัมผัสได้จากรถยนต์ของเกียที่ขายอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะเอกลักษณ์สำคัญอย่างกระจังหน้า ซึ่งถูกผสมผสานกับไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED แบบ Dot-Style

ขณะที่ด้านหน้าไม่มีก้านปัดน้ำฝนแบบที่เราคุ้นตากัน แต่ทางเกียเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ของระบบปัดน้ำฝนที่เรียกว่า Air Wiper ซึ่งเป็นการพ่นอากาศด้วยแรงดันสูงไปยังกระจกบังลมหน้าเพื่อเป่าละอองฝนให้หลุดออกจากกระจก ส่วนกระจกมองข้างก็ถูกถอดออกและแทนที่ด้วยกล้องรับภาพ ทำให้ตัวรถมีขนาดแคบลง เมื่อบวกกับการออกแบบให้ตัวรถมีโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าและหลังสั้น ก็ช่วยเพิ่มความคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมือง
สำหรับภายในเน้นความอเนกประสงค์และความกว้างขวางตามแบบฉบับของรถยนต์สไตล์ CUV และมีการนำวัสดุที่เป็นธรรมชาติอย่างกระดาษเกาหลีที่เรียกว่า Han-Ji มาใช้ในการตกแต่งภายใน ส่วนความกว้างขวางสัมผัสได้จากระยะฐานล้อที่มีขนาด 2.647 เมตร

เพื่อให้สมกับการเป็นต้นแบบแห่งอนาคต ตัวรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าผ่านทางมอเตอร์แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor มีกำลังสูงสุด 109 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 28.5 กก.-ม. สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนแพ็คแบตเตอรี่มีขนาดกะทัดรัดและถูกจัดวางอยู่ใต้พื้นตัวถัง มีขนาด 27 kWh เป็นแบบลิเธียม-ไอออน โพลีเมอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง
โดยการชาร์จ 1 ครั้งตัวรถสามารถแล่นทำระยะทางได้ถึง 200 กิโลเมตร และสามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว โดยในโหมด Quick Charge ใช้เวลาเพียง 25 นาทีในการเพิ่มระดับของกระแสไฟฟ้าในแบตตเตอรี่ให้อยู่ที่ 85% แต่ถ้าอยากชาร์จเต็มในรูปแบบปกติ ก็ใช้เวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง

แม้เกียจะบอกว้า Naimo เป็นหนึ่งในผลงานที่บริษัทต้องการนำเสนอความมุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์ทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาด แต่ดูจากหน้าตาแล้ว โอกาสที่จะขึ้นไลน์ผลิตคงจะยากหน่อย เพราะล้ำสมัยเหลือเกิน และถึงจะตัดสินใจผลิตขึ้นมาจริง รูปลักษณ์ภายนอกและภายในก็คงถูกดัดแปลงอย่างมากชนิดที่อาจจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมอยู่เลยก็ได้
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

22 เมษายน 2554

Nissan ปลื้มรับ Earth day Leaf ซิว World Car of the year

ค่ายรถยนต์ Nissan ยิ้มปริรับวันคุ้มครองโลก รับตำแหน่ง World Car of the year เบียดคู่แข่งไปหน้าตาเฉย

รถไฟฟ้าค่าย Nissan ดูท่าจะมาแรงอีกครั้งหลังสามารถคว้าชัยตำแหน่ง World Car of the year ไปได้ท่ามกลางการโหวตจากผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ชั้นนำทั่วโลก กว่า 66 คน ที่ยืนยันว่า leaf "เป็นก้าวใหม่สู่ประตูโลกของรถไฟฟ้า"นาย Carlos Ghosn CEO ของบริษัท นิสสัน ออกมาเปิดเผยว่า เรารู้สึกดีใจมากที่ Leaf เป็นรถไฟฟ้าคันแรกที่ถูกวางจำหน่ายในตลาดทั่วโลก และการได้รับรางวัลในครั้งนี้ทำให้ Nissan Leaf ตอกย้ำถึงความสำเร็จในการเป็นยานยนต์ไร้มลภาวะ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงสมรรถนะที่เงียบสนิท ขับได้ยอดเยี่ยม และการควบคุมรถที่ทำได้ดีเฉกเช่นรถยนต์ทั่วไป"
ทั้งนี้ในการประกาศผลรางวัล World Car of the year นั้น ยังมีอีกหลายรางวัลที่น่าสนใจอย่า งworld Green Car of the year ที่มอบให้รถที่มีการขับขี่ที่รักษาสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยมสูงสุดนั้น ตกเป็นของ Chevrolet Volt

ในขณะที่รถยนต์ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมที่สุด หรือ World Performance car of the year เป็นของ Ferrari 458 Italia และ ด้านการออกแบบ World car design of the year เป็นของ Aston martin Rapide
ที่มา sanook

20 เมษายน 2554

นิสสัน ลีฟ ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อคุณ

นิสสัน ลีฟ ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อคุณ ในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ค่ายนิสสันนำ "นิสสัน ลีฟ" ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพัฒนาเพื่อตลาดมวลชนคันแรกของโลกมาอวดโฉม มีคุณสมบัติโดดเด่นคือไร้มลพิษ ประสบ การณ์การขับขี่ที่แตกต่าง "การเชื่อมต่อ" ที่ถึงกันตลอดเวลา

ขุมพลังของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ระดับแนวหน้า เพื่อการ "สร้างมลพิษให้เป็นศูนย์"

นิสสัน ลีฟ ใหม่ ได้รับการออกแบบเพื่อให้ "ประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่ซ้ำใคร" ด้วยประสิทธิภาพทางด้านอัตราเร่ง ความเงียบสงบ และสมรรถนะทางด้านการควบคุมรถ โดยกุญแจสำคัญของขุมพลังนี้ รวมถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนความจุสูง (เก็บพลังงานไฟฟ้า)

แบตเตอรี่มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของรถ รวมถึงราคาและความสะดวกสบายภายใน นิสสัน ลีฟ จึงนำแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่มีน้ำหนักเบา กะทัดรัด และมีความจุมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วไปมาใช้ (เช่นเดียวกับ Nissan Hypermini ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000) โดยมีความจุถึง 24 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ให้พลังงานมากกว่า 90 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และสามารถเดินทางได้ระยะทางไกลถึง 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟจนเต็มหนึ่งครั้ง (ในโหมด JC08)
ชุดแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้พื้นรถซึ่งเป็นศูนย์กลางของตัวถัง ให้สมดุลน้ำหนักที่เหนือกว่าและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้าง ซึ่งส่วนนี้มีผลในเรื่องของการตอบสนองต่อการควบคุมรถ

มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC 3 เฟส ให้กำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ (แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร สร้างแรงบิดสูงสุดตั้งแต่เริ่มออกตัว ด้วยเทคโนโลยีระบบควบคุมมอเตอร์ที่เป็นลิขสิทธิ์ของนิสสัน มอเตอร์ ทำให้อัตราเร่งมีความต่อเนื่องและให้พลังในทันที ประสิทธิ ภาพด้านอัตราเร่งของนิสสัน ลีฟ ในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงช่วงกลาง เทียบได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันขนาดความจุ 3.0 ลิตร และทำความเร็วสูงสุดได้ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ต่างจากเครื่องยนต์เบนซิน เพราะไม่มีแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ผนวกกับเทคโนโลยีฉนวนกันเสียงที่เหนือกว่า จึงทำให้นิสสัน ลีฟ บรรลุถึงการขับเคลื่อนที่แสนเงียบสงบ
เมื่อรถชะลอความเร็วลง พลังงานไฟฟ้าซึ่งถูกสร้างขึ้นจากแรงเบรกจะนำกลับมาใช้ใหม่

ภายนอกนิสสัน ลีฟ สร้างสรรค์จากแนวคิด "Smart Fluidity" จึงเป็นรถที่มีสไตล์ล้ำสมัย มีเส้นสายที่ดูลื่นไหล รวมถึงหลักอากาศพลศาสตร์ในระดับสุดยอด

การแทนที่เครื่องยนต์เบนซินด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ช่วยให้การออกแบบด้านหน้ารถมีความเรียบง่ายโดยไม่ต้องมีกระจังหน้า เส้นสายที่ลื่นไหลของตัวรถเชื่อมโยงกับสปอยเลอร์หลังคาขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความพลิ้วไหวแบบต่อเนื่องในส่วนด้านหลัง

โคมไฟหน้าแนวตั้งขนาดใหญ่แบบ LED ขนาดบาง คือคุณลักษณะเฉพาะทางด้านการออกแบบของรถ EV ในตระกูลนิสสัน โคมไฟหน้าที่นูนออกจากตัวรถเป็นรูปทรง V-Shape เพื่อช่วยในเรื่องการควบคุมการไหลของอากาศไปยังกระจกมองข้าง ซึ่งช่วยลดแรงดึงรวมถึงเสียงรบกวนจากลม จึงเห็นได้ชัดเจนถึงการทำงานของ EV ซึ่งใช้มอเตอร์ที่แสนเงียบในการขับเคลื่อน

เสาอากาศหลังคารูปทรง Cross Section ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อช่วยในการลดเสียงปะทะของลม ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีด้านอากาศพลศาสตร์ โคมไฟท้ายแบบ LED ขนาดบาง ที่มีความสว่างสูง แผงกระจายแรงลม ติดตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของกันชนหลัง และที่สำคัญคือไม่มีท่อไอเสีย

ภายใน ตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่หรูหราของนิสสัน ลีฟ ช่วยสร้างความสว่าง ความสะอาด สดใส และเผยให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของยานยนต์แบบ EV

ระบบ Electric shift แบบ mouse-type ที่ใช้งานอย่างง่ายดาย เพียงขยับข้อมือโดยวางฝ่ามือไว้บนอุปกรณ์ควบคุม ซึ่งเป็นครั้งแรกของนิสสันกับระบบควบคุมแบบ by-wire system ซึ่งให้ความรู้สึกถึงการควบคุมที่แผ่วเบา

วิธีการชาร์จไฟ และอุปกรณ์ที่ชาร์จไฟติดตั้งอยู่ที่ฝากระโปรงหน้าสำหรับ "การชาร์จปกติ" รวมถึง "ควิกชาร์จ"

ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง หลังจากไฟเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับการชาร์จไฟ 200 โวลต์ แบบการชาร์จปกติ และแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 30 นาที โดยแบบควิกชาร์จ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

18 เมษายน 2554

Ford Fiesta 1.4 AT คุ้มใช้งาน-แต่วิ่งในเมืองดีกว่า

หลังจากสร้างความประทับใจให้ผู้เขียนพอสมควร กับการทดสอบ“ฟอร์ด เฟียสต้า” เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งครานั้นได้ลองทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 เกียร์ดูอัลคลัตช์ และ 1.4 เกียร์อัตโนมัติ(ทอร์กคอนเวอร์เตอร์) จากนั้นก็กลับมาเขียนเป็นภาพรวม และชื่นชมว่ารุ่นท็อป 1.6 เป็นเก๋งซับคอมแพกต์สมรรถนะดี และคุ้มค่าต่อราคาที่สุดในคลาส(ย้ำว่าสมรรถนะและราคานะครับ ไม่ได้พูดถึงประเด็นอื่น)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะขับดีราคาโดน แต่ในรุ่นท็อปก็ต้องว่ากันด้วยเงิน 6.99 แสนบาท ฉะนั้นแล้วสำหรับคนที่ไม่อยากหรือไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้ ที่สำคัญไม่เน้นสมรรถนะพร้อมออปชันมากมาย ทางเลือกระดับราคา 5 แสนบาทกลางๆ กับรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 เกียร์อัตโนมัติ น่าจะพียงพอต่อความต้องการ...?

เกิดคำถามว่า “เพียงพอแต่จะพอดีกับการใช้งานแค่ไหน?” ดังนั้นเมื่อสบโอกาส “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” จึงนำ เฟียสต้า ตัวถังแฮตช์แบ็ก รุ่น 1.4 สไตล์ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 5.74 แสนบาท มาลองขับยาวๆ อีกครั้ง

ว่ากันที่เทคโนโลยีก่อน ซึ่งราคารุ่น 1.4 สไตล์ เกียร์อัตโนมัติ ที่ถูกกว่าพวก 1.6 เทรนด์และสปอร์ต ประมาณ 80,000-125,000 บาท คุณจะได้เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 95 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ล้อกระทะพร้อมฝาครอบขนาด 15 นิ้ว แทนที่เครื่อง1.6 ลิตร 121 แรงม้า กับเกียร์เทพดูอัลคลัตช์ 6 สปีด ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วในรุ่นเทรนด์ และ 16 นิ้วในรุ่นสปอร์ต
ขณะเดียวกันคุณจะได้ผลพลอยได้จากรุ่น 1.4 สไตล์ คือน้ำหนักรถที่เบากว่า 13-26 กิโลกรัม(เทียบระหว่างตัวถังแฮตช์แบ็กด้วยกัน)

ในส่วนของออปชันรุ่น 1.4 สไตล์ เกียร์อัตโนมัติ ที่ขาดหายไปจากตัวท็อปไล่ตั้งแต่ ไฟตัดหมอกหน้า ชุดกระจังหน้า กันชนหลังแบบสปอร์ต และกระจกมองข้างพับไฟฟ้า พวงมาลัยหุ้มหนัง แอร์อัตโนมัติ สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ระบบสั่งฟังก์ชันต่างๆ ของรถด้วยเสียง รวมถึงช่องต่อ USB ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ ขณะที่ลำโพงก็หายไป 2 ตัว เมื่อเทียบกับรุ่นสปอร์ตที่มีถึง6 ตัว

อย่างไรก็ตาม รุ่น 1.4 สไตล์ เกียร์อัตโนมัติ ยังคงออปชันที่จำเป็นเอาไว้และถือว่าไม่ขี้เหร่ครับ ทั้งกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอกหลัง ที่ปัดน้ำฝนหน้า-หลังแบบปรับหน่วงเวลา สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม รวมถึงเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี MP3
ด้านระบบความปลอดภัยจัดให้ทั้ง ถุงลมนิรภัยด้านคนขับ(ลูกเดียว) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบปรับสูง-ต่ำได้ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS และกระจายแรงเบรก EBD ระบบเปิดไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเวลาเบรกกระทันหัน ตลอดจนกุญแจรีโมต

แม้จะไร้ระบบควบคุมการทรงตัว ESP ซึ่งผู้เขียนมองว่ามีไว้เพื่อความปลอดภัยก็ดี แต่กระนั้นถ้าคุณหวังใช้ในเมืองเป็นหลัก และสภาพถนนหรือทัศนวิสัยไม่แย่มาก พร้อมใช้ความเร็วให้เหมาะสม ระบบ ABS กับ EBD สามารถรับไหวอยู่แล้ว

ในส่วนของสมรรถนะการขับขี่ ยังพอจำรสชาติหลังการทดสอบปีที่แล้วว่า “ไม่ได้แย่อย่างที่คิด” ซึ่งการลองขับครั้งล่าสุดนี้ผู้เขียนก็ยังยืนยันตามนั้น ด้วยเครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงมีขนาดเพียง1.4 ลิตร 95 แรงม้า เล็กกว่าพวก 1.5 ลิตร ของค่ายญี่ปุ่นหลายๆ เจ้า แต่การขับนั้นไม่ได้ด้อยกว่ากันเท่าไหร่
โดยจังหวะออกตัว เครื่องยนต์และเกียร์ พร้อมการที่เซตอัตราทดเฟืองท้ายไว้จัดนิดหนึ่ง ตอบสนองใช้ได้ หรือไม่อืดถ้าเทียบกับ พวกมาสด้า 2 และโตโยต้า ยาริส และน่าจะดีกว่า เชฟโรเลต อาวีโอ ชัดเจน (ส่วนแจ๊ซ ต้องยกให้เขาไป)

ยิ่งขับในเมือง แรงม้าขนาดนี้เหลือเฟือครับ มุดซ้ายป่ายขวาคล่องตัว ส่วนพวงมาลัยเบาๆ สั่งงานยอดเยี่ยม แต่กระนั้นถ้าจะวิ่งทางไกลต่างจังหวัด กรณีขับเรื่อยๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากรีบเร่งเร็ว ต้องมีเข่นมีลุ้นกันเมื่อยเท้าเหมือนกัน

ช่วงความเร็ว 60 กม./ชม. อยากไต่ไปให้ถึง 120-130 กม./ชม. ต้องคิกดาวน์บี้คันเร่งหนักหน่อย ที่สำคัญ เฟียสต้า 1.4 คันนี้รอบสูงใช้ได้ทีเดียว โดยการใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด รอบอยู่แถวๆ 2,600 หรือถ้าความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุดก็พุ่งไป 3,000 นิดๆ
ในส่วนของเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดชุดนี้ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์มีอาการดึงเล็กๆ โดยเฉพาะช่วงเกียร์ 1-2-3 จะรู้สึกชัดเจน

ด้านการเก็บเสียงรวมๆ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ส่วนเครื่องเสียงและลำโพงที่ติดตั้งมาให้ ถือว่าเสียงใสใช้ได้ และถ้าไม่เป็นพวกหูทองจริงๆ ผู้เขียนว่าชุดนี้พอแล้วไม่ต้องไปเปลี่ยนครับ

จุดเด่นที่ต้องยกนิ้วให้ยังเป็นเรื่องเดิมคือ ช่วงล่างที่เซตมานุ่มกำลังดี ซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้นิ่มนวล หรือถ้าเทียบกับมาสด้า 2 หรือยาริส ต้องบอกว่า เฟียสต้า 1.4เหนือกว่านิดๆ (สองรายนั้นอาจะเน้นสไตล์สปอร์ต) ขณะเดียวกันถ้าขับความเร็วสูงการทรงตัวยอดเยี่ยม เก็บอาการในโค้งได้ดี
อย่างไรก็ตาม จุดที่เฟียสต้าทุกตัวถังยังด้อยกว่าซับคอมแพกต์เจ้าอื่น(ยกเว้นมาสด้า) คือพื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งในรุ่นตัวถังแฮตช์แบ็กเล็กกว่า “ฮอนด้า แจ๊ซ” ชัดเจน หรือยาริส ก็ยังกว้างกว่านิดหน่อย ดังนั้นคนซื้อเฟียสต้าต้องสำรวจการใช้งานของตนเอง(ครอบครัว)ดูว่าเหมาะหรือไม่

สำหรับอัตราบริโภคน้ำมัน ที่ผู้เขียนวิ่งนอกเมืองเป็นหลักและใช้ความเร็วสูง ทำตัวเลขได้ประมาณ 12 -13กม./ลิตร แน่นอนว่าสภาพการขับเดียวกันถ้าใช้รุ่น 1.6 ลิตร เกียร์ดูอัลคลัตช์ จะประหยัดน้ำมันกว่านี้แน่นอน
รวบรัดตัดความ...เฟียสต้า รุ่น 1.4 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ มาดีเกินคาด ยิ่งใช้ในเมืองขับสบาย ออปชันพอตัวสมราคา พร้อมรูปลักษณ์ตัวถังแฮตช์แบ็กสดใหม่ โดดเด่นบนท้องถนน แต่ถ้าวิ่งทางไกลต่างจังหวัดอาจซดน้ำมันไปนิด...
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

10 เมษายน 2554

เกีย โซล รถเกาหลี ฟิลลิ่งรถยุโรป

เตอร์ ชเรเยอร์ ชาวเยอรมันได้ออกแบบให้ “เกีย โซล” ฉีกดีไซน์รูปแบบเดิม ๆ สู่ความล้ำสมัยโดดเด่นของเส้นสายที่แข็งแกร่ง ทรงเหลี่ยมขนาดกะทัดรัด เร้าใจ รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจกด้านหน้าลาดเอียงเข้ากับกระจกหน้าด้านข้างเสาเอและเสาบีสีดำ รับกับด้านข้างตัวรถที่ตกแต่งสไตล์สปอร์ตคมเข้มด้วยเส้นขอบสีดำ ส่วนขอบประตูเข้ากับเส้นสายหลังคาที่ลาดเอียงต่อเนื่องจากด้านหน้าจรดด้านท้าย ซึ่งมีรูปทรงเหลี่ยมมุมฉากติดตั้งสปอยเลอร์เอาไว้
ภายในของรถยนต์เกีย โซล ล้ำสมัยด้วยสีทูโทน ดำ-แดงสดใส แผงหน้าปัดมีจอแอลซีดี มาตรวัดทรงกลม เมทัลลิก เพนท์ ออกแบบสไตล์สปอร์ต ส่วนแสดงผลจากทริป คอมพิวเตอร์แบบใหม่ตัวหนังสือสีแดงมองเห็นชัดเจน กระจกส่องหลังปรับแสงอัตโนมัติและจอมอนิเตอร์จากกล้องที่ติดตั้งด้านกันชนท้ายเสริมมุมกว้าง 130 องศา เบาะหนังแท้ขนาดใหญ่ ที่นั่งด้านท้ายสามารถปรับแยก 60/40 และปรับเป็นแนวราบกับพื้นรถ เพิ่มพื้นที่ใส่ของด้านท้ายมากพอบรรทุกจักรยานเสือภูเขาได้ถึง 2 คัน ฟังก์ชั่นการใช้งานง่ายอำนวยสะดวกสบายมากมาย เช่น เครื่องเสียงล้ำสมัย หน้าปัดแสงสีแดงสะท้อนอารมณ์และจังหวะดนตรี พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบการสื่อสารต่าง ๆ ครบครัน

เกีย โซล ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร DOHC 16 วาล์ว พร้อมหัวฉีดมัลติพอยต์ MPI 124 แรงม้า แรงบิด 156 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที ทำให้เผาไหม้สะอาดหมดจด ประสิทธิภาพสูง ประหยัดเชื้อเพลิง ช่วงล่างตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมมั่นใจด้วยระบบเกียร์ทิปทรอนิกที่ปรับเปลี่ยนได้ในสไตล์สปอร์ตและนุ่มนวลด้วยระบบเบรกเอบีเอสและระบบกระจายแรงเบรก (อีบีดี)

การทดสอบครั้งนี้ได้นักแข่งรถชื่อดังในอดีต คุณเอก หรือ ทนง ลี้อิสสระนุกูล กรรมการผู้จัดการกลุ่มสิทธิผลมาทดสอบ โดยให้ความเห็นว่าตำแหน่งที่นั่งคนขับดีสามารถมองเห็นชัดเจนรอบคัน อีกทั้งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างรถอีโคคาร์, เอสยูวี, เอ็มพีวี และรถมินิ หรือ 4 อิน 1 ดีไซน์ออกมาอย่างมีรสนิยมมาก สำหรับการออกตัวด้วยเกียร์อัตโนมัติรู้สึกอืด ๆ เล็กน้อย เนื่องจากเครื่องยนต์แค่ 1.6 ลิตร ถ้าใส่เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรคิดว่าจะออกตัวได้เร้าใจกว่านี้ อย่างไรก็ตาม มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกขับด้วย

ต้องบอกว่ารถคันนี้ไม่ใช่คนเกาหลีออกแบบแน่นอน เพราะทุกตำแหน่งการใช้งานง่าย รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดมาก เช่น มีกล้องตรงกระจก มาตรวัดระยะมีสีบ่งบอกการทำงาน หรือกรณีที่หน้ารถเชิดเพราะมีน้ำหนักถ่วงด้านท้าย ระบบไฟหน้าจะกดให้ไฟต่ำลงอัตโนมัติ ให้ความรู้สึกการขับเหมือนรถยุโรป รถเกาะถนนดีมาก แม้เข้าโค้งแรงรถไม่มีอาการเอียง ไม่มีเสียงดัง ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นคงมีอาการท้ายส่ายน่ากลัว ระบบเบรกดีมากอย่างตอนเบรกกะทันหันไม่มีอาการโยนหน้าโยนหลังให้เวียนหัว

“หากให้ดาวระบบแฮนเดอร์ริงทั้งหมดกับเกีย โซล ผมให้ 5 ดาว เพราะเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แต่ถ้าใส่เครื่อง 1.8 ลิตรแล้วใส่เทอร์โบเล็กลูกเดียวจบ ผมเหยียบความเร็วกว่า 100 กม./ชม. มีเสียงลมพอประมาณซึ่งรถระดับนี้ถือว่าเยี่ยมมาก เวลาตกหลุมยังรู้สึกนิ่มนวลไม่กระเทือนเหมือนรถยุโรปบางแบรนด์

ด้วยช่วงล่างดีให้ 5 ดาว วงเลี้ยวก็แคบขับสนุกไม่เบื่อเลย ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเท่าที่ดูคิดว่าประหยัดมากเต็มถังน่าจะวิ่งได้มากกว่า 500 กม. โดยเฉพาะยังใช้อี 20 ได้ด้วยผมให้ 5 ดาวเช่นกัน”

คุณเอกสรุปบททดสอบเกีย โซล ว่าทุกอย่างดีไซน์ได้ลงตัวสมกับสมรรถนะ แต่ค่ายยนตรกิจเกีย มอเตอร์ผู้นำเข้าและทำตลาด จะทำอย่างไรให้บริการหลังการขายเป็นที่ประทับใจมากกว่าในอดีต นั่นคือโจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตา!.

ลำยอง ปกป้อง
ที่มา เดลินิวส์