27 พฤษภาคม 2553

ทะลวงช่วงว่างซูเปอร์คาร์ RUFงัดความแตกต่างสร้างแบรนด์

ทะลวงช่วงว่างซูเปอร์คาร์ RUFงัดความแตกต่างสร้างแบรนด์ ซูเปอร์คาร์กลิ่นหอม รอยัล มอเตอร์เล็งสร้างแบรด์ RUF เทียบชั่น ปอร์เช่ เฟอร์รารี่ และลัมบอกินี่ ชูสมรรถนะเหนือกว่า แถมมีฐานลูกค้าระดับเศรษฐีเล่นหุ้น และทองคำในมือเพียบ เพราะเดิมอยู่ในธุรกิจซื้อขายทองคำมาก่อน ด้านผลิตภัณฑ์ชูความแตกต่างจากปอร์เช่ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตตัวถังร่วมกัน ด้วยการสั่งรุ่นพิเศษเจาะกระเป๋าเสี่ยเงินหนาเมืองไทยเฉพาะ และการเลือกแต่งรถได้ตามความต้องการจากโรงงานก่อนเข้ามาบุกตลาดรถยนต์ซูเปอร์ คาร์ ของแบรนด์ RUF อิสริยะ คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหาร รอยัล มอเตอร์ส จำกัด เผยว่า ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าทองคำมากก่อน ขณะเดียวกันก็ดำเนินธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ ในชื่อ หลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ทำให้มีฐานลูกค้าที่มีฐานะ รวมถึงทราบถึงความต้องการรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์ ที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป

“ในส่วนของตัวสินค้า แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้นำเข้ารถยนต์มาทำตลาดหลายราย แต่เรายังมองเห็นช่องว่างที่จะเจาะตลาด นั่นคือ จุดย่อยต่างๆ เช่นรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ติดมากับรถ ซึ่งลูกค้าอยากได้ แต่ไม่มีใครขาย แต่เราสามารถสั่งมาให้ได้ อาทิ ระบบประตูดูด คอนโซลหุ้มหนัง กล้องมองข้าง หรือว่าหนังจระเข้” อิสริยะ กล่าวอย่างมั่นใจ

ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่ รอยัลมอเตอร์ มอว่า เป็นประตูสู่การสร้างแบรนด์ซูเปอร์คาร์ RUF ในเมืองไทย แม้รถยนต์รุ่นนี้จะผลิตจากพื้นฐานบางส่วนจากโรงงานเดียวกับปอร์เช่ แต่ก็มีบุคลิกที่แตกต่าง ที่สำคัญคือความแรงที่มีมากว่า ยกตัวอย่างเช่น รุ่น RUF Rt12S ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับปอร์เช่ 911 เทอร์โบ แต่ RUF มีการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร 6 สูบต่อ จนได้แรงม้าสูงถึง 685 แรงม้า แม้ราคาที่วางไว้จะสูงถึงคันละ 25 ล้านบาท แต่ความต้องการซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงขนาดนี้ และฐานลูกค้าที่มีอยู่น่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 2 คันในปีนี้

ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็นรุ่นที่สั่งผลิตสำหรับเมืองไทยโดยเฉพาะ คือ RUF 987 เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร กำลังสูงสุด 218 แรงม้า ราคา 7.9 ล้านบาท รุ่นนี้มาจากพื้นฐานเดียวกับปอร์เช่ เคย์แมน และคาดว่าจะเป็นรถธงของ RUF ในเมืองไทย เพราะวางเป้าไว้ถึง 18 คัน ซึ่งเพียงพอสำหรับการทำตลาดรถยนต์ซูเปอร์คาร์ในปีแรกของ RUF เมืองไทย

อิสริยะ เผยว่า ปัจจุบันมียอดจองเข้ามาแล้ว หลังการเปิดตัวเมื่อปลายปี 2552 จำนวนหนึ่ง รวมถึงการสั่งสินค้าและขั้นตอนประกอบเสร็จสิ้นแล้วจำนวน 5 คัน ทั้งหมดเป็นการผลิตในแบบแฮนด์เมด ลูกค้าสามารถกำหนดรายละเอียดของรดได้ไม่ว่าจะเป็นสี อุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ การตกแต่ง วัสดุอุปกรณ์ ระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ โดยรอยัล มอเตอร์ส จะส่งคำสั่งซื้อให้กับโรงงาน RUF ในเยอรมัน เพื่อทำการผลิต และใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 8 สัปดาห์ แต่ต้องใช้เวลาขนส่งอีกราวๆ 4 สัปดาห์ รวมระยะเวลาที่ลูกค้าสั่งจนถึงส่งมอบประมาณ 13 สัปดาห์ หรือ 3เดือน

นอกจากรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นแล้ว รอยัลมอเตอร์ยังมองตลาดเซ็กเมนท์อื่นๆ เช่นตลาดรถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่เป็นรถยนต์เอสยูวี จึงมีแผนจะนำรถยนต์ RUF รุ่น R-Roadster พัฒนาจากบอดี้ของ 997 โดยมีรูปทรงใกล้เคียงกับปอร์เช่ ทาร์กา ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็นการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และอาจอยู่ในช่วงปลายปีนี้

รอยัล มอเตอร์ส เตรียมกลยุทธ์ต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งการจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะกับกลุ่มเป้าหมาย การทำ CRM กับฐานลูกค้าที่มีอยู่ ขระที่การสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มลูกค้า มีทั้งการลงทุนสร้างโชว์รูมใหม่ด้วยงบประมาณราวๆ 500 ล้านบาท แต่เป็นโชว์รูมที่จำหน่ายรถยนต์นำเข้าทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันเป็นตลาดหลักของรอยัล มอเตอร์

จุดขายสำคัญของ RUF ที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับรถยนต์รุ่นนี้ เป็นซูเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน โดยเฉพาะ RUF 987 ซึ่งเป็นซูเปอร์คาร์ที่กลุ่มลุกค้าประเป๋าหนักสามารถเข้าถึงได้ และสามารถพัฒนาแบรนด์รอมัล มอเตอร์ ให้สามารถแข่งขันกับซูเปอร์คาร์ ที่มีอยู่ในตลาดทั้ง เฟอร์รารี่ ปอร์เช่ และลัมบอร์กินี่

ที่มา โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

Hulme CanAm ซุปเปอร์คาร์ไซส์เล็ก 600 แรงม้า จากนิวซีแลนด์ เตรียมบุกตลาดเพียง 20 คัน


Hulme CanAm ซุปเปอร์คาร์ไซส์เล็ก 600 แรงม้า จากนิวซีแลนด์ เตรียมบุกตลาดเพียง 20 คัน
Hulme Supercars บริษัทผู้ออกแบบและผลิตซุปเปอร์คาร์จากนิวซีแลนด์ได้เปิดแผนการผลิต Hulme CanAm ซุปเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดในจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน ที่ราคาคันละ 295,000 ปอนด์ซึ่งเป็นราคาที่รวมภาษีภายในประเทศอังกฤษแล้ว สำหรับใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ขอบอกว่าชื่อ Hulme ได้มาจากแชมป์เปี้ยนโลก F1 ปี 1967 นาย Denny Hulme ชาวนิวซีแลนด์ที่ถือว่าเป็นฮีโร่ของคนนิวซีแลนด์ในเรื่องของความเร็ว แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงแต่อย่างใดระหว่างนักแข่งในตำนานของนิวซีแลนด์ผู้นี้กับธุรกิจของ Hulme Supercars

Hulme CanAm เป็นซุปเปอร์คาร์ที่สามารถนำมาขับบนท้องถนนได้อย่างถูกกฏหมาย ตัวถังและโครงสร้างใช้ส่วนประกอบของคาร์บอนน้ำหนักเบาระดับ Ultra Light หรือเบาสุดๆ โดยโครงสร้างตัวถัง ระบบกันสะเทือน และระบบเบรคได้รับการออกแบบมาเพื่อการแข่งรถโดยเฉพาะ น้ำหนักรวมของรถอยู่ที่ 980 กิโลกรัม(2,160 ปอนด์)
ขุมพลังของ CanAm เป็นเครื่องยนต์ LS7 V8 จาก Chevrolet ขนาด 7.0 ลิตร วางกลาง ให้กำลัง 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา CIMA 6 จังหวะ โดยมี option เป็น paddle shifter ด้วยกำลังของเครื่องยนต์และน้ำหนักรถระดับนี้ทำให้ CanAm ทำความเร็วจาก 0 แตะระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาที่ต่ำกว่า 3.5 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รถทั้ง 20 คันจะมีการออกแบบตามสั่งในรายละเอียดที่ต่างกันออกไป โดยการส่งมอบรถจะเริ่มในสหราชอาณาจักรช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าไปจนถึงปี 2012 ครับ
ที่มา: Hulme Supercars,www.autospinn.com

26 พฤษภาคม 2553

ประหยัดจริง! BMW 320d EfficientDynamics เติมเต็มถัง ไป-(เกือบ)กลับ อังกฤษ-เยอรมันนี


ประหยัดจริง! BMW 320d EfficientDynamics เติมเต็มถัง ไป-(เกือบ)กลับ อังกฤษ-เยอรมันนี
นาย Tom Ford นักข่าวสายยานยนต์ชาวอังกฤษและพิธีกรรายการโทรทัศน์ได้ทำการขับทดสอบ BMW 320d EfficientDynamics เวอร์ชั่นซีดานจากอังกฤษไปเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน และวกกลับมายังประเทศฝรั่งเศสจนน้ำมันหมดถัง รวมระยะทางทั้งหมดที่เดินทางได้คือ 1,629 กิโลเมตร(1,013 ไมล์) ทำให้มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางนี้ที่ 68.9 ไมล์/แกลลอน ส่วนอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศอยู่ที่ 109 กรัม/กิโลเมตร ถือว่าเป็นตัวเลขในระดับเดียวกับที่ BMW เคยอ้างไว้

Tom Ford เผยว่า แม้ว่าเขาจะปิดเครื่องปรับอากาศและวิทยุเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ใช้เทคนิคการขับประหยัดน้ำมันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการขับช้าในระดับความเร็วที่เหมาะสม หรือการปล่อยไหลไปตามทางลาด ซึ่งถ้ามาดูตัวเลขอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะพบว่า อัตราการใช้น้ำมันฯต่ำสุดจะอยู่ที่ 75.9 ไมล์/แกลลอน ตามมาตรฐานอังกฤษ(3.7 ลิตร/100 กิโลเมตร) และไม่กินน้ำมันมากไปกว่า 65 ไมล์/แกลลอน(4.4 ลิตร/100 กิโลเมตร) ตลอดระยะทาง และโดยเฉลี่ยอัตราการใช้น้ำมันฯจะอยู่ที่ 68.9 ไมล์/แกลลอน(4.1 ลิตร/100 กิโลเมตร) ส่วนความเร็วรถโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 95.4 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ผู้ขับทดสอบยังเปิดเผยอีกว่า ในตอนแรกเขาคิดว่างานนี้ 320d EfficientDynamics จะต้องล้มเหลวในเรื่องการประหยัดน้ำมันแน่ๆ เพราะหลายต่อหลายครั้งเขาไม่ได้ใส่ใจในการขับเพื่อประหยัดน้ำมันเลย โดยเฉพาะการขับในระดับความเร็ว 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทางด่วนหรือทางที่สามารถขับได้ในความเร็วสูง ถือว่าเร็วกว่าระดับความเร็วประหยัดน้ำมัน แต่ในท้ายที่สุดเขาก็คิดผิด เพราะรถรุ่นนี้ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก

BMW 320d EfficientDynamics ซีดานเล็กรุ่นนี้มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 163 แรงม้า ที่ 3,500-4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 360 นิวตันเมตรที่ 1,750-3,000 รอบ/นาที มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 8.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1 ลิตร/100 กิโลเมตร(เท่ากับ 68.9 ไมล์/แกลลอน ตามมาตรฐานอังกฤษ หรือ 57.4 ไมล์/แกลลอน ตามมาตรฐานอเมริกัน) แถมยังมีอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศที่ค่อนข้างต่ำด้วย คือ 109 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐานยุโรป

เคล็ดลับของการประหยัดน้ำมันของ BMW 320d EfficientDynamics รุ่นนี้ก็คือ เทคโนโลยีประหยัดน้ำมันทั้งหลายที่ติดตั้งมากับรถไม่ว่าจะเป็น ระบบ Auto Start-Stop ระบบใช้พลังงานจากการเบรค ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าเพื่อสมรรถนะของรถที่เหมาะสม อัตราการทดเกียร์ ระบบกันสะเทือนที่ต่ำลง รวมถึงล้ออัลลอยที่ออกมาพิเศษตามหลักอากาศพลศาสตร์หุ้มด้วยยาง EnergySaver จาก Michelin แบบนี้ได้ใจคนรวยรักษ์โลกไปเต็มๆ!!

ที่มา: BMW,www.autospinn.com

Cosworth Impreza STI CS400 รุ่นพิเศษของ Subaru Impreza WRX STI เร็วกระชากระดับซุปเปอร์คาร์


Cosworth Impreza STI CS400 รุ่นพิเศษของ Subaru Impreza WRX STI เร็วกระชากระดับซุปเปอร์คาร์
Subaru ได้เผยภาพอย่างเป็นทางการของ Impreza WRX STI hatchback รุ่นพิเศษที่เรียกว่า Cosworth Impreza STI CS400 ตามชื่อบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมชั้นสูงจากประเทศอังกฤษคือ Cosworth ที่ร่วมพัฒนารถยนต์รุ่นนี้ขึ้นมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รถรุ่นนี้จะมีจำหน่ายเฉพาะในสหราชอาณาจักรเท่านั้น โดยจะผลิตออกมาเพียง 75 คัน และจะเริ่มจำหน่ายในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้

วิศวกรจาก Cosworth ทำการปรับแต่งโดยเริ่มจากเครื่องยนต์ Boxer 2.5 ลิตร ของ Impreza STI ด้วยการติดตั้งลูกสูบสมรรถนะสูง ก้านสูบ ปะเก็นฝาสูบ และแบริ่งชุดใหม่ รวมถึงการวาง ECU ใหม่ การใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ที่มีการปรับแต่งใหม่เช่นกัน รวมถึงวอเตอร์เกท และระบบไอเสียที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ

ผลของการปรับแต่งนี้ทำให้รถมีกำลังรวม 395 แรงม้าที่ 5,750 รอบ/นาที ทำให้ได้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 3.7 วินาที ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ impreza WRX STI รุ่นมาตรฐานที่มีกำลัง 296 แรงม้า และทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.2 วินาที เรียกว่าดีขึ้นผิดหูผิดตา และแรงเร็วในระดับน้องๆซุปเปฮร์คาร์เลยก็ว่าได้
Subaru ยังเปิดเผยอีกว่า Cosworth Impreza STI CS400 ใช้ระบบกันสะเทือนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่พร้อมคอยล์สปริงชุดใหม่ และโหลดเตี้ยลงไป 10 มิลลิเมตร ส่วนระบบเบรคใช้คาลิปเปอร์ 6 พอร์ท ดิสก์เบรคขนาด 355 มิลลิเมตรสำหรับล้อหน้าที่พัฒนาร่วมกับ AP Racing
ในเรื่องของรูปลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับกันชนหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่โดยมีการติดตั้งสปอยเลอร์ส่วนล่าง กระจังหน้าใช้แบบตาข่าย ตกแต่งด้วยโลโก้ Cosworth มีการใช้สปอยเลอร์ด้านหลังแบบใหม่ รวมถึงล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้วก็เป็นแบบพิเศษ ส่วนภายใน แผงหน้าปัดใช้สีดำวาว ตกแต่งด้วยโลโก้ Cosworth และที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นเบาะที่นั่งจาก Recaro

ที่มา: Subaru,www.autospimm.com

25 พฤษภาคม 2553

เชฟโรเลต โวลต์ เอ็มพีวี 5ต้นแบบครอบครัวสีเขียว

เชฟโรเลต โวลต์ เอ็มพีวี 5ต้นแบบครอบครัวสีเขียวเชฟโรเลต ตอกย้ำนโยบายความมุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์คุณภาพระดับโลกด้วย “โวลต์ เอ็มพีวี5” รถเอนกประสงค์ต้นแบบ ที่ได้พัฒนามาจาก โวลต์ ทั้งด้านการออกแบบ และระบบการขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ผนวกความกว้างขวางของห้องโดยสารตามแบบฉบับรถเอนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับครอบครัวสีเขียวโดยเฉพาะ

ก่อนหน้าการเปิดตัว โวลต์ อย่างเป็นทางการในประเทศจีน เชฟโรเลตได้ส่งส่ง โวลต์ เอ็มพีวี 5 ในเวอร์ชั่นรถเอนกประสงค์ต้นแบบ ออกมาชิมลางที่งานไชน่า ออโต โชว์ 2010 ที่กรุงปักกิ่ง ที่เพิ่งจะเปิดฉากขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ โดย โวลต์ เอ็มพีวี 5 มาพร้อมกับรูปโฉมสไตล์รถเอนกประสงค์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ยกระดับด้านความประหยัดน้ำมัน พร้อมสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
“ยานยนต์ต้นแบบ โวลต์ เอ็มพีวี 5 แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการใช้งานระบบไฟฟ้า โวลต์เทค ซึ่งสามารถส่งพลังงานไฟฟ้าออกมาได้และเพียงพอต่อการใช้งานทั้งรถโวลต์ ซีดาน และรถเอนกประสงค์อย่าง โวลต์ เอ็มพีวี 5 คันนี้” ดัก พาร์กส์ ผู้บริหารระดับสูงสายการผลิตยานยนต์และผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีเอ็ม กล่าว

รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการถ่ายทอดรูปลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์จาก เชฟโรเลต โวลต์ เวอร์ชั่นซีดาน โดยเฉพาะด้านหน้ารถ ทั้งกระจังหน้าแบบปิด และช่องรับอากาศบริเวณกันชนที่อยู่ต่ำกว่าปกตินั้น ได้รับการออกแบบตามหลักแอโรว์ไดนามิคส์ ซึ่งจะสามารถช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี ขณะที่เส้นสายรอบคัน และสันเหลี่ยมคมด้านท้ายรถได้ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ช่วยให้ โวลต์ เอ็มพีวี 5 ขับเคลื่อนได้อย่างปราดเปรียวตลอดทุกการเดินทาง
การออกแบบ โวลต์ เอ็มพีวี 5 ไม่เพียงแต่ที่จะเน้นด้านความประหยัดน้ำมันเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของความทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวถังสีฟ้า โซนิค บลู เมทัลลิค คู่กับความสปอร์ตของล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว มิติตัวถังของโวลต์ เอ็มพีวี 5 ที่กว้างขวางเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารทุกที่นั่ง ด้วยขนาดความกว้างของระยะฐานล้อ 2,760 มม. ซึ่งยาวกว่าฐานล้อของ โวลต์ อยู่ราว 15 มม. ขณะที่ตัวถังมีความยาวถึง 4,585 มม. (ยาวกว่าโวลต์ 181 มม.) กว้าง 1,871 มม. (กว้างกว่าโวลต์ 73 มม.) และสูง 1,612 (สูงกว่าโวลต์ 182 มม.)
ภายในห้องโดยสาร โวลต์ เอ็มพีวี 5 ก็ได้รับการถ่ายทอดความหรูหรามาจาก โวลต์ ด้วยเช่นกัน ขณะที่เนื้อที่ภายในห้องโดยสารยังโดดเด่นในด้านความกว้างขวางตามแบบฉบับของเชฟโรเลต เทคโนโลยีความก้าวหน้าของระบบโวลต์เทคนี้ ช่วยให้ โวลต์ เอ็มพีวี 5 ทำความเร็วได้อย่างเต็มที่ และมีอัตราการเร่งสูงสุดพร้อมผู้โดยสาร 5 คน ได้ระยะทางไกลถึง 51.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่มากกว่าการเดินทางเฉลี่ยของของคนจีนในแต่ละวันถึง 2 เท่า และเมื่อพลังงานจากแบตเตอรี่หมดลง เครี่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 1.4 ลิตร ก็จะเริ่มส่งพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่อีกครั้ง
ทางด้าน เควิน เวลล์ ประธานและผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มจีเอ็มประเทศจีน กล่าวว่า “ความต้องการของระบบคมนาคมส่วนบุคคลในประเทศจีนมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายอย่างยิ่งในประเด็นสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงด้านพลังงาน ทางจีเอ็มจึงขอยืนยันว่าจะแสวงหาและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์อันท้าทายนี้ ซึ่งรวมถึงรถพลังงานไฟฟ้า โดยการเปิดตัว โวลต์ เอ็มพีวี 5 ในกรุงปักกิ่งนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีเอ็ม ที่ต้องการจะสร้างให้ประเทศจีนเป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อันก้าวล้ำนี้”

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Ferrari 599 Hybrid ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรักษ์ธรรมชาติ เตรียมประกาศความแรงในงาน Geneva Motor Show

Ferrari 599 Hybrid ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรักษ์ธรรมชาติ เตรียมประกาศความแรงในงาน Geneva Motor Show เป็นอีกหนึ่งชุดภาพหลุดก่อนการเผยโฉมในงานมอเตอร์โชว์ระดับโลกอย่าง Geneva Motor Show แต่ครั้งนี้เป็นภาพหลุดของซุปเปอร์คาร์อันดับต้นๆของโลกอย่าง Ferrari ที่งานนี้เตรียมอวดโปรเจกท์รักธรรมชาติ โดยเตรียมเปิดตัวรถแนวคิด Ferrari 599 Hybrid ที่ค่ายม้าลำพองต้องหาจุดสมดุลย์ระหว่างความแรงและความรักษ์(ธรรมชาติ)ที่ลงตัวให้ได้

ข่าวที่หลุดออกมาเผยว่า ระบบขับเคลื่อนส่วนหนึ่งจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 137 นิวตันเมตรที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังของระบบส่งกำลังวางหลังโดยมีชุดแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้พื้นรถ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กำลังที่เพิ่มขึ้นจะไปช่วยชดเชยน้ำหนักของรถที่มากขึ้นประมาณ 100 กิโลกรัม ผลที่ตามมาก็คือ 599 Hybrid จะเร็วและแรงกว่า 599 รุ่นมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวแจ้งว่า ระบบไฮบริดของ Ferrari ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา กว่าจะได้เห็นซุปเปอร์ไฮบริดรุ่นนี้ออกมาเพ่นพ่านบนท้องถนนก็คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี ส่วนรายละเอียดอื่นๆเราจะได้ทราบกันเมื่อมีการเปิดตัวรถรุ่นนี้ที่ Geneva Motor Show ครับ

ที่มา: carspyshot,www.autospinn.com

Tagged as: 2010 Geneva Motor Show, 599 Hybrid, ferrari, ferrari 599, Ferrari 599 Hybrid, geneva motor show, มอเตอร์โชว์, มอเตอร์โชว์ 2010, รถไฮบริด

BMW ตัดสินใจเดินหน้าผลิต Series 5 Hybrid พร้อมขายปีหน้า ถ้าเวิร์ค ลุยต่อ Series อื่นๆ


BMW ตัดสินใจเดินหน้าผลิต Series 5 Hybrid พร้อมขายปีหน้า ถ้าเวิร์ค ลุยต่อ Series อื่นๆBMW โดย CEO นาย Norbert Reithofer ได้เปิดเผยว่าบริษัทฯได้ตัดสินใจเดินหน้าผลิต BMW Series 5 Hybrid โดยจะเริ่มผลิตและจำหน่ายในปี 2011 หรือปีหน้านี้เลย ซึ่งถ้าผลตอบรับออกมาดี บริษัทฯก็จะเดินหน้าผลิตรถไฮบริดสำหรับรุ่นอื่นๆรวมถึง Series 3 ด้วยเช่นกัน โดย Series 5 Hybrid จะใช้พื้นฐานของรถแนวคิด BMW Series 5 ActiveHybrid ที่เคยเปิดตัวไปแล้วในงาน Geneva Motor Show ที่ผ่านมาในการสร้าง
BMW Series 5 ระบบไฮบริดจะใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์เบนซินทวินเทอร์โบ 6 สูบ แถวเรียง 300 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์(54 แรงม้า) ขับเคลื่อนผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ซึ่งจะประหยัดน้ำมันมากกว่า Series 5 รุ่นมาตรฐานอยู่ประมาณ 10% ถือว่าเป็นข่าวที่น่าสนใจไม่น้อยเพราะ BMW ประเทศไทยยังไม่ทันทำตลาด Series 5 รุ่นใหม่ได้มากนัก รุ่นไฮบริดก็ใกล้คลอดออกมาให้เลือกอีกแล้ว แม้ว่าอาจจะกระทบตลาดรุ่นมาตรฐานอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นรถหรูขนาดกลางรุ่นเดียวที่ชัดเจนในเรื่องนี้เพียงรายเดียวในตลาด ไม่รู้ว่าทางค่ายดาวสามแฉกจะว่ายังไงบ้าง?!
BMW Concept 5 Series ActiveHybrid Pre-Geneva Debut Promo

ที่มา: BMW,www.autospinn.com

24 พฤษภาคม 2553

Chevrolet Trailblazer รถ SUV ดัดแปลงเปิดประทุน เจ้าของขายเองที่ 1.5 หมื่นเหรียญฯ

Chevrolet Trailblazer รถ SUV ดัดแปลงเปิดประทุน เจ้าของขายเองที่ 1.5 หมื่นเหรียญฯถ้าเราพูดถึงรถสปอร์ทเปิดประทุนคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้ามันเป็นรถ SUV เปิดประทุนล่ะ?! รถ SUV เปิดประทุนแบบไร้หลังคามีจริงๆเมื่อกระทาชายที่ชื่อเจฟฟ์ ประกาศขาย Chevrolet Trailblazer รุ่นปี 2003 ที่งานแสดงสินค้าซึ่งจัดขึ้นในชุมชนแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยคนในเว็บไซท์ Motorz.tv ได้ผ่านไปพบจึงเก็บภาพมาให้ชมตามที่เห็น นายเจฟฟ์ ตั้งราคาขาย Trailblazer ที่ขับมาแล้ว 29,500 ไมล์(47,500 กิโลเมตร) ไว้ที่ 15,000 เหรียญสหรัฐฯ ถ้าไม่แคร์แดดแคร์ฝนก็น่าดัดแปลงมาใช้อยู่เหมือนกัน ถือว่าสวยใช้ได้ครับ!

ที่มา: Motorz.tv

รถต้นแบบ Nido รถไฟฟ้าขนาด 2 ที่นั่ง

Pininfarina โชว์รถต้นแบบ Nido รถไฟฟ้าขนาด 2 ที่นั่ง ฉลองครบรอบ 80 ปีของบริษัทฯ
ถือว่าเป็นการฉลองครบรอบ 80 ปีของ Pininfarina สำนักออกแบบรถยนต์ชื่อดังระดับโลก บริษัทฯจึงใช้โอกาสนี้เผยโฉมรถต้นแบบของ Nido รถพลังงานไฟฟ้าทั้งคันรุ่นใหม่ที่พัฒนามาจากรถแนวคิด Nido ที่บริษัทฯได้เคยอวดโฉมมาแล้วในปี 2004 หรือเมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ Nido ได้ถูกออกแบบมาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าของรถขนาดเล็กรวมถึงการพัฒนาชิ้นส่วนของแผ่นรองตัวถังอีกด้วย
รถต้นแบบของ Nido ที่เห็นนี้เป็นรถขนาด 2 ที่นั่งมีความยาว กว้าง และสูงคือ 2,905, 1,683 และ 1,507 มิลลิเมตรตามลำดับ โดยใช้โครงสร้างแบบท่อเหล็ก อย่างไรก็ตามในตอนที่จะผลิตจริงโครงสร้างเหล็กนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นอลูมิเนียมชนิดเบา ซึ่งโครงสร้างลักษณะนี้สามารถรองรับรถในเวอร์ชั่นต่างๆถึง 4 แบบทั้งขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าและไฮบริด ได้แก่ รถขนาด 2 ที่นั่ง รถขนาด 2+2 ที่นั่ง รถกระบะ และรถแวน

Nido ต้นแบบนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิด Permanent Magnet Synchronous วางหลัง ให้กำลัง 30 กิโลวัตต์ ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงบิดสูงสุด 125 นิวตันเมตร โดยพลังงานไฟฟ้าจะถูกสำรองไว้ในแบตเตอรี่ Zebra Z5 แบบนิเกิลโซเดี่ยมคลอไรด์(Ni-NaCl) โดยสามารถขับเคลื่อนให้ Nido วิ่งไปได้ไกล 140 กิโลเมตรเมื่อมีการชาร์จไฟเต็ม

ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จทั้งสิ้น 8 ชั่วโมงจากแหล่งจ่ายไฟขนาด 278 โวลท์
Nido มีอัตราเร่งจาก 0-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง(37 ไมล์/ชั่วโมง) ภายในเวลา 6.7 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง Pininfarina ยังไม่มีแผนในการผลิต Nido ออกมาจำหน่ายในขณะนี้ครับ

ที่มา: Pininfarina,www.autospinn.com

22 พฤษภาคม 2553

ใหม่ Peugeot 308 GTi แฮทช์แบ็ค 5 ประตู เกิดมาเล็กแต่หัวใจสปอร์ท เจาะตลาดยุโรป


ใหม่ Peugeot 308 GTi แฮทช์แบ็ค 5 ประตู เกิดมาเล็กแต่หัวใจสปอร์ท เจาะตลาดยุโรป
Peugeot ยังเดินหน้าปล่อยรถเวอร์ชั่นสปอร์ท GTI ออกมาอีกครั้ง โดยล่าสุดเป็นทีของ 308 GTi สปอร์ทแฮทช์แบ็ครุ่นใหม่ที่จะมีขายเฉพาะในแถบยุโรปเท่านั้น และในช่วงแรกนี้ก็จะมีแต่เวอร์ชั่น 5 ประตู โดยมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ THP 1.6 ลิตร มาพร้อมกับเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin-Scroll ที่พบได้ในรถของ Citroen, Mini และ Peugeot รุ่นอื่นๆ รวมถึง RCZ Sports Coupe รุ่นใหม่ด้วย

เครื่องยนต์ที่ว่าให้กำลัง 200 แรงม้า ที่ 5,500-6,800 รอบ/นาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 275 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,500 รอบ/นาที โดยกำลังจะถูกส่งไปยังล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ 308 GTi มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 7.7 วินาที โดยทำความเร็วในระยะทาง 1 กิโลเมตรภายในเวลา 27.8 วินาที มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ 6.9 ลิตร/100 กิโลเมตร และมีอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศที่ 159 กรัม/กิโลเมตร

โครงสร้างตัวถังของรถได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะของเครื่องยนต์โดยมีการใช้ระบบกันสะเทือนแบบใหม่ พร้อมการตั้งระบบพวงมาลัยใหม่เช่นกัน มีการโหลดเตี้ยรถลงไป 10 มิลลิเมตร ใช้ดิสก์เบรคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 340 มิลลิเมตรสำหรับล้อหน้าและขนาด 290 มิลลิเมตรสำหรับล้อหลัง 308 GTi วิ่งบนล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้วหุ้มด้วยยางสไตล์สปอร์ทขนาด 225/40
ในเรื่องของการอัพเกรดรูปลักษณ์ได้แก่ การใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีดำบริเวณกันชนหน้า สปอยเลอร์หลังคา Diffuser หลังทำด้วยสีดำ Perla Nera Black นอกจากนั้นยังมีโลโก้ GTi และปลายท่อโครเมี่ยมคู่ สำหรับภายในมีการใช้เบาะที่นั่งสไตล์สปอร์ทสำหรับล้อหน้า ที่พักเท้าและหัวเกียร์อลูมิเนียม พวงมาลับสไตล์สปอร์ทหุ้มหนังพร้อมปุ่มฟังค์ชั่นแบบแบนเรียบ
Peugeot 308 GTi จะเริ่มมีจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ในราคาเริ่มต้น 26,900 ยูโรครับ

ที่มา: Peugeot,www.autospinn.com

21 พฤษภาคม 2553

เบนซ์เสริมอี-คลาสเปิดประทุนจ่อตามดีเซล

เบนซ์เสริมอี-คลาสเปิดประทุนจ่อตามดีเซล ปีทองของค่ายดาวแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กวาดยอดขายเป็นว่าเล่น หลังจากลูกค้าอั้นการซื้อมานาน จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะปีนี้มีตัวธง “อี-คลาส” โฉมใหม่ลงเขย่าตลาดรถหรู และเดินหน้าปั้นยอดต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มทางเลือกหลากหลายให้กับเศรษฐีไทย ล่าสุดแนะนำเครื่องยนต์ดีเซลสู่ตลาดแบบรวดเร็วทันใจ ส่ง E250 CDI 204 แรงม้า ที่มากับเทคโนโลยีคอมมอนเรลรุ่นใหม่ ที่แรงได้ใจ แต่ประหยัดเชื้อเพลิง และลดมลพิษขึ้น เคาะราคาที่ 3.999 ล้านบาท แต่ใช่เมอร์เซเดส-เบนซ์จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ยังคงรุกเสริมเขี้ยวเล็บให้กับอี-คลาสโฉมใหม่เต็มที่ เตรียมนำเข้า “อี-คลาส รุ่นเปิดประทุน” มาบุกตลาดช่วงหลังกลางปีนี้ หวังเอาคืนผู้นำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต ที่ชิงเปิดตัวไปก่อนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และถือเป็นสมาชิกรุ่นที่ 3 ของอี-คลาส ภายใต้การทำตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยE250 CDI


นับเป็นความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำหรับค่ายรถหรู “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์เคลียร์อี-คลาสโฉมเก่าในปีที่ผ่าน จนทำให้ค่ายตราดาวสามแฉกเก็บยอดขายไว้ได้อย่างงดงาม ขณะที่ภาพรวมตลาดรถยนต์เมืองไทยติดลบกว่า 10% และมาปีเสือดุความร้อนแรงกลับไม่ห่างหายไป จะเห็นได้เฉพาะในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 กวาดยอดจองไปเกือบ 1,200 คัน เป็นการทุบสถิติในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแรงผลักดันสำคัญมาจากอี-คลาสโฉมใหม่ เวอร์ชั่นประกอบในประเทศ หรือซีเคดี(CKD) ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากจากผู้บริโภค

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ยากที่จะเข้าใจเหมือนกัน นอกจากจะสรุปได้ว่าลูกค้าได้อั้นการซื้อมานานช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากเตรียมรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์ผันผวนทางการเมืองไทย แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีลูกค้าซื้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส โฉมเก่าเป็นอย่างมาก แต่หากพิจารณาดูแล้วจะเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เมื่อก่อนอาจจะยังไม่สามารถขยับมาใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือรุ่นอี-คลาสได้ เมื่อจังหวะเคลียร์สต็อกรับโฉมใหม่ ด้วยการปรับราคาลงมาแบบสุดๆ และแคมเปญเป็นเจ้าของได้ง่าย จึงทำให้เกิดฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ขึ้นมา

ส่วนเมื่อเปิดโฉมใหม่ของอี-คลาส ยอดขายกลับยังพุ่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่นประกอบในไทย หรือซีเคดี(CKD) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นั่นมาจากการผ่อนคลายของสภาวะเศรษฐกิจประกอบกับเป็นโฉมใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอี-คลาส จึงทำให้ฐานลูกค้าเดิมที่อั้นการซื้อมานาน แห่มาซื้อรถยนต์หรูตราดาวกันเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงอี-คลาสในรุ่นอื่นๆ ทั้งซี-คลาส และเอส-คลาส ต่างก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นกัน แม้แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส คูเป้ โฉมใหม่ ยังมียอดจองไปหลายสิบคันแล้ว นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยจะหยุดอยู่เพียงนี้ ยังคงเดินหน้าปั้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวธงรุ่นอี-คลาสโฉมใหม่ ซึ่งได้แนะนำสู่ตลาดไทยไปแล้ว 2 โมเดล คือ แบบซาลูน และคูเป้ เพื่อให้ครบสูตรทางเลือกล่าสุดจึงได้ส่งเวอร์ชั่นซีเคดีของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส เครื่องยนต์ดีเซลสู่ตลาดไทย ซึ่งเดิมกำหนดจะทำตลาดประมาณช่วงกลางปี แต่กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุมัติผ่านมาตรฐานไอเสียเสร็จแล้ว จึงทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยเปิดรับจอง ตั้งแต่ช่วงกลางงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 และแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนพฤศภาคมที่ผ่านมาอี-คลาส เปิดประทุน โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล ที่ส่งทำตลาดเป็นรุ่น E250 CDI BluEFFICIENCY ELEGANCE มากับเทคโนโลยี CDI (Common-rail Direct Injection) รุ่นที่ 4 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอุปกรณ์หัวฉีด Piezo Injection ที่จำหน่ายน้ำมันด้วยแรงดันสูง 2,000 บาร์ และแรงอัดอากาศจากเทอร์โบ 2 ชุด (Compound Turbocharging) ที่มีขนาดต่างกัน โดยเทอร์โบขนาดเล็กทำงานที่รอบต่ำ ส่วนเทอร์โบขนาดใหญ่จะทำงานที่รอบสูง ส่งผลให้เครื่องยนต์ผลิตแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ห้องเผาใหม้ออกแบบให้สมบูรณ์มากขึ้น ทำให้อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยต่ำเพียง 16-17 กม./ลิตร และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศเฉลี่ย 154-159 กรัม/กม. นอกจากนี้เพลาถ่วงสมดุลคู่ (Two Lanchester Balancer Shafte) ยังช่วยให้การสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ลดลง ผู้โดยสารรู้สึกได้ถึงการทำงานที่เงียบ ราบเรียบ และนุ่มนวลขึ้น

E250 CDI BluEFFICIENCY ELEGANCE วางเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2.2 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร ที่รอบทำงาน 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 7.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. โดยจำหน่ายในราคา 3.999 ล้านบาท

นี่จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้า แต่ใช่ว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยจะหยุดการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับรุ่นอี-คลาสเพียงแค่นี้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกโมเดลที่ทำตลาดในต่างประเทศ และเป็นการรับมือกับผู้นำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต จึงเตรียมนำเข้าเวอร์ชั่นเปิดประทุนของอี-คลาสใหม่ออกมาอีกระลอก ซึ่งตามแผนจะเปิดตัวในช่วงหลังกลางปีนี้แน่นอน E-Class Cabriolet หรือรุ่นเปิดประทุนของอี-คลาส โฉมใหม่ เพิ่งถูกเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาชิงลูกค้าไปก่อนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเป็นรุ่น E250 CDI และ E250 CGI เคาะราคาที่ 5.29 ล้านบาท ส่วนเหตุผลที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทย ไม่สามารถนำเข้ามาได้รวดเร็วเหมือนเกรย์มาร์เก็ต เป็นปัญหาเดิมๆ เช่นเดียวกับอี-คลาสแบบซาลูน นั่นคือต้องรอปรับเครื่องยนต์ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในไทยเสียก่อน เพื่อให้สามารถรองรับน้ำมันไทยที่มาตรฐานไอเสียต่ำกว่าของยุโรปได้ ซึ่งกว่าจะเปิดตัวรุ่นนำเข้า หรือซีบียู(CBU) ก็ผ่านเลยมาถึงปลายปี ขณะที่เกรย์มาร์เก็ตตั้งแต่กลางปีที่แล้ว

เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาหนักอกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทย เพราะรถยนต์ที่นำเข้ามาไม่ผ่านการปรับเครื่องยนต์ เมื่อใช้ไปสักระยะจะมีปัญหาเครื่องหยุดทำงานดื้อๆ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ป้ายแดงจอดตายอยู่ริมถนนบ่อยๆ ที่สุดก็ต้องเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยตามแก้ปัญหา เพื่อรักษาภาพพจน์แบรนด์เอาไว้ ไม่เหมือนบีเอ็มดับเบิลยูที่ประกาศนโยบายชัด ไม่รับซ่อมรถที่ขายผ่านเกรย์มาร์เก็ตเด็ดขาด

สำหรับรุ่นอี-คลาส เวอร์ชั่นเปิดประทุน เป็นสมาชิกรุ่นที่ 4 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส โฉมใหม่ หลังจากแนะนำรุ่นซาลูน หรือซีดาน คูเป้ และเอสเตท หรือสเตชั่นแวกอนไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยรุ่นเปิดประทุนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สหรัฐอเมริกา ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดโลกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

อี-คลาส เปิดประทุน เป็นโมเดลที่จะมาแทนรุ่นซีแอลเค(CLK) โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับ อี-คลาส คูเป้ ที่เปิดตัวในเมืองไทยไปในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา และมียอดจองไปหลายสิบคันแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นหลังคาอ่อนผ้าใบสไตล์คลาสสิค ที่สามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติในเวลาเพียง 20 วินาที ขณะรถกำลังวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม.

ทั้งนี้อี-คลาส เปิดประทุน ยังมีระบบ Aircap ที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นตัวเบี่ยงเบนลมด้านบนของกระจกหน้า โดยจะสามารถขยายได้ยาวถึง 6 เซนติเมตร และตัวป้องกันลมโกรกที่อยู่ระหว่างที่นั่งด้านหลัง ระบบดังกล่าวจะช่วยลดการตีไหลย้อนของลม ในขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่ได้ และระบบยังสามารถทำงานได้ แม้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงถึง 160 กม./ชม.

เครื่องยนต์ของอี-คลาส เปิดประทุน มีให้เลือกหลากหลายเช่นเดียวกับรุ่นอุ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่มี E220 CDI 170 แรงม้า รุ่น E250 CDI 204 แรงม้า และรุ่น E350 CDI 231 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รุ่นE200 CGI 184 แรงม้า รุ่น E250 CGI 204 แรงม้า รุ่น E350 CGI 292 แรงม้า ไปจนถึงรุ่น E500 เครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ 388 แรงม้า ส่วนเมืองไทยคงทำตลาดเครื่องเบนซิน E250 หรือ E350 CGI ราคาใกล้เคียงกับเกรย์มาร์เก็ตอาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์” เดินหน้าเสริมเขี้ยวเล็บให้กับอี-คลาสโฉมใหม่อย่างต่อเนื่อง อาจจะมีเหลือก็เพียงรุ่นสเตชั่นแวกอน หรือเอสเตท ซึ่งเกรย์มาร์เก็ตได้นำเข้ามาทำตลาดแล้ว แต่รุ่นนี้กลับยังไม่มีในแผนทำตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยปีนี้ แต่ไม่แน่หากลูกค้าเรียกร้องมากๆ อาจจะได้เห็นในช่วงโค้งสุดท้ายของปีก็ได้?

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Chrysler เผยภาพ All-New Jeep Grand Cherokee ก่อนลุยตลาดต้นเดือนหน้า


Chrysler เผยภาพ All-New Jeep Grand Cherokee ก่อนลุยตลาดต้นเดือนหน้า
Chrysler LLC ได้เผยภาพพร้อมวิดีโอของ All-New Jeep Grand Cherokee รุ่นปี 2011 ล่วงหน้า ก่อนที่จะเริ่มปล่อยออกสู่ตลาดในต้นเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ สำหรับขุมพลังของ SUV สัญชาติอเมริกันรุ่นใหม่นี้จะมีให้เลือก 2 ขนาดเครื่องยนต์คือ เครื่องยนต์ Pentastar V6 3.6 ลิตร 290 แรงม้า ที่มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ 23 ไมล์/แกลลอน ส่วนอีกเครื่องยนต์หนึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ HEMI V8 5.7 ลิตร 360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 390 ปอนด์ฟุต

ในเรื่องของราคา Chrysler ได้เปิดเผยราคาเริ่มต้นไว้ที่ 30,995 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่นระดับ Entry ซึ่งก็คือ Larelo เวอร์ชั่น 4×2 ในขณะที่เวอร์ชั่น 4×4 ของ Laredo เริ่มที่ 32,995 เหรียญสหรัฐฯ โดย All-New Grand Cherokee รุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Chrysler ในเมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกาครับ

ที่มา: General Motors/Chrysler LLC,www.autospinn.com

20 พฤษภาคม 2553

สร้างได้ทั้งความสุข-เสียงหัวเราะ ฮอนด้า สเต็ปแวกอน

สร้างได้ทั้งความสุข-เสียงหัวเราะ ฮอนด้า สเต็ปแวกอน ผลงานการออกแบบรถยนต์กลุ่มเอนกประสงค์ หรือเอ็มพีวี เป็นที่ยอมรับว่า มีความเด่นทั้งด้านรูปทรง และประโยชน์ใช้สอย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ฮอนด้า ฟรีต แม้จะถูกปรามาสเป็นรถยนต์ที่มีเครื่องเครากระทัดรัดเกินไป ขณะที่ราคาค่อนข้างสูง สำหรับผมการเลือกใช้รถมันควรขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งาน ในราคาสอดคล้องกับสถานะทางการเงินด้วย ที่สำคัญรถยนต์เอนกประสงค์ของฮอนด้า ยังมีอีกหลากๆ รุ่น เพียงแต่มันไม่ถูกนำมาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ ฮอนด้า สเต็ปแวกอน จะว่าไปแล้วฟรีดเองก็ส่วนที่คล้ายคลึงกับรถรุ่นนี้ โดยเฉพาะการออกแบบภายใน ทั้งคอนโซลหน้า ช่องเก็บของต่างๆ จนถึงรูปแบบของเบาะนั่ง

ฮอนด้า สเต็ปแวกอนนั้นถูกนำเข้าและจำหน่ายโดยผู้นำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต คันที่ผมนำมาทดสอบนี้มาจาก ค่าย ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่นแบบทั้งคันหรือที่เรียกกันว่า CBU ติดตั้งเครื่องยนต์ VTEC ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 160 แรงม้า

แน่นอนรูปร่างมันย่อมสะดุดตากว่า ฮอนด้าฟรีต เพราะมันถูกนำเข้ามาจำหน่ายในจำนวนไม่มากมายนัก จึงไม่แปลกใจเลย ทำไมไม่ว่าจะขับไปไหนมักจะมีคนหันมามองอย่างสนใจ อย่างไรก็ดีรูปร่างภายนอกมันเป็นเรื่องของความชอบ หรือไม่สอบส่วนตัวครับ สำหรับมุมมองของผมอยากที่บอกตั้งแต่แรก ฮอนด้าพัฒนารถยนต์เอนกประสงค์มาดี สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และที่สำคัญคือระยะหลังๆ นี้ ฮอนด้าพุ่งเป้าไปที่การผลิตรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่ใหญ่โตเหมือนเมื่อก่อน และหาทางเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์เหล่านี้ด้วยหลากหลายวีธี เพื่อให้ผลที่ออกมาคือ เป็นรถยนต์ที่มีความประหยัดสูง

สเตปแวกอน และฟรีด เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นเป้าหมายของฮอนด้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมว่า ฮอนด้าอาจยัดเครื่องขนาด 2.0 ลิตรเข้าไปในฟรีต และใส่ 2.4 ลิตรให้กับสเต็วแวกอน แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ใครๆ ก็กังวนกันเรื่องโลกร้อน เรื่องมลพิษ และเรื่องราคาน้ำมัน

ผมว่าลักษณะการใช้รถยนต์เอ็มพีวีนั้น สาระสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการใช้งานนอกเมืองเป็นหลัก มันเป็นรถยนต์สำหรับ 7-8 ที่นั่งแบบสบายๆ เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 รอบรับได้สูงสุดแถวละ 3 ที่นั่ง ด้วยเหตุที่มันเป็นรถที่มีความสูงกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป แต่พื้นของห้องโดยสารสูงจากพื้นไม่มากนัก ทำให้มันเป็นรถที่ให้ความกว้าง และความสูงของห้องโดยสารมากเลยทีเดียว ขึ้นลงสะดวก ทั้งคนขับและผู้โดยสาร ดังนั้นในเรื่องเดินทางไกลๆ มันเป็นเรื่อง จิ๊บๆ ไปเลย

เส้นทางไปกลับกรุงเทพฯ-เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นบททดสอบการความสะดวก สบายของสเต็ปแวกอนได้ดี เกือบ 500 กิโลเมตร ทำให้ผมเห็นว่า ไม่ว่าจะขับ หรือเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสาร ทุกอย่างดูราบรื่น ระบบปรับอากาศ 2 ตอนให้ความเย็นได้ทั่วถึง เครื่องเสียงที่รองรับไปจนถึงแผ่น DVD สร้างความเพลิดเพลินได้ตลอดเส้นทาง

จะติดนิดหน่อยก็เป็นช่วงขึ้นเขาของทางหลวงหมายเลข 12 ผมต้องเติมน้ำหนักลงคันเร่งแบบเต็มๆ เพื่อให้ได้กำลังไต่ที่ดี แต่มองในมุมกลับมันก็ปลอดภัยดี เพราะสิ่งสำคัญคือมันเป็นรถเอ็มพีวี ความสูงของมันให้ความสะดวกสบายในการโดยสาร แต่เป็นอุปสรรค์ของศูนย์ถ่วงยามต้องเข้าโค้ง ด้วยความเร็วที่สูง ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงเขาทั้งนั้น

จนถึงที่หมายผู้โดยสารทั้ง 8 คนในสเต็ปแวกอน ผลัดกันพูดคุย ผลัดกันหลับพักผ่อนเป็นช่วงๆ แต่ไม่มีใครออกมาตำหนิในเรื่องความเมื่อยล้า ผมเลยทึกทักเอาว่า ฮอนด้าออกแบบเบาะนั่งโดยสารของสเต็ปแวกอนได้ดี

ส่วนในเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น ถ้าวิ่งกันที่ปรกติคือ 100-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมว่ากินกว่าฮอนด้า ซีอาร์วี 2.0 ลิตรไม่เท่าไร แต่อย่าลืมครับว่ามันบรรทุกผู้โดยสารได้ตั้ง 7 คน ราวๆ 8-10 กิโลเมตรต่อลิตรก็น่าจะไหว

เรื่องราคาไม่ต้องห่วงมันแพงแน่นอน เพราะเป็นรถนำเข้าทั้งคัน อยู่ที่คันละ 2,600,000 บาท อย่าเทียบกับฟรีด ที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย เพราะนั้นใช้ความได้เปรียบจากเขตการค้าเสรีอาเซีย และฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายเอง แต่สเต็ปแวกอนมาจากญี่ปุ่น ซึ่งข้อตกลงการค้าเสรีเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างกันนั้นยังไม่ลงมาถึงรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2.0 ลิตร

สำหรับผมราคาของสเต็ปแวกอนคงไม่ใช่ปัญหา เพราะกลุ่มลูกค้าตลาดรถยนต์นำเข้าจะมีฐานะดีอยู่แล้วเพียงเพื่อให้มันเป็นรถยนต์ที่สามารถสร้างความสุข และเสียงหัวเราะของครอบครัวได้ระหว่างเดินทาง โดยไม่เบื่อ เท่านี้ก็พอแล้ว


ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

Volkswagen Phaeton ขอสู้ต่ออีกสักยก

Volkswagen Phaeton ขอสู้ต่ออีกสักยก ที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาในปี 1937 ภาพลักษณ์ของโฟล์คสวาเกนถูกทำให้ยึดติดกับรถยนต์ธรรมดาสำหรับคนทั่วไป หรือ People’s Car ตามคำแปลจากชื่อบริษัทในภาษาเยอรมัน ที่ไม่เน้นอะไรหรูหรามากมายเหมือนกับเพื่อนร่วมชาติอย่างบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงบริษัทในเครืออย่างออดี้ แต่ทว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง โฟล์คฯ เคยฝันและเคยพยายามที่จะอัพเกรดภาพลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาจากรถยนต์ทั่วไปสู่ความเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับหรูภายใต้ไอเดียของท่านผู้นำอย่างดร.เฟอร์ดินันด์ เพี๊ยค นำแนวคิดนี้มาใช้ในช่วงปี 2002 แต่ดูเหมือนว่าการพยายามอัพเกรดจะไร้ผล

บอรา ซึ่งเป็นการนำโฟล์คสวาเกน เวนโต้ หรือกอล์ฟ 4 ประตูมาเพิ่มความหรูหราเพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่ามีระดับตลาดเทียบเท่ากับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสคว่ำไม่เป็นท่าจนกระทั่งต้องยอมแพ้ ขณะที่รถยนต์รุ่นใหญ่อย่างเฟตัน มีชื่อที่มาจากบุตรชายของเทพ Helios ตามตำนานเทพของกรีกก็ประสบปัญหาเดียวกัน ไม่สามารถเจาะเข้าครองใจนักบริหารที่ยึดมั่นกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส

ในตอนแรกนึกว่าโฟล์คฯ จะยอมยกธงไปแล้ว แต่ปรากฎว่า ในงานปักกิ่ง มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา แบรนด์ดังของเยอรมันยังขอสู้ต่อ และเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ที่เป็นการปรับโฉมครั้งที่ 2 ออกมากระตุ้นตลาด และเชื่อว่าน่าจะเป็นการขอสู้ต่อครั้งสุดท้ายก่อนที่รถยนต์รุ่นนี้จะสิ้นสุดอายุตลาด

เฟตันเป็นรถยนต์ระดับหรูที่ถูกเปรียบเปรยว่าคือ ความทะเยอทะยานของโฟล์คฯ ตัวรถถูกพัฒนามาจากงานต้นแบบที่เปิดตัวในปี 2001 ด้วยชื่อ D1 ก่อนจะมีขายในปีต่อมา และเป็นผลผลิตที่โฟล์คฯ ส่งเจาะตลาดทั่วโลกทั้งในยุโรป, ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายในการแข่งกับยานยนต์ที่เป็นสุดยอดความหรูของแบรนด์เยอรมนี

ก่อนที่จะเริ่มทำตลาด โฟล์คฯ ประกาศว่า โรงงานในเมืองเดรสเดนที่เป็นฐานการผลิตของเฟตันจะมีตัวเลขอยู่ที่ 20,000 คันต่อปี โฟล์คฯ สามารถทำได้มากกว่าที่พูด ด้วยตัวเลข 25,000 คัน แต่ทว่าต่อ 4 ปี หรือเฉลี่ยแล้วไลน์ผลิตที่เดรสเดนมีเฟตันหลุดออกมาเพียงปีละ 6,000 คันเท่านั้น หรือน้อยกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ถึง 3 เท่าตัว แม้แต่ตลาดหลักอย่างเยอรมนีที่โฟล์คฯ คาดว่าเฟตันจะได้รับความนิยม ยอดขายจนถึงปี 2009 กลับมีอยู่แค่ 19,314 คันเท่านั้นเอง ขณะที่ตลาดสหรัฐอเมริกาก็ขายได้นิดหน่อย และเลิกนำเข้ามาทำตลาดในปี 2009 หลังจากที่ขายมาตั้งแต่ปี 2004

ตรงนี้ถูกมองว่าเป็นปัญหาเดียวกับที่เล็กซัสประสบในการชิงส่วนแบ่งตลาดหรูในญี่ปุ่นกับบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ นั่นเป็นเพราะตัวลูกค้าเองไม่เกิดความรู้สึกถึงความหรูที่แท้จริง แม้ว่าในเชิงวิศวกรรมและความยอดเยี่ยมที่มีอยู่ในตัวรถ เล็กซัสจะทำได้ดีไม่แพ้ความหรูจากเยอรมนี

อย่างในกรณีของเล็กซัสนั้น คนญี่ปุ่นที่เป็นลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยูและเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมองว่าคือ รถยนต์โตโยต้าที่มีราคาแพงขึ้นเท่านั้นเอง (แม้ว่าเล็กซัสรุ่นใหม่ๆ จะไม่ได้เป็นการนำรถยนต์ของโตโยต้าที่เป็น JDM มารีแบรนด์แล้วก็ตาม) และแน่นนอนว่าการขับรถยนต์อิมพอร์ตย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่าทั้งในมุมมองส่วนตัวและมุมมองที่ได้รับจากภายนอก

ส่วนในกรณีของโฟล์คฯ นั้นก็ไม่ต่างกัน เฟตันต้องเข้าไปเจาะลูกค้าที่เคยขับแต่บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ซึ่งมีมุมมองต่อรถยนต์โฟล์คฯ ว่า เป็นรถยนต์ธรรมดาที่ไม่ได้หรูหราอะไร แน่นอนว่าในวงเงินที่ใกล้เคียงกัน พวกเขาย่อมเลือกและตัดสินใจรถยนต์ที่มีภาพลักษณ์ดีและได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย…เท่ากับว่าความพยายามสร้างความหรูให้กับโฟล์คฯ ของเพี๊ยคก็เลยประสบความล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มขายเลย เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้ไม่ใช่เรื่องของความยอดเยี่ยมที่จับต้องได้ แต่เป็นค่านิยมและความเชื่อของลูกค้าในกลุ่มนั้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโฟล์คฯ จะยังไม่ยอมแพ้ เพราะหลังการปรับโฉมครั้งล่าสุดในปี 2009 พวกเขาก็ยังกระตุ้นตลาดอีกระลอกด้วยการปรับโฉมครั้งใหญ่อีกครั้งในปีนี้ พร้อมกับเริ่มเบนเข็มมารุกตลาดรถยนต์จีน ความเชื่อมั่นของลูกค้าที่นี่ต่อแบรนด์โฟล์คฯ มีมาก และรถยนต์หรูในมุมมองของคนที่นี่ คือ บูอิก ไม่ใช่เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งความยึดมั่นของคนจีนในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
เพราะบูอิคคือรถยนต์ที่ชนชั้นสูงของจีนสมัยนั้นใช้กัน และตรงนี้คือ อีกสาเหตุที่ทำให้จีเอ็มเลือกบูอิคเป็น Core Brand สำหรับใช้ทำตลาดต่อไป ทั้งที่ยอดขายในสหรัฐอเมริกาแทบจะกระอักเลือดแม้ว่าจะจ้างพี่เสือไทเกอร์ วู้ดส์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ตาม

ดังนั้น ตรงนี้ที่ว่างในการเจาะตลาดระดับส่วนบนเพื่อมองหาพื้นที่ให้โฟล์คฯ สามารถยืนอยู่ได้ ยังพอมีความเป็นไปได้

ไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้สามารถสร้างความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์ได้อน่างชัดเจนด้วยการปรับปรุงรูปลักษณ์ด้านหน้าให้สอดคล้องกับแนวทางการออกแบบของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของโฟล์คฯ ซึ่งเรียกว่า DNA Design ผลงานของวอลเตอร์ เดอ ซิลวา นักออกแบบชาวอิตาลีที่เป็นหัวหน้าทีมออกแบบของโฟล์คฯ

ตัรถได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังรหัส D1 ร่วมกับเพื่อนร่วมเครืออย่างเบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล โดยทางเลือกของตัวถังยังเหมือนเดิมด้วย 2 ทางเลือก คือ รุ่นฐานล้อปกติ 2,881 มิลลิเมตรและตัวถังมีความยาว 5,060 มิลลิเมตร ตามด้วยรุ่นฐานล้อยาว 3,001 มิลลิเมตรและตัวถังมีความยาว 5,180 มิลลิเมตร พร้อมออพชั่นที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ระหว่างรุ่นเบาะหลังปกติแบบ 3 ที่นั่ง หรือว่าแบบภูมิฐาน 2 ที่นั่งคั่นกลางด้วยคอนโซลกลาง

เครื่องยนต์มี 4 แบบแบ่งเป็นเบนซิน 3 รุ่น คือ วี6 3600 ซีซี. แบบ FSI หรือเบนซินไดเร็กต์อินเจ็กชัน 280 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. ตามด้วยวี8 4200 ซีซี. 331 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 43.8 กก.-ม. และรุ่นท็อป W12 6000 ซีซี. 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 57.0 กก.-ม. ส่วนเทอร์โบดีเซลมีแบบเดียว วี6 3000 ซีซี. 240 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. โดยทุกรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบ 4MOTION

หวังว่าหลังปรับโฉมแล้ว น่าจะทำให้สถานการณ์ของโฟล์คฯ กับตลาดรถยนต์ระดับหรูดีขึ้นไม่มากก็น้อย แต่จะดีถึงขั้นส่งผลต่อเนื่องไปยังการผลิตเจนเนอเรชันที่ 2 ออกมาทำตลาดในอนาคตหรือไม่นั้น อันนี้คงยากเกินความคาดหมาย
ที่มา http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9530000066674

Ford เปิดอัตราซดน้ำมัน Fiesta ขับนอกเมืองประหยัดกว่า Jazz และ Yaris ถึง 5 ไมล์/แกลลอน


Ford เปิดอัตราซดน้ำมัน Fiesta ขับนอกเมืองประหยัดกว่า Jazz และ Yaris ถึง 5 ไมล์/แกลลอน
Environmental Protection Agency หรือ EPA หน่วยงานที่รับผิดชอบในด้านการป้องกันผลกระทบกับสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาที่บริษัทผู้ผลิตอ้างอิงผลการทดสอบรถยนต์ในเรื่องอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อยมลพิษสู่อากาศ โดย Ford ได้เปิดเผยตัวเลขอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของ Ford Fiesta ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 จังหวะ แบบใหม่ของ Ford ซึ่งได้ผลดังนี้

อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขับนอกเมืองอยู่ที่ 40 ไมล์/แกลลอน ส่วนการขับในเมืองอยู่ที่ 29 ไมล์/แกลลอน ในขณะที่รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขับนอกเมืองอยู่ที่ 37 ไมล์/แกลลอน และ 29 ไมล์ สำหรับการขับในเมือง

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกันอย่าง Hinda Fit หรือ Jazz และ Toyota Yaris จะพบว่า Fiesta ประหยัดน้ำมันได้ดีกว่าถึง 5 ไมล์/แกลลอน
Ford Fiesta ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Duratec Ti-VCT 1.6 ลิตร Naturally-Aspirated(NA) ที่ให้กำลัง 120 แรงม้า
สำหรับตลาดอเมริกา Ford จะเริ่มจำหน่าย Fiesta ทั้งเวอร์ชั่นซีดาน 4 ประตูและแฮทช์แบ็ค 5 ประตูในอีกไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ในราคาเริ่มต้น 13,995 เหรียญสหรัฐสำหรับเวอร์ชั่นซีดานรุ่นเล็กสุด ส่วนราคาของเวอร์ชั่นแฮทช์แบ็คยังไม่มีการเปิดเผย สำหรับการเริ่มขายในเมืองไทยก็คงจะเริ่มในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ครับ

ที่มา: Ford,www.autospinn.com

New Nissan เปิดราคา Leaf รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เจอกันปลายปีที่ยุโรป ในราคาน่าลุ้นกว่าใคร


New Nissan เปิดราคา Leaf รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เจอกันปลายปีที่ยุโรป ในราคาน่าลุ้นกว่าใคร
Nissan Leaf ได้รับความสนใจอย่างมากไม่เพียงแต่ในฐานะรถไฟฟ้ารูปทรงน่าดึงดูดใจเท่านั้น แต่หลายฝ่ายคาดว่าเป็นรถไฟฟ้าคู่แข่งตัวฉกาจของ Chevrolet Volt หรือในบางตลาดใช้ชื่อยี่ห้อและรุ่นว่า Opel หรือ Vauxhall Ampera โดย Nissan เริ่มขยับตัวก่อนด้วยการประกาศเปิดราคาขายในยุโรปแล้ว และจะเริ่มจำหน่ายก่อนสิ้นปีนี้ในยุโรปบางประเทศ ตามด้วยสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ในต้นปีหน้า

ในเนเธอร์แลนด์ Nissan เปิดขาย Leaf ที่ 32,839 ยูโรซึ่งเป็นราคาที่รวมภาษีขายแล้ว โดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีการใช้ถนนสำหรับรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานของรัฐบาล ส่วนในโปรตุเกสและไอร์แลนด์ราคารวมอยู่ที่ 29,955 ยูโร ซึ่งเป็นราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศจำนวน 5,000 ยูโร โดยไม่มีภาษีค่าใช้ถนนเพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

ส่วนในสหราชอาณาจักร ราคาขายตั้งไว้ที่ 23,350 ปอนด์(เป็นปอนด์นะครับ) ซึ่งในช่วงนี้ค่าเงินปอนด์ค่อนข้างจะอ่อนเมื่อเทียบกับเงินยูโรทำให้ไม่แพงอย่างที่คิด โดยหลายฝ่ายคาดว่าคู่แข่งอย่าง Opel/Vauzhall Ampera จะเปิดขายที่ 28,000 ปอนด์ซึ่งถือว่าราคาสูงกว่ามาก

Nissan อ้างว่าบริษัทฯเป็นผู้ผลิตรถรายแรกที่สามารถผลิตรถไร้มลพิษในราคาที่ทุกคนสามารถจ่ายได้ ซึ่ง Leaf เป็นรถไฟฟ้าทั้งคัน ไร้มลพิษ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ ในขณะที่มีอัตราเร่งที่ดี มีความนุ่มนวลในการขับ และง่ายต่อการควบคุมที่จะทำให้ทุกคนประทับใจ

การที่ Nissan เลือกตลาดเปิดตัว Leaf เป็นเนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ก็เนื่องมาจากว่ารัฐบาลประเทศเหล่านี้มีกฏหมายลดภาษีสำหรับผู้ซื้อรถไร้มลพิษหรือมีมลพิษต่ำ โดย Leaf จะเริ่มบุกตลาดอื่นๆในยุโรปก่อนสิ้นปี 2011 ครับ
ที่มา: Nissan,www.autospinn.com

18 พฤษภาคม 2553

A1แรง!ออดี้รับยอดจองทะลุเป้า

A1แรง!ออดี้รับยอดจองทะลุเป้า กลายเป็นรถยนต์ไซส์เล็กที่แรงเกินตัวสำหรับออดี้ A1 เมื่อทางค่าย 4 ห่วงเผยว่า ยอดจองของซับคอมแพ็กต์ระดับหรูรุ่นนี้ทำตัวเลขเกินหลัก 50,000 คัน ซึ่งเป็นยอดการผลิตที่วางเอาไว้สำหรับปีนี้ ทั้งที่เพิ่งเปิดตัว งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
‘ตอนนี้ตัวเลขยอดจองมีมากเกินจากเป้าการผลิตของเรา ปีนี้แล้ว’ ปีเตอร์ ชวาร์เซนเบาเออร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดของออดี้ เอจีกล่าว

A1 เป็นรถยนต์รุ่นเล็กสุดของออดี้ที่ถูกพัฒนามาจากรถยนต์ต้นแบบซึ่งเปิดตัว งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2007 โดยตัวรถถูกวางเป้าหมายในการจับกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาวโดยเน้นไปที่กลุ่มผู้หญิง และมีการจ้างนักร้องชื่อดังอย่างจัสติน ทิมเบอร์เลคมาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้กับบริษัท และทำงานครั้งแรกกับการลงเล่นในซีรีส์สำหรับโปรโมท A1 เลย

ส่วนยอดจองทั้งหมดของตัวรถน่าแปลกใจเหมือนกันที่ 90% ของคนที่ควักเงินจองนั้นเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยครอบครองรถยนต์ของออดี้มาก่อน ซึ่งประเด็นนี้อาจจะมาจากราคาของ A1 ที่เริ่มต้นไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์ โดยสตาร์ทที่ 15,800 ยูโรในเยอรมนี หรือ 726,000 บาทเท่านั้นเอง

A1 ถูกพัฒนาบนพื้นตัวถัง PQ25 ของเครือโฟล์คสวาเกนร่วมกับเซียท อิบิซ่า, โฟล์คสวาเกน โปโล ซึ่งในตอนแรกมีข่าวว่า A1 จะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น A2 ที่ออดี้เลิกขายไปในปี 2006 แต่สุดท้ายแล้วไม่เกี่ยวกัน เพราะออดี้เองก็มีแผนปัดฝุ่นนำชื่อ A2 กลับมาใช้อีกครั้งในปี 2012

ตัวรถเป็นแบบแฮทช์แบ็ก 3 ประตูที่มีความยาว 3.91 เมตร และระยะฐานล้อ 2.46 เมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบคือ เบนซินเทอร์โบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ TFSI แบบ 4 สูบ 1,200 ซีซี 87 แรงม้า และ 1,400 ซีซี 122 แรงม้า ปิดท้ายกับเทอร์โบดีเซล 1,600 ซีซี 105 แรงม้า

สำหรับคู่ปรับของ A1 มีทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส ส่วนบีเอ็มดับเบิลยูก็จะอยู่ในระดับเดียวกับมินิ โดยที่มีอัลฟา Mi.To เป็นคู่ปรับอีกราย โดยทางออดี้ตั้งเป้าการส่งมอบให้กับลูกค้าในปีหน้าเป็นจำนวน 80,000 คัน ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 100,000 คันในปีต่อไป โดยฐานการผลิตของตัวรถอยู่ที่โรงงานในเมืองบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เล็กซัสเผยโฉม 50 LFA สุดเร้า

เล็กซัสเผยโฉม 50 LFA สุดเร้า50 คันเท่านั้นจากยอดการผลิตทั้งหมด 500 คันของซูเปอร์คาร์ LFA โดยทางด้านเล็กซัส แบรนด์หรูของโตโยต้าเผยความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ด้วยลิมิเต็ด เอดิชันของ LFA ในชื่อ Nürburgring Package ซึ่งแพงกว่ารุ่นปกติอยู่ 70,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.24 ล้านบาท
ความแตกต่างระหว่างรุ่นนี้กับรุ่นปกติของ LFA สังเกตได้อย่างชัดเจนกับความดุดันบนตัวถังด้วยสปอยเลอร์ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์รอบคัน เช่นเดียวกับสปอยเลอร์หลังทรงสูงแบบยึดติดตายตัว ไม่ได้ยกขึ้นตามระดับความเร็วเหมือนกับรุ่นปกติ ตามด้วยล้อแม็กลายใหม่ พร้อมดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิก และสีตัวถังมี 3 แบบ คือ ขาว, ดำ และส้ม ซึ่งสีดำมีทั้งดำเงา และดำด้านแบบ Matte Black ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 20,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 640,000 บาท
สำหรับเครื่องยนต์รหัส 1LR-GUE แบบวี10 4,800 ซีซีได้รับการอัพเกรดอีกเล็กเพิ่มความเร้าใจด้วยจำนวนม้าในคอกที่เพิ่มขึ้นอีก 10 แรงม้าเป็น562 แรงม้า ส่วนเกียร์แบบกึ่งอัตโนมัติที่มีการเปลี่ยนเกียร์ในแบบซีเควนเชียล ก็จะมีจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วขึ้นดว่าเดิมอีก 0.05 วินาที โดยอยู่ที่ 0.15 วินาที

Nürburgring ฝั่งเหนือ หรือ Nordschleife (The North Loop) ถือเป็นสนามที่มีความสำคัญกับผู้ผลิตรถยนต์หลายรายโดยเฉพาะพวกรถสปอร์ตพลังแรงทั้งหมด ที่มักจะนำตัวเลขที่แล่นทดสอบในสนามแห่งนี้มาเป็นมาตรบานอ้างอิงสมรรถนะของตัวเอง โดยสนามแห่งนี้มีระยะทางต่อรอบมากกว่า 20 กิโลเมตร และมีเส้นแบ่งเวลาอยู่ที่ 8 นาทีสำหรับความเป็นรถสปอร์ตพลังแรงหรือว่ารถสปอร์ตธรรมดา และในช่วงเวลาของการพัฒนา เล็กซัสก็นำ LFA ออกไปแล่นทดสอบที่สนามแห่งนี้อยู่เป็นประจำ

สำหรับค่าตัวของ Nürburgring Package อยู่ที่ 450,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 14.4 ล้านบาท และจะมีการผลิตออกมาแค่ 50 คันเท่านั้น


ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อังกฤษเปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ รุ่นท็อปสุด เทอร์โบดีเซล 2.0 ลิตร 150 แรงม้า

อังกฤษเปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ รุ่นท็อปสุด เทอร์โบดีเซล 2.0 ลิตร 150 แรงม้า วันนี้ขอนำภาพและรายละเอียดของ Chevrolet Captiva LTZ ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดโฉมใหม่ที่กำลังจะทำตลาดในสหราชอาณาจักรมาให้ชมว่าของฝรั่งเขาใช้ Captiva แบบไหนกันบ้าง Captiva LTZ รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรือเลือกที่จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะได้เช่นกัน ซึ่งที่อังกฤษมีการทำตลาดทั้งแบบขายขาดหรือให้เช่า ราคาของ Captiva LTZ รุ่นท็อปสุดตัวนี้อยู่ที่ 27,305 และ 28,630 ปอนด์สำหรับเวอร์ชั่นเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติตามลำดับ
รถ SUV ขนาด 7 ที่นั่งรุ่นนี้มีจุดเด่นตรงล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว และชุดไฟด้านหลังแบบใหม่ ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานได้แก่ ชุดเบาะที่นั่งด้านหน้าหุ้มหนังพร้อมระบบทำความอุ่น ระบบควบคุมอากาศอิเล็กทรอนิกส์ เซนเซอร์จอดรถพร้อมกล้องมองแบบ Reverse ที่ทำงานผ่านระบบดาวเทียมแสดงผลผ่านจอขนาด 7 นิ้ว ระบบ Cruise Control เบาะที่นั่งไฟฟ้าปรับได้ ระบบควบคุมไฟหน้าอัตโนมัติ เซนเซอร์ที่ปัดน้ำฝน และกระจกข้างไฟฟ้า
ระบบความปลอดภัยได้แก่ ABS, ESC และ Traction Control ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและหลังสำหรับคนขับและผู้โดยสาร รวมถึงถุงลมนิรภัยม่านหลังคา
ที่มา: General Motors,www.autospinn.com

16 พฤษภาคม 2553

Opel Astra ใหม่ ปี 2010 ในชุดแต่งโฉมพร้อมโหลดเตี้ย 30 มม. สรรสร้างโดย Steinmetz


Opel Astra ใหม่ ปี 2010 ในชุดแต่งโฉมพร้อมโหลดเตี้ย 30 มม. สรรสร้างโดย Steinmetz
ในงาน Tuning World Bodensee 2010 สำนักแต่งรถที่เชี่ยวชาญในการแต่งรถยนต์จากค่าย Opel ที่ชื่อ Steinmetz ได้แนะนำชุดแต่งสำหรับ Opel Astra เวอร์ชั่นแฮทช์แบ็คโฉมใหม่ล่าสุด ที่ประกอบด้วยสปอยเลอร์หน้า ปีกหลัง กระจังหน้าใหม่สีดำทั้ง 2 ชั้น นอกจากนั้นยังมีชุดโหลดเตี้ย 30 มิลลิเมตร ล้ออัลลอยใหม่ขอบ 19 นิ้ว ที่มี 2 แบบให้เลือก หุ้มด้วยยางขนาด 235/35 ภายในมีการเพิ่มจอแสดงเกียร์ที่ใช้อยู่ พรมรองพื้นพร้อมโลโก้ทำด้วยสเตนเลส และแผ่นธรณีประตูสเตนเลสเช่นกัน

ที่มา: Steinmetz,www.autospinn.com


Tagged as: 2010 opel astra, astra, Opel, opel astra, Opel Astra แต่ง, รถแต่ง, สำนักแต่งรถ, สำนักแต่งรถ steinmetz, แอสตร้า, โอเปิล, โอเปิล แอสตร้า, โอเปิ้ล

New Marussia F2 รถ SUV ทรงดุล้ำสมัย ใช้งานได้สารพัดประโยชน์ โชว์ตัวที่มอสโคว


New Marussia F2 รถ SUV ทรงดุล้ำสมัย ใช้งานได้สารพัดประโยชน์ โชว์ตัวที่มอสโคว
Marussia Motors บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากรัสเซียที่รู้จักกันในฐานะผู้ผลิตซุปเปอร์คาร์ B1 และ B2 ได้เปิดตัว F2 รถ SUV ทรงดุในงานแถลงข่าวที่กรุงมอสโคว โดย Marussia F2 รุ่นนี้ได้รับการออกแบบมาใช้งานในลักษณะรถอเนกประสงค์ที่สามารถรองรับได้ทุกสภาพอากาศดังที่ได้สะท้อนออกมาทางรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่งบึกบึน ซึ่งจุดประสงค์ในการใช้งานไม่เพียงแต่นำไปใช้กับภารกิจส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้งานเป็นรถฉุกเฉิน รถบัญชาการ รถทหาร หรือรถเช่าที่ใช้งานเฉพาะทาง

ภายในยังได้รับการออกแบบให้ยืดหยุ่นตามการประยุกต์ใช้งานของลูกค้าและมีการออกแบบในหลายจุดที่ดึงดูดสายตาไม่ว่าจะเป็น ปุ่มสวิทช์ต่างๆ ช่องปรับอากาศรูปใบพัด จอแสดงผลชนิดแบน เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดียที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบ Infotainment มีฟังค์ชั่นและอุปกรณืไฮเทคต่างๆไม่ว่าจะเป็น GPS ระบบรับสัญญาณโทรทัศน์ Bluetooth หรือแม้แต่ Skype เรียกว่าดุแต่ล้ำสมัย

ที่มา: Marussia,www.autospinn.com


Tagged as: F2, Marussia, Marussia F2, Marussia F2 crossover, Marussia F2 SUV, รถเอสยูวี