29 ธันวาคม 2553

Nissan Murano CrossCabriolet : ฉีกแนว SUV เปิดประทุน

ตอนแรกที่นิสสันปล่อยข่าวว่า จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับเอสยูวีหรูสายพันธุ์มูราโน ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นแค่ต้นแบบสำหรับจัดแสดง เพราะดูจากภาพคร่าวๆ เอสยูวีกับการเปิดประทุน ดูเหมือนไม่น่าจะเข้ากันได้ดีเมื่อต้องกลายเป็นรถยนต์ในสายการผลิต แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็กลายเป็นจริง และโปรเจ็กต์นี้ไม่ใช่แค่การทำขึ้นมาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์เพียงอย่างเดียว
ผลผลิตใหม่นี้ถูกเรียกว่ามูราโน ครอสส์คาบริโอเลต โดยเปิดตัวครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และจะเริ่มวางขายในตลาดประมาณต้นปีหน้า พร้อมกับสร้างความฮือฮาด้วยการฉีกแนวคิดในการนำเอสยูวีมาถอดหลังคาแข็งออก และติดตั้งระบบหลังคาผ่าใบแบบพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมกับได้รับการขนานนามว่าเป็นรถยนต์แบบครอสโอเวอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกของโลกที่มาในแบบเปิดประทุน
แม้ตัวรถจะได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของมูราโนรุ่นปัจจุบัน แต่ก็ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังใหม่ทั้งหมด เพราะว่าของเดิมเป็นแบบ 5 ประตู แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้เป็นแบบ 2 ประตูเปิดประทุน ดังนั้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถังหลักจึงมีความจำเป็น เช่นเดียวกับการออกแบบภาพรวมของตัวรถให้ดูกลมกลืนและไม่แปลกตา
บานประตูของรุ่นเปิดประทุนเมื่อเปรียบเทียบกับกับรุ่น 5 ประตูแล้วจะยาวกว่า 7.9 นิ้ว ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกของผู้โดยสารบนเบาะนั่งด้านหลัง เสากลางหรือ B-Pillar ถูกถอดออก ดังนั้นหน้าที่ในการป้องกันอันตรายจากการพลิกคว่ำของตัวรถคือ ความแข็งแกร่งของเสากระจกบังลมหน้า หรือ A-Pillar ขณะที่จะมีคานนิรภัยที่เรียกว่า Pop-up Rolls Bars กระเด้งขึ้นมาจากทางด้านหลังของเบาะนั่งหลังหากตัวรถมีการพลิกคว่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะของผู้โดยสารด้านหลังกระแทกเข้ากับพื้นถนน ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ Cd อยู่ที่ 0.39
หน้าที่ของการขับเคลื่อนเป็นงานของเครื่องยนต์เบนซินวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 3,700 ซีซี มีกำลังสูงสุด 265 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 36.6 กก.-ม. พร้อมระบบ NICS-Nissan Variable Induction Control System มีอัตราส่วนการอัดอยู่ที่ 10.3 : 1 และRedline เริ่มที่ 6,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านทางเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT แบบ Xtronic และมีโหมดให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ +/- ได้ ซึ่งเรียกว่า ASC-Adaptive Shift Control
ในส่วนของระบบกันสะเทือนไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่น 5 ประตู โดยตัวรถ ยังใช้พื้นตัวถังแบบ D-Platform ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ แต่มีการปรับเซ็ตรายละเอียดและ บุคลิกของช่วงล่างให้เหมาะสมกับการใช้งานแบบเปิดประทุน โดยเฉพาะการขับเล่นกินลมมากกว่า การลุยบนเส้นทางออฟโรด
เดือนมีนาคม 2011 วางขายแน่นอน แต่นิสสันไม่ได้บอกว่าจะมีแค่สหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว หรือว่าจะส่งขายในตลาดทั่วโลกด้วย
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ข่าวเด่นรอบปี : "โฟล์ค"ขอแซงยอดขายโตโยต้า

ยุคที่จีเอ็มล่มสลายไปในปี 2009 ทำให้โตโยต้าสามารถขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกได้สำเร็จ แต่ทว่าบัลลังก์ของโตโยต้า ก็ต้องเริ่มสั่นคลอน เมื่อปี 2010 โฟล์คสวาเกนประกาศชัดเจนว่า จะทำทุกวิถีทางในการโค่นโตโยต้าให้ได้ และวางเป้าหมายระยะยาวเอาไว้ว่าปี 2018 จะต้องเป็นผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของโลกให้จงได้
การประกาศนโยบายนี้ทำให้โฟล์คสวาเกน เดินหน้าเต็มอัตราในการแซงหน้าเพื่อขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่มียอดขายสูงสุดของโลก แทนที่โตโยต้า โดยประกาศทุ่มเงินจำนวน 71,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.13 ล้านล้านบาทสำหรับการลงทุนในทุกเพิ่มยอดผลิตและยอดขายของตัวเองให้สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ภายในปี 2018

ดร.มาร์ติน วินเตอร์คอร์น ซีอีโอของโฟล์คฯ กล่าวว่า ‘การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ในตลาดรถยนต์ของโฟล์คสวาเกน และเรามีความต้องการที่จะเดินตามรอยเพื่อให้แผนกลยุทธ์ปี 2018 บรรลุตามที่วางเอาไว้’

สำหรับเงินลงทุนจำนวนนี้ จะถูกนำมาใช้ในการทำงานในส่วนต่างๆ ของโฟล์คสวาเกนตลอดช่วงปี 2011-2015 โดยจำนวน 27,700 พันล้านยูโร หรือ 1.33 ล้านล้านบาท จะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของโฟล์คสวาเกนที่มีอยู่ในตลาด ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาด โดยการพัฒนาเหล่านี้จะมุ่งเน้นไปทุกแบรนด์ที่อยู่ในเครือ เช่น เบนท์ลีย์, สโกดา, เซียท, ปอร์เช่, ออดี้ และลัมบอร์กินี

นอกจากนั้น อีกจุดที่ทางโฟล์คฯ ให้ความสำคัญคือ การยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้นของลูกค้า โดยจะเน้นทั้งในส่วนการเปลี่ยนแปลงของโรงงานปั๊มขึ้นรูปตัวถัง, การพ่นสี และไลน์ประกอบรถยนต์

ส่วนของไลน์การผลิตที่จะมีการก่อสร้างใหม่นั้น ทางโฟล์คฯ ยืนยันแล้วว่าจะก่อสร้างโรงงานที่เมือง Chattanooga มลรัฐเทนเนสซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นโรงงานหลัก ในการผลิตรถยนต์ของโฟล์คฯ เพื่อส่งขายในสหรัฐอเมริกา รวมถึงยังมีการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน ในรัสเซีย และการก่อสร้างโรงงาน ในประเทศจีนอีกอย่างน้อย 2 แห่ง

การเพิ่มรุ่นรถยนต์ในตลาดถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการพาโฟล์คฯ ให้ขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกยานยนต์ ซึ่งในตอนนี้ทางแบรนด์ดังของเยอรมนีต้องการเพิ่มตัวเลือกใหม่ๆ ในตลาดผ่านแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือ และในปี 2012 มีการตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 8 ล้านคัน ส่วนในปี 2015 จะมีการเพิ่มตัวเลขเป็น 10 ล้านคันให้ได้
ข่าวเด่นรอบปี : "โฟล์ค"ขอแซงยอดขายโตโยต้า
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

26 ธันวาคม 2553

New Suzuki เปิดตัว Solio มินิวากอน

New Suzuki เปิดตัว Solio มินิวากอนทรงสูง เล็งขาย 12,000 คันต่อปี พร้อมผลิตให้ Mitsubishi เมื่อวานนี้(24 ธค.53) Suzuki Motor Corp. ได้เปิดตัว Solio รถมินิวากอนทรงสูงที่จะมีจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งบริษัท Suzukiจะเริ่มขายในเดือนมกราคม ที่จะถึงนี้ Solio มีความยาว 3,710 มิลลิเมตร โดยมีเครื่องยนต์เพียงรุ่นเดียวคือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ CVT โดยใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและมีระบบขับเคลื่อนแบบ 4WD เป็นอ็อปชั่น Suzuki ตั้งเป้าจำหน่ายรถรุ่นนี้ไว้ที่ปีละ 12,000 คัน
หลังจากการแถลงข่าวเปิดตัว Solio ทาง Suzuki และ Mitsubishi ก็ได้แถลงการณ์ร่วมถึงความร่วมมือที่ Suzuki จะทำการผลิตรถรุ่นนี้ให้กับ Mitsubishi ในแบบ OEM ซึ่งตามข้อตกลง Suzuki จะทำการผลิต Solio ให้กับ Mitsubishi เดือนละ 800 คัน เริ่มตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2011 ซึ่ง Mitsubishi เปิดเผยว่า ความร่วมมือนี้จะช่วยทำให้บริษัทฯได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เนื่องจากบริษัทฯมีทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้นนั่นเอง
ทางด้านของ Suzuki นอกจากการได้ยอดขายเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยจากการผลิตสินค้าจำนวนมากตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า Economy of Scale ด้วยเช่นกัน เรียกว่า Win-Win ทั้งคู่!
ที่มา: Suzuki,autospinn

22 ธันวาคม 2553

New Nissan Ellure Concept : สปอร์ตซีดานขุมพลังไฮบริด

New Nissan Ellure Concept : สปอร์ตซีดานขุมพลังไฮบริด แม้จะไม่ได้เดินตามรอบคู่ปรับร่วมชาติอย่างโตโยต้า และฮอนด้าในการผลิตต้นแบบเพื่อสร้างสีสันในโลกขุมพลัง EV แต่นิสสันก็เขย่าตลาดรถยนต์ไฮบริดครั้งใหม่ด้วยการนำเสนอขุมพลังประเภทนี้ผ่านทางสปอร์ตซีดานต้นแบบรุ่นใหม่ที่สวยสะดุดตา และได้รับการออกแบบอย่างล้ำสมัย
ผลผลิตนี้มีชื่อว่า Ellure ซึ่งทางชิโร่ นาคามูระ รองประธานฝ่ายออกแบบของนิสสัน มอเตอร์ กล่าวว่า ต้นแบบรุ่นนี้ไม่ได้เป็นการแสดงให้เห็นถึงทิศทางในการออกแบบของรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่งของนิสสันที่จะเปิดตัวในอนาคต แต่ทว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนิสสันด้านงานออกแบบเพื่อสื่อให้เห็นถึงความเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งอีกคนในตลาดรถยนต์ซีดานยุคนี้และยุคหน้า

บนตัวถังแบบซีดาน 4 ประตูขนาดกลาง รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถได้รับการออกแบบเน้นรูปทรงสปอร์ต พร้อมความปราดเปรียวและเพรียวลมสอดคล้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ ส่วนกระจังหน้าได้รับอิทธิพลในการออกแบบมาจาก Kamishino หรือชุดของซามูไร ส่วนด้านท้ายได้รับอิทธิพลมาจาก Torii หรือเสาประตูที่อยู่ด้านหน้าของวัดชินโต
ประตูทั้ง 4 บานเปิดออกในลักษณะที่เหมือนกับตู้กับข้าว และไร้เสากลางในการสร้างความเกะกะในการเข้าและออกจากห้องโดยสาร เสริมความสวยด้วยล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว และยางแบบ Low Rolling Resistance เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

ภายในห้องโดยสารเน้นความสวยล้ำสมัย และการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุหุ้มเบาะหน้ามาจากใยที่สังเคราะห์จากกระบวนการรีไซเคิลเป็น PET Ultra Microfiber พร้อมกับการออกแบบรูปทรงให้ดูสวยและปราดเปรียวทั้งเบาะนั่งด้านหน้า และหลัง
PURE DRIVE กลายเป็นนิยามใหม่ในการขับเคลื่อนของนิสสันเมื่อพูดถึงเรื่องความประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Ellure มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม สนุกสนาน และตอบโจทย์ในเรื่องความประหยัดน้ำมัน
ขุมพลังแบบไฮบริดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า Intelligent Dual Clutch Control คล้ายกับระบบที่ใช้ในนิสสัน ฟูก้า หรืออินฟินิตี้ เอ็ม ซีรีส์ โดยระบบไฮบริดนี้จะใช้คลัตช์ 2 ตัวในการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมกับใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนในการเก็บกระแสไฟฟ้า

ระบบไฮบริดที่ติดตั้งใน Ellure เป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,500 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 25 กิโลวัตต์ ส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT แบบ Xtronic ส่วนระบบกันสะเทือนเป็นแบบอิสระ 4 ล้อ และมีการใช้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบ Drive-By-Wire และ Electric/Hydraulic ในการสร้างความแม่นยำในการบังคับควบคุมรถ
ก็ต้องดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วแม้ทางนิสสันจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในไลน์ผลิต แต่ดูเหมือนว่าข่าวหลายกระแสจะบ่งบอกออกมาว่า Ellure น่าจะเป็นร่างจำแลงของรุ่นแม็กซิมาใหม่ และอาจจะเกี่ยวพันถึงเทียนาใหม่ที่ทำตลาดในบ้านเราด้วย

งานนี้ต้องดูกันยาวๆ ว่าจะเป็นจริงอย่างที่คาดหรือไม่

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

21 ธันวาคม 2553

Yike Bike จยย.ไฟฟ้าพับยกพกพาสะดวก

Yike Bike จักรยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อที่มีวิธีการขี่ไม่เหมือนใคร แถมยังมีระบบช่วยทรงตัว เพื่อให้ผู้ใช้บังคับได้โดยง่ายราวกับเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ซิ่งได้ยัง ไงยังงั้น โดยคันบังคับความเร็ว และเบรคจะอยู่ข้างลำตัว ส่วนการเลี้ยวจะใช้วิธีโน้มตัว ซึ่งด้านหลังจะมีไฟสัญญาณแสดงให้ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะตามมารับทราบได้อีก ด้วย ตัวถังของ Yike Bike ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มีน้ำหนักเบาแค่ 22 ปอนด์ (10.8 กิโลกรัม) โครงสร้างของมันมีลักษณะคล้ายจักรยานสองล้อ แต่ล้อทั้งสองจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยล้อหน้าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ส่วนล้อหลัง 8 นิ้ว
สำหรับความเร็วที่มันทำได้สูงสุด 14 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 22.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และทำระยะทางได้ไกลสุด 6.2 ไมล์ (ประมาณ 10 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จแบตในแต่ละครั้ง จุดเด่นของ Yike Bike นอกจากจะเรื่องของดีไซน์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว มันยังสามารถพับใส่กระเป๋า(เวลาเลิกใช้) เพื่อสะพายติดตัวได้อีกด้วย แถมยังเป็นแก็ดเจ็ตรักษ์โลกอีกต่งหาก สนนราคาของมันคันละ 3,600 เหรียญฯ หรือประมาณ 110,000 บาท
ที่มา Arip

All-New Nissan Sunny เปิดตัวที่จีน เริ่มขายมกราคม 2011 ตามด้วย 170 ประเทศ

วันนี้ Nissan ได้ทำการเปิดตัวครั้งแรกในโลกให้กับ All-New Sunny ที่งาน China International Automobile Exhibition ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นในเมืองกวางโจว และ Nissan จะเปิดการขาย Sunny ในประเทศจีนเป็นตลาดแรกในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ตามด้วยอีก 170 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม Nissan ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของรถรุ่นนี้มากนัก แต่ด้วยหน้าตาที่คล้ายกับ Versa รุ่นปี 2012 ที่ได้เคยเผยภาพทีเซอร์ไปแล้ว ก็อาจจะทำให้ฝรั่งหลายคนฟันธงไปว่ามันคือ Versa ในชื่อ Sunny (ซึ่งอาจจะทำให้โยงไปถึง TIIDA ซึ่งคือ Versa ในอเมริกาและบางตลาด) อย่างไรก็ตาม Nissan ไม่ได้เอ่ยถึง Versa หรือความเกี่ยวข้องของรถทั้งสองรุ่นนี้แต่อย่างใด ฉะนั้นความแน่นอนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเมื่อมีการแถลงข่าวออกมาเท่านั้น

All-New Sunny รุ่นนี้เป็นซีดานขนาดเล็ก ซึ่งมีสื่อฝรั่งเดากันว่า Sunny รุ่นนี้ใช้พื้นฐานที่ได้มาจาก Micra หรือใช้ชื่อในการทำตลาดที่บ้านเราว่า March เพราะเห็นแผงหน้าปัดคล้ายๆกัน ซึ่งโครงสร้างของ March ตามสเปคบ้านเราเล็กเกินไปเนื่องจากผลิตขึ้นมาตามโจทย์ของรัฐบาลในเรื่องอีโคคาร์ อีกอย่าง Sunny ในบ้านเราก็ถูกจัดให้อยู่ในตลาดคอมแพคท์คาร์ซึ่งเป็นรถคนละเซกเมนต์กับ March อย่างชัดเจน
สำหรับประเทศจีน Sunny มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ HR15DE 1.5 ลิตร ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ Xtronic CVT โดยวิศวกรของ Nissan ได้ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Torsion Beam โดย Nissan จะผลิตรถรุ่นนี้ที่โรงงานของบริษัทฯในเมืองกวางโจว ประเทศจีน และจำหน่ายในราคา 82,800-112,800 หยวนครับ
All-New Nissan Sunny เปิดตัวที่จีน เริ่มขายมกราคม 2011 ตามด้วย 170 ประเทศ
ที่มา: Nissan,autospinn

“แบงค็อค มอเตอร์ไบค์ฯ ปีหน้ามีทีเด็ด โหวตสาวขวัญใจหนุ่มไบเกอร์

กลับมาอีกครั้งกับงาน “แบงค็อค มอเตอร์ไบค์ เฟสติวัล 2011” (Bangkok Motorbike Festival 2011) งานโชว์รถ 2 ล้อ จากหลายสิบค่ายแบรนด์ดัง โดย 2 ปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งผู้ชมงานและผู้ร่วมจัดแสดงงาน และปีนี้ 2 หนุ่มพี่น้อง ณัฐบูร และณัฐพล ไตรณัฐี โตโผใหญ่ของงาน เดินหน้าจัดงานครั้งที่ 3 พร้อมแนวคิดในการสานต่อเจตนารมณ์การขับขี่ และการนำร่องธุรกิจท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์เพื่อเปิดเส้นทางเข้าสู่ยุคของการขับขี่ไร้พรมแดนอย่างเต็มรูปแบบ
ภายในงานปีหน้าจะมีการแสดงและจำหน่ายรถจักรยานยนต์จากแบรนด์ดังหลากหลายยี่ห้อ , อุปกรณ์ตกแต่ง , อะไหล่ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งจากผู้ผลิตและผู้นำเข้า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับแวดวงมอเตอร์ไซค์ อาทิเช่น การทอล์คโชว์จากกูรูมากมาย ที่มาให้ความรู้มากมายแก่ผู้สนใจ , การจัดเตรียมพื้นที่บริเวณลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ให้ เป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ไว้สำหรับรองรับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจเข้ามาร่วมชมงาน , นิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ , การประกวด Miss Bangkok Motorbike 2011 Contest

ณัฐพล เผยว่า การการประกวด มิส แบงค็อค มอเตอร์ไบค์ 2011 คอนเทสต์ (Miss Bangkok Motorbike 2011 Contest) ถือเป็นการประกวดครั้งแรกเพื่อเฟ้นหาสาวสวยขวัญใจหนุ่มไบเกอร์ โดยค่ายรถแต่ละค่ายส่งสาวๆ เข้าร่วมประกวดถึง 10 ค่าย 10 สาวสวย และแน่นอนประชาชนทั่วไปสามารถร่วมสนุกด้วยการโหวตให้กับสาวสวยทั้ง 10 คน ได้ที่ www.facebook.com/ThailandMotorbikeFestival โดยการกด Like ใต้ภาพให้กับหมายเลขที่ท่านชื่นชอบ สาวคนไหนได้รับการกด Like มากที่สุด จะได้ครองตำแหน่ง Miss Motorbike Contest 2011ไปครอง โดยสามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 25 มกราคม 2554 ส่วนงานแบงค๊อค มอเตอร์ไบค์ เฟสติวัล 2011 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26-30 มกราคม 2554 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

15 ธันวาคม 2553

อาวีโอเปลี่ยนชื่อเป็น “โซนิก”

เพื่อให้สอดคล้องกับการรุกตลาดครั้งใหม่ในสหรัฐอเมริกา และชื่อเก่ายังไม่ค่อยโดนใจนักขับเมืองลุงแซมเท่าไร ทางด้านเชฟโรเลตประกาศเปลี่ยนชื่อให้กับรถยนต์ซับคอมแพกต์ หรือ B-Car ของตัวเองอย่างอาวีโอ โดยจะในรุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัวขายต้นปีหน้าจะมาในชื่อใหม่ คือ โซนิก (Sonic) และจะมีขายทั้งตัวถังแฮตช์แบ็ก และซีดาน
แม้จะได้รับความนิยมในระดับหนึ่งนับจากเชฟโรเลตนำมาเปิดตลาดสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2004 แต่จากการสำรวจของเชฟโรเลตพบว่าชื่ออาวีโอยังไม่เด่นและโดนใจเท่าที่ควร จนนำไปสู่โปรเจ็กต์การเปลี่ยนชื่อรุ่น ซึ่งข่าวระบุว่า จีเอ็มได้ยื่นจดชื่อ Chevrolet Sonic กับกรมทะเบียนเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกาล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมาเลยทีเดียว

‘โซนิกแสดงให้เห็นถึงศักราชใหม่ของเชฟโรเลตในการบุกตลาดรถยนต์ขนาดเล็กที่สหรัฐอเมริกา ดังนั้นเราจึงเกิดความรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาใช้ชื่อใหม่’ คริส เพอร์รี หัวหน้าฝ่ายการตลาดของเชฟโรเลต อมเริกากล่าว ‘รถยนต์ใหม่รุ่นนี้มีมิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ออกแบบได้อย่างโดนใจ และให้ความสนุกสนานในการขับขี่ และโซนิกคือชื่อที่ให้สัมผัสถึงพลังและความเป็นวัยรุ่น ซึ่งจะสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในรถยนต์รุ่นนี้’
โซนิก หรืออาวีโอใหม่ ถูกเปิดตัวในยุโรปแล้วด้วยตัวถังแฮตช์แบ็ก ขณะที่ซีดาน 4 ประตูมีข่าวว่าจะเผยโฉมกลางปีหน้า ส่วนรุ่นแฮตช์แบ็กที่ขายในสหรัฐอเมริกาจะเปิดตัวที่ดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2011 ต้นเดือนมกราคมนี้ ซึ่งทางเชฟโรเลตตั้งเป้าให้โซนิก และครูซ เป็น 2 ผลิตภัณฑ์หลักในการเจาะตลาดรถยนต์ขนาด B และ C-Car ในบ้านตัวเอง

ส่วนราคาขายของโซนิกในสหรัฐอเมริกาถูกตั้งเอาไว้ที่ 12,685 เหรียญสหรัฐ หรือ 380,000 บาท
ที่มา manager

13 ธันวาคม 2553

Brabus Mercedes-Benz SLS AMG : ดุดันในทุกมุมมอง

ส่งท้ายปี 2010 กับความสวยและเร้าใจของรถสปอร์ตในระดับซูเปอร์คาร์จากฝั่งยุโรป ที่ผู้ผลิตทั้ง 3 รายอย่างมาเซราติ, บราบัส และลัมบอร์กินีส่งออกมาเอาใจลูกค้า กับความแรงที่เหนือระดับจากเวอร์ชันมาตรฐาน พร้อมรูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา ซึ่งสามารถดึงดูดสายตาทุกคู่เวลาที่แล่นโฉบเฉี่ยวอยู่บนท้องถนนอย่างแน่นอน ขอเริ่มจาก บราบัส ก่อน

สำหรับลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่คิดว่า SLS AMG สปอร์ตปีกนกแห่งศตวรรษที่ 21 ของตัวเองยังดูดุดันหรือสวยเร้าไม่เต็มพิกัด ในตอนนี้ทางบราบัส สำนักแต่งคู่บุญอีกแห่งของค่ายดาว 3 แฉกนำเสนอทางเลือกใหม่แห่งความโฉบเฉี่ยวและสวยสะดุดตาด้วยเวอร์ชัน Widestar ที่มีการอัพเกรด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บราบัสทำอะไรกับ SLS AMG เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยคลอดเวอร์ชันตัวแต่งแบบสปอร์ตออกมายั่วน้ำลายสำหรับนักขับที่ไม่ชอบของเดิมจากโรงงาน ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นงานแบบสุดขั้วในเรื่องของชุดแต่งสปอยเลอร์ เพราะนอกจากจะออกแบบใหม่ให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้นแล้ว ยังเป็นการออกแบบที่อิงอยู่กับหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยเพิ่มความปราดเปรียว เพรียวลม และการทรงตัวที่ดีให้กับตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ผ่านการทดสอบในอุโมงค์ลม โดยเน้นไปที่การปรับปรุงในส่วนของสปอยเลอร์หลังที่จะช่วยสร้างแรงกด หรือ Downforce ให้กับเพลาหลัง

ขณะเดียวกันก็ยังใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตขิ้นส่วนของสปอยเลอร์เพื่อเป็นการไม่เพิ่มภาระในด้านน้ำหนักให้กับตัวรถ เช่นเดียวกับล้อแม็กแบบ Forged ลาย Monoblock F Platinum Edition โดยด้านหน้าเป็นขนาด 9.5X20 นิ้ว พร้อมยาง 275/30ZR20 ส่วนด้านหลังเป็นขนาด 11X21 นิ้วพร้อมยาง 295/25ZR21 เลือกไดดว่าจะใช้ยางของ Yokohama หรือว่า Pirelli เหมือนกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ จากบราบัส ซึ่งจากการเปลี่ยนล้อแม็กในครั้งนี้มีส่วนช่วยเพิ่มความกว้างของฐานล้อหลังอีก 20 มิลลิเมตร เพิ่มการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้น
นอกจากนั้น บราบัสยังจับมือกับพันธมิตรอย่าง Bilstien ในการพัฒนาระบบช่วงล่างแบบปรับระดับความสูงได้ โดยในเวอร์ชันนี้ผู้ขับสามารถลดความสูงลงได้ตามความต้องการ แต่สูงสุดจากเดิมไม่เกิน 30 มิลลิเมตร หรือ 1.2 นิ้ว ซึ่งการปรับเซ็ตสามารถทำได้ผ่านทางปุ่มกดในห้องโดยสารที่เรียกว่า Ride Control Function เช่นเดียวกับการปรับระดับความแข็ง-นุ่มของโช้กอัพก็เลือกได้จากปุ่มกดในห้องโดยสารได้เหมือนกัน

ในแง่ของการโมดิฟายเครื่องยนต์ ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเดียวที่บราบัสยังไม่กล้าเล่นอย่างเต็มที่กับ SLS AMG เพราะในเวอร์ชันนี้ เครื่องยนต์วี8 6,208 ซีซีก็ยังทำหน้าที่ในการส่งกำลังออกมาเช่นเดิม แต่ก็มีการโมดิฟายแบบพอประมาณ ไม่ถึงกับเปิดฝาผ่าเครื่องเพิ่มความจุ โดยเน้นไปที่การเปลี่ยนชุดท่อไอเสียทั้งยวง ซึ่งเป็นแบบไททาเนียม มีน้ำหนักตั้งแต่ท่อนหน้า ท่อนกลาง ไปจนถึงพักปลายเพียง 12 กิโลกรัมเท่านั้น เรียกว่าเบาแบบสุดๆ
ขนาดท่อมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.3 นิ้ว ให้เสียงดุดันตามแบบฉบับบราบัส และสามารถเพิ่มกำลังขับเคลื่อนอีก 10 แรงม้า ทำให้ตัวเลขขยับขึ้นจาก 563 มาเป็น 573 แรงม้า และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะเหมือนเดิม ส่วนจะแรงเร้าขนาดไหน ดูได้จากภายในแผงหน้าปัดของตัวรถมีการเปลี่ยนเป็นตัวเลขสูงสุดที่โชว์ความเร็วถึง 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือ 250 ไมล์/ชั่วโมง (ส่วนจะแล่นได้ถึงจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้มีการบอกกล่าว)

ใครที่เล็งๆ SLS AMG เอาไว้ และไม่อยากได้ของเดิมๆ จากโรงงาน ทางเลือกใหม่จากบราบัสในเวอร์ชัน Widestar น่าสนใจไม่น้อย แต่จะแพงขึ้นจากรุ่นธรรมดาขนาดไหน ข่าวไม่ได้บอกมา เอาเป็นว่าถ้าคิดจะซื้อก็เตรียมเงินเผื่อเอาไว้เยอะๆ หน่อยก็แล้วกัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

12 ธันวาคม 2553

โฟตอน วิว รถตู้จีน ไม่ขี้เหร่

โฟตอน วิว รถตู้จีน ไม่ขี้เหร่ บริษัท ไดเรคชันแนล ออโตโมบิลส์ ดีเวลลอปเมนท์ หรือ ดีเอดี ยนตรกิจ ได้นำเข้ารถตู้ โฟตอน มาจากประเทศจีน เพื่อลุยตลาดเมืองไทยเจาะกลุ่มรถตู้โดยสารหรือรถตู้วิน โดยเฉพาะ ทั้งนี้ โฟตอน วิว เป็นรถยนต์ตู้อเนกประสงค์ที่มีขนาดกว้างขวาง สะดวก สบาย มีทั้งรุ่นที่ใช้บรรทุกของโดยเฉพาะ และรุ่นที่บรรทุกผู้โดยสาร ขนาด 11 ที่นั่ง และ 14 ที่นั่ง

โฟตอน วิว ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบบหัวฉีดแบบมัลติพ้อยท์ ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าผ่านมาตรฐาน ยูโร 3 ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ รหัส บีเจ 491 อีคิว จากโตโยต้า ญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาใช้กับรถตู้โดยสารโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถให้แรงบิดที่สูง และมีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำด้วย

นอกจากนี้ โฟตอน วิว ยังเล็งเห็นถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับต้น ๆ ดังนั้นตัวรถจึงผลิตด้วยเหล็กที่มีความหนา 1 มม. ซึ่งให้ความมั่นใจถึงความแข็งแกร่งของตัวถังรถซึ่งผ่านมาตรฐานความปลอดภัยกรณีชนประสานด้านหน้า ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมถึง 50% ออกแบบตัวรถให้มีความยาวด้านหน้ารถที่เพิ่มขึ้น ทำให้ช่วยซับแรงปะทะกรณีชนด้านหน้า เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังมีระบบเบรกเอบีเอส พวงมาลัยเพาเวอร์ แอร์ ด้านหน้าและห้องโดยสารด้านหลัง พร้อมระบบเซ็นทรัลล็อกพร้อมรีโมต คอนโทรล กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หน้า ล้ออัลลอย และวิทยุ ซีดี เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

กลุ่มดีเอดี ยนตรกิจ จึงนำโฟตอน วิว ให้เลือกพร้อมกัน 3 รุ่น คือ รถตู้เปล่า เพื่อใช้บรรทุกสินค้า ราคา 699,000 บาท รถตู้ขนาด 11 ที่นั่ง ราคา 738,000 บาท และรถตู้ขนาด 14 ที่นั่ง ราคา 788,000 บาท ซึ่งรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นท็อป ติดซีเอ็นจีให้เรียบร้อยพร้อมใช้งาน.

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

ทาทา ซูเปอร์ เอซ ซิตี้ ไจแอนท์ รถบรรทุกยอดนิยม

ทาทา ซูเปอร์ เอซ ซิตี้ ไจแอนท์ รถบรรทุกยอดนิยม ทาทา ซูเปอร์ เอซ ซิตี้ ไจแอนท์ ใหม่ เป็นรถที่ได้รับการพัฒนา และต่อยอดมาจากรถทาทา เอซ รุ่นแรกที่ได้รับความสำเร็จอย่างท่วมท้น โดยออกจำหน่ายในประเทศอินเดีย กว่า 5 ปีก่อนและสร้างยอดขายสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก 30,000 คันในปีแรก เป็น 70,000 คันในปีถัดมา อีกทั้งเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ที่ขายดีที่สุดแม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกซบเซาแต่ซูเปอร์ เอซ สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 80,000 คันต่อปี

ทาทา ซูเปอร์ เอซ ซิตี้ ไจแอนท์ ใหม่ รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับทาทา ซีนอน ซิง เกิล แค็บ ไจแอนท์ ผู้พี่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรถกระบะบรรทุกขนาด 1 ตัน ที่มีความโดดเด่นในส่วนของกระบะท้ายที่เป็นแบบพื้นเรียบ และเปิดได้ 3 ด้านเพื่อความสะดวก ประหยัดเวลาในการขึ้นลงสินค้า แต่ด้วยขนาดของตัวรถที่มีความคล่องตัวกว่าจึงได้มีการตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า “ซิตี้ ไจแอนท์”

ซูเปอร์ เอซใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีส่วนหัวเก๋งที่โค้งมน ทำให้ลดขนาดความยาวของตัวรถให้เหลือเพียง 4,340 มม. จึงสามารถเพิ่มความยาวของกระบะได้มากถึง 2,630 มม. โครงสร้างแชสซีส์ขนาดใหญ่ พร้อมแนวคานขวาง 5 ตำแหน่ง จึงมีความสามารถในการบรรทุกถึง 1 ตัน นอกจากนี้ความยาวของรถที่สะดวกต่อการจอดในเมืองมากกว่า ให้สามารถนำรถไปดัดแปลงเพื่อการทำร้านเคลื่อนที่ให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กสามารถจอดรถตามตลาด ย่านใจกลางเมืองเพื่อเข้าถึงลูกค้า

ส่วนพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เป็นมาตรฐานทุกคัน เช่น พวงมาลัย เพาเวอร์ ระบบปรับอากาศ กระจกไฟฟ้า เป็นต้น

การจัดวางเครื่องยนต์ได้เลื่อนไปทางด้านหลัง ขณะเดียวกันก็เลื่อนห้องโดยสารไปทางด้านหน้า ผสมผสานแนวเส้นสายหลักของโครงสร้างห้องโดยสารส่วนหน้า ของชุดกระจกและกระจังหน้าแบบรูป ตัวยูรับกับโคมไฟขนาดใหญ่เสริมภาพลักษณ์ให้โดดเด่น กระจกบังลมนิรภัยด้านหน้าจึงมีขนาดใหญ่ ทำให้มีทัศนวิสัยดีเพิ่มขึ้น ไร้จุดอับ ให้ความรู้สึกโปร่งสบายตลอดเวลาของการขับขี่

นอกจากนี้ทาทา ซูเปอร์ เอซ ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 กระบอกสูบ 4 จังหวะ SOHC ขนาด 1,405 ซีซี พร้อมเทอร์โบชาร์จ และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องต่ำ มีแรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที แรงม้าสูงสุด 70 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที ทั้งนี้ตัวสีรถของทาทา ซูเปอร์ เอซ ใหม่มีเพียงสีขาวเท่านั้น.

***********

ข้อมูลเทคนิค ทาทา ซูเปอร์เอซ ซิตี้ ไจแอนท์

กระบะภายใน (ยาว/กว้าง/สูง) 2,630/1,460/3,000 มม.
แบบเครื่องยนต์ ดีเซล 1,405 ซีซี 8 วาล์ว SOHC เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์
ความจุกระบอกสูบ 1,405 ซีซี
กำลังสูงสุด 70 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที
น้ำหนักบรรทุก 1,000 กิโลกรัม (1 ตัน)
เกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะ
ราคา 349,000 บาท

ลำยอง ปกป้อง
ที่มา เดลินิวส์

DFM ส่งรถตู้เล็กสุดยอดประหยัดเอาใจเอสเอ็มอี

DFM ส่งรถตู้เล็กสุดยอดประหยัดเอาใจเอสเอ็มอี
บริษัท ดีเอฟเอ็ม มินิทรั๊ค (ประเทศไทย) ได้นำเสนอรถบรรทุกขนาดเล็ก ดีเอฟเอ็ม รถบรรทุกขนาดเล็กที่เน้นความอเนกประสงค์ ดีเอฟเอ็ม มินิแวน ซึ่งรถ รุ่นนี้ จะมีรูปทรงตัวถังถูกออกแบบเป็นลักษณะรถตู้ทึบ ประตูเปิดสไลด์ได้ทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวในการ ขนส่งและใช้งาน

ภายนอกดีไซน์โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบมัลติรีเฟคเตอร์ สอดรับกับกระจังหน้าสไตล์ยุโรป พร้อมความปลอดภัยด้วยไฟตัดหมอกหน้าและหลัง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ด้วยระบบปรับอากาศ พร้อมเครื่องเล่น ซีดี เอ็มพี 3 และยูเอสบี และเบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับและเอนนอนได้ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าจากการขับขี่ และเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด

ดีเอฟเอ็ม มินิแวน มีให้เลือก 2 ขนาดเครื่องยนต์ คือ 1,100 ซีซี และ 1,300 ซีซี นอกจากใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงแล้วยังได้ติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกทั้งแอลพีจี และ ซีเอ็นจี ซึ่งผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย และความประหยัดคุ้มค่า ผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 3 ด้วยการติดตั้งถังบรรจุแก๊สและชุดติดตั้งของแม็กเนท และระบบแก๊สหัวฉีดของโลวาโต้ จากประเทศอิตาลี โดยชุดติดตั้งขาถังแก๊สที่ช่วยเสริมองศาการตั้งวาล์วจ่ายแก๊สที่หัวถัง เพื่อความแม่นยำในการจ่ายแก๊สในทุกสภาพการขับขี่ ให้อัตราเร่งคงที่ในทุกสภาพถนน และยังง่ายต่อการบำรุงรักษา การตรวจสอบสภาพถัง

รวมทั้งการเพิ่มขนาดถังน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้ยังช่วยในเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงานเชื้อเพลิง ค่าขนส่ง ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 80 สต./ ลิตร ทั้งนี้สามารถบรรทุกสินค้าได้น้ำหนักมากถึง 700 กก.

ดีเอฟเอ็ม เคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 355,000-405,000 บาท.

******************

ข้อมูลเทคนิค ดีเอฟเอ็ม มินิแวน 1.3 ลิตร ซีเอ็นจี-เอ็มพีไอ

มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 3,795/1,560/1,925 มม.
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ SOHC พร้อมระบบก๊าซซีเอ็นจี หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ 1,310 ซีซี
กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 102 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000-3,500 รอบ/นาที
เกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะ
ราคา 405,000 บาท

เนตรนภางค์ บุญนายืน
ที่มา เดลินิวส์

11 ธันวาคม 2553

สัมผัสคันจริง New Mazda BT-50 ตัวใหม่

สัมผัสคันจริง Mazda BT-50 ตัวใหม่ สวยใสไร้ที่ติ เริ่มผลิตกลางปีหน้า ดีเซลล้วนๆ จากกระแสตอบรับที่ดีมากไม่แพ้ All-New Ford Ranger กระบะตัวใหม่จากค่ายพันธมิตร ล่าสุด Mazda ได้ปล่อยภาพเพิ่มเติมที่ทำให้สาวกผู้เฝ้าคอยได้เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของกระบะตัวใหม่นี้ได้แบบหายสงสัยเพราะมันคือภาพตัวจริงคันจริงที่ทำช่วยตอกย้ำว่าภาพที่ได้เคยเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้หลอกตาแต่ประการใด เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่นี้ยืนยันว่า All-New Mazda BT-50 รุ่นปี 2011 สวยจริงไม่อิงนิยาย
แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยในรายละเอียดทางเทคนิคมากนักรวมถึงราคาจำหน่ายเริ่มต้น แต่ Mazda ได้ออกมายืนยันแล้วจะมีการผลิต BT-50 รุ่นนี้ในเดือนมิถุนายนปีหน้า โดยจะมีเพียงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น และการที่ Mazda เตรียมจะเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซล Sky-D และเบนซิน Sky-G ในปี 2011 นี้ด้วยเช่นกัน ทำให้คาดหมายกันว่าขุมพลังของ Mazda BT-50 ตัวใหม่นี้ก็น่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล Sky-D รุ่นใหม่นี้นี่เอง

สวยแบบนี้แถมออกมาพร้อมๆกับ All-New Ford Ranger น่าจะทำให้สาวกกระบะทั้งหลายตัดสินใจลำบากในรอบหลายปีกันเลยทีเดียว เข้าทำนองรักพี่เสียดายน้องเป๊ะ ยกเว้นแก้ปัญหาด้วยการซื้อทั้งสองคันเสียเลย!

ที่มา: Mazda,autospinn

Audi A6 : ลุยตลาดหรูไซส์กลาง

ต่อจากการบุกตลาดระดับหรูในกลุ่มเรือธง หรือ Flagship ของแบรนด์อย่าง A8 ในตอนนี้ทางออดี้จัดการเผยโฉมโมเดลเชนจ์ หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมของ A6 โดยมีคิวเปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ หรือ NAIAS ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะจัดแสดงในระหว่างวันที่ 10-23 มกราคมปีหน้า และที่สำคัญ คือ นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาแล้ว A6 ใหม่จะส่งทางเลือกของการขับเคลื่อนในรูปแบบขุมพลังลูกผสม หรือ Hybrid ตามออกมาขายด้วย

A6 เป็นรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ที่อยู่ในคลาสเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ก่อนหน้านี้ออดี้ใช้ชื่อ A100 ในการทำตลาดกลุ่มนี้ แต่เมื่อปี 1994 เมื่อต้องการปรับชื่อรุ่นรถยนต์ที่อยู่ในตลาด ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ A6 แทน เช่นเดียวกับที่ 80 ถูกเปลี่ยนมาเป็น A4 โดยรุ่นใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในชื่อ A6 ขายในรหัส C7 และเข้ามาแทนที่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นรหัส C6 และขายมาตั้งแต่ปี 2004
A6 เป็นรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ที่อยู่ในคลาสเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ก่อนหน้านี้ออดี้ใช้ชื่อ A100 ในการทำตลาดกลุ่มนี้ แต่เมื่อปี 1994 เมื่อต้องการปรับชื่อรุ่นรถยนต์ที่อยู่ในตลาด ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ A6 แทน เช่นเดียวกับที่ 80 ถูกเปลี่ยนมาเป็น A4 โดยรุ่นใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในชื่อ A6 ขายในรหัส C7 และเข้ามาแทนที่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นรหัส C6 และขายมาตั้งแต่ปี 2004

ตรงนี้ถือว่าเป็นการเติมความฮ็อตให้กับตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลางกันอย่างต่อเนื่อง เพราะในปี 2009 ค่ายดาว 3 แฉกก็เพิ่งส่งอี-คลาสในรหัส W212 ลงขายในตลาด และเมื่อต้นปี 2010 ก็เป็นคิวของซีรีส์ 5 ในรหัส F10 จากค่ายบีเอ็มดับเบิลยู โดยที่ในปี 2011 จะเป็นทีของออดี้บ้าง

ในแง่ของตัวรถ ต้องบอกว่า A6 ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาโดยที่อิงรายละเอียดทางด้านรูปลักษณ์ที่ถูกถอดแบบมาจากพี่ใหญ่อย่าง A8 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเส้นสายบนตัวถัง รูปแบบของกระจังหน้าขนาดใหญ่ และก็รวมถึงรายละเอียดและรูปทรงของไฟหน้าและไฟท้ายซึ่งมีการนำหลอด LED มาใช้ เช่นเดียวกับความใส่ใจในเรื่องการลดน้ำหนักที่นำโครงสร้างตัวถังแบบอะลูมิเนียมมาใช้ โดยที่ความปราดเปรียวของตัวรถมากับค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd เพียง 0.26 เท่านั้น
ขณะที่มิติตัวถังถูกขยายใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิม โดยเฉพาะความยาวที่ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับเฉียด 5 เมตร ด้วยตัวเลข 4,920 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร ส่วนพื้นฐานของตัวรถก็ยังเป็นแบบเครื่องยนต์วางตามยาว แต่มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อแบบควอตโตร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของออดี้

ภายในห้องโดยสารของตัวรถยังเพียบพร้อมด้วยความสวยที่ถูกผสมผสานกับความสปอร์ตและความหรูอย่างลงตัว อีกทั้งยังตอบสนองประโยชน์การใช้งานได้อย่างเต็มที่ผ่านการสั่งงานทางหน้าจอ MMI ซึ่งคล้ายกับระบบ iDrive หรือ COMMAND ของบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อีกทั้งหน้าจอนี้ยังสามารถแสดงผลเป็นหน้าจอระบบนำทาง พร้อมด้วยฮาร์ดดิสก์ในตัว
ประเด็นที่น่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดคือ การเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นไฮบริด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสายพันธุ์ A6 โดยระบบไฮบริดยกชุดมาจากเอสยูวีรุ่น Q5 ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยเป็นการนำเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบ TFSI 4 สูบ 2,000 ซีซี 211 แรงม้ามาจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 45 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.5 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะพร้อมโหมดทิปทรอนิก ส่วนหน้าที่ในการเก็บกระแสไฟฟ้าเป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 39 kW

นอกจากความประหยัดน้ำมันด้วยตัวเลข 6.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตรแล้ว ในเรื่องสมรรถนะยังตอบสนองได้อย่างเร้าใจกับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซไอเสียในระดับ 142 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร โดยตัวรถจะมีโหมด EV ซึ่งสามารถแล่นในรูปแบบรถไฟฟ้าด้วยความเร็วในระดับสูงสุด 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงและทำระยะทางได้ 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการขับในช่วงระยะทางสั้นๆ
ถ้าไม่สนใจไฮบริด A6 ใหม่ก็มีทางเลือกอื่นๆ ให้สัมผัสกับระดับกำลังขับเคลื่อนในช่วง 177-300 แรงม้า โดยเริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน FSI แบบวี6 2,800 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผันควบคุมการทำงานของวาล์วฝั่งไอดี AVS มีกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 28.5 กก.-ม. อีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีเทอร์โบแบบ TFSI มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้าขยับขึ้นจากรุ่นเดิม 19% แรงบิดสูงสุด 44.8 กก.-ม. พกอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.7 และ 5.5 วินาทีตามลำดับ และความเร็วสูงสุด 240 และ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในกลุ่มดีเซลมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี TDI ที่มีการเพิ่มกำลังขึ้นมาเป็น 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 8.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามด้วยรุ่นวี6 3,000 ซีซี TDI ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่และมีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน คือ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ตามด้วย 245 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.2 และ 6 วินาทีตามลำดับ และความเร็วสูงสุด 240 และ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในรุ่นเทอร์โบดีเซลตามโหมดการทดสอบของ EU มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20.1-16.6 กิโลเมตรต่อลิตร
ระบบเกียร์มีให้เลือกหลายรุ่นทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ อัตโนมัติ 7 จังหวะในแบบ S-Tronic คลัตช์คู่และ 8 จังหวะสำหรับรุ่นไฮบริด ส่วนอีกรุ่นเป็นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ Multitronic ส่วนระบบขับเคลื่อนล้อมีทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อตลอดเวลา โดยที่การยึดเกาะถนนเป็นงานของระบบช่วงล่างหน้าแบบยึด 5 จุด และด้านหลังแบบ Trapezoidal-Link ที่ด้านหลัง โดยล้อแม็กจากโรงงานอาจจะค่อนข้างงกนิดหน่อย เพราะให้แค่ขนาด 16 และ 17 นิ้วเท่านั้น ส่วนใครที่อยากสวยก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะออดี้มีขนาด 20 นิ้วเตรียมเอาไว้รอท่า แต่ที่มีการติดตั้งมาให้ทุกรุ่นคือ ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง หรือ Tire Pressure Monitor

เจอกันได้ต้นปี 2011 กับค่าตัวเริ่มต้น 38,500 ยูโร หรือ 1.9 ล้านบาทในเยอรมนี ส่วนใครที่รอความอเนกประสงค์ของตัวถังแวกอน หรืออวันต์ (Avant) ก็รอกันอีกหน่อย คาดว่าน่าจะเผยโฉมในช่วงงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

10 ธันวาคม 2553

เผยภาพสเกตซ์ “มิตซูบิชิ อีโคคาร์”ใหม่

โอซามุ มาสุโกะ ประธานบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เดินทางมาแถลงข่าวถึงความคืบหน้าโครงการรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ พร้อมทำพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานประกอบรถยนต์ใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งนับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิในประเทศไทยนั่นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของมิตซูบิชิต่อศักยภาพของประเทศไทย ที่จะเป็นฐานการผลิตสำหรับตลาดโลกได้

“โรงงานแห่งใหม่นี้มูลค่าลงทุน 1.6 หมื่นล้านบท เพื่อประกอบรถยนต์นั่งขนาดเล็กระดับโลก (Global Small Car) หรือในไทยเรียกว่าโครงการอีโคคาร์ เพื่อทำตลาดในไทยและส่งออกไปทั่วโลก โดยจะเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1.0-1.2 ลิตร และตามแผนจะผลิตในเดือนมีนาคมปี 2555 พร้อมกับแนะนำสู่ตลาดในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเมื่อส่งออกไปญี่ปุ่นจะมีราคาต่ำกว่า 1 ล้านเยน นอกจากนี้มิตซูบิชิกำลังพิจารณาตั้งโรงงานผลิตรถขนาดเล็กระดับโลกนี้ อีกหนึ่งหรือสองแห่ง ระหว่างที่ประเทศจีน อินเดีย และบราซิล”

ทั้งนี้โรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 คันต่อปีในขั้นแรก แต่ในอนาคตสามารถขยายเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ 200,000 คันต่อปีได้ เมื่อรวมกับกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตของมิตซูบิชิในไทยจะอยู่ที่ 400,000 คันต่อปี ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของมิตซูบิชิในโลก และนอกจากนี้ยังจะทำให้มีอัตราการจ้างงานเพิ่มอีกประมาณ 3,000 คน
ด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มิตซูบิชิ ไอมีฟ บริษัทฯ ได้นำเข้ามาทดสอบและศึกษาตลาดในไทย และสิงคโปร์ โดยเป็นการร่วมมือระหว่างมิตซูบิชิและรัฐบาลไทย ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาศึกษาประมาณ 1 ปี จากนั้นจึงจะมาพิจารณาในการที่นำมาผลิตและทำตลาดในไทยหรือไม่

ขณะเดียวกันยังเปิดเผยภาพสเกตซ์ของ “มิตซูบิชิ อีโคคาร์” ที่เตรียมขึ้นไลน์ผลิตจริงพร้อมขายต้นปี 2555 โดย “โอซามุ มาสุโกะ” เปิดเผยว่าจะวางเครื่องยนต์ขนาด 1.0-1.2 ลิตร ราคาขายไม่เกิน 1 ล้านเยน หรือประมาณ 360,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

06 ธันวาคม 2553

ยอดจองรถมอเตอร์เอ็กซ์โป5วันทะลุหมื่นคัน

เผยยอดจองรถในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 5 วันทะลุ 10,447 คัน โตโยต้า แชมป์ ตามด้วย ฮอนด้า และ นิสสัน ( แกลอรี่ภาพ )

วันนี้ ( 6 ธ.ค.) นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธ.ค. 54 เปิดเผยว่า ยอดจองรถยนต์ถึงวันที่ 5 ธ.ค.มีจำนวนทั้งสิ้น 10,447 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 8,300 คัน หรือเติบโต 26.8% โดยโตโยต้ามียอดจองสูงสุด 2,558 คัน ตามด้วย ฮอนด้า 1,217 คัน และ นิสสัน 987 คัน และยังถือว่าทำสถิติใหม่สูงสุดของยอดจองรถช่วงครึ่งทางงานมหกรรมยานยนต์ โดยมีผู้เข้าชมงานสูงถึง 700,189 คน

ดังนั้นช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงอีกครั้ง คือ วันที่ 10-12 ธันวาคม งานจะคึกคักเป็นพิเศษ ประกอบกับปีนี้มีรถรุ่นใหม่ ๆ เปิดตัวให้เลือกมากขึ้น จึงคาดว่ายอดจองรถตลอดงานจะสูงกว่าปีก่อนหรือไม่ต่ำกว่า 20,000 คัน ขณะที่จำนวนผู้เข้าชมตลอดงานจะมีมากกว่า 1.6 ล้านคน
ที่มา เดลินิวส์

05 ธันวาคม 2553

New Nissan จ่อเปิดตัว LEAF แฮทช์แบ็คไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น 20 ธันวาคมนี้ ในราคาพิเศษ 2.984 ล้านเยน

หลังจากที่ได้คว้ารางวัล Car of the Year ประจำปี 2011 ของยุโรปที่จัดขึ้นโดยนิตยสารดังของยุโรปหลายฉบับไปแล้ว ล่าสุด Nissan ได้ประกาศวันเปิดตัว LEAF รถแฮทช์แบ็คไฟฟ้าสำหรับตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 20 ธันวาคม ตามหลังสหรัฐอเมริกาเล็กน้อย แต่ก็เป้นการเปิดตัวก่อนยุโรปซึ่งจะมีขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้เลยเช่นกัน ในส่วนราคาเริ่มต้น Nissan กำหนดไว้ที่ 3,764,250 เยนซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน ราคาดังกล่าวยังไม่ได้หักเงินสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเงินสนับสนุนดังกล่าวอยู่ที่ 780,000 เยน ทำให้ราคาขายจริงคือ 2,984,250 เยนซึ่งเป็นราคาที่รวมภาษีต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว
เงินสนับสนุนดังกล่าวเป็นการยกเว้นภาษีซื้อและภาษีที่คิดตามน้ำหนักรถยนต์ โดยจะสิ้นสุดการสนับสนุนในสิ้นปีงบประมาณ 2011 แต่อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้ายังสามารถเข้าร่วมโครงการลดภาษีสำหรับรถสีเขียวที่จะได้รับส่วนลด 50% เป็นเวลา 12 เดือน(ซึ่งเป็นระบบภาษีที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น) ถือว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะส่งเสริมการใช้รถประหยัดพลังงานอย่างเต็มที่ซึ่งจะตรงข้ามประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่รวมถึงประเทศไทยที่แหล่งรายได้หลักมาจากการเก็บภาษีรถยนต์ เพียงแค่นโยบายอีโคคาร์กว่าจะเกิดได้ก็แสนจะลำบากยากเย็น การที่จะได้เงินสนับสนุนในการใช้รถไฟฟ้าคงเป็นความหวังที่ลมๆแล้งๆในช่วงนี้
Nissan ยังได้เตรียมความพร้อมในเรื่องบริการหลังการขายซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ตลาดเกิดใหม่อาจจะยังไม่เหมาะกับการทำตลาดรถไฟฟ้าเพราะบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้าต้องมั่นใจว่ามีโครงสร้างพื้นฐานในการบริการหลังการขายโดยเฉพาะสถานีเติมไฟฟ้าที่ต้องมั่นใจว่าครอบคลุมทั่วประเทศ ทาง Nissan มีการเก็บค่าบริการรายเดือนจำนวน 1,500 เยนหรือประมาณ 500-600 บาทสำหรับการบริการภายใต้ชื่อโครงการ Zero-Emission Support Program ที่รวมเอาการบำรุงรักษา การเติมไฟในสถานีเครือข่ายตัวแทนของ Nissan ส่วนลดสำหรับบริการเช่ารถจากบริษัทฯ และการบริการในกรณีฉุกเฉินไว้ด้วยกัน ในขณะที่ตัวแทนจำหน่ายของ Nissan ยังมีบริการ One Stop Service ในการทำให้การซื้อขายง่ายขึ้นโดยการบริการติดตั้งระบบจ่ายไฟให้กับลูกค้าถึงบ้าน
ด้วยเครือข่ายตัวแทนมากกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ Nissan มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการหลังการขายได้ดีเยี่ยม โดยจะมีสถานีเติมไฟฟ้าในทุก 40 กิโลเมตรทั่วประเทศ และด้วยระยะทางทำการของ LEAF ที่ 160 กิโลเมตร/การชาร์จไฟ 1 ครั้ง ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่า Nissan LEAF จะเป็นรถไฟฟ้าที่ใช้เดินทางไปทั่วทุกมุมของประเทศได้อย่างสบายๆ

ที่มาที่มา: Nissan,autospinn

ซูซูกิ SX4 เปิดราคา 799,000 บาท

เหลืออีกเพียงเดือนเดียว “ซูซูกิ ออโตโมทีฟ แมนูเฟคเจอริ่ง ประเทศไทย” จะเข้ามาบริหารและดูแลการทำตลาดรถยนต์ซูซูกิในไทยทั้งหมด แทน “ซูซูกิ ออโตโมบิล” ที่จะปรับสภาพไปเป็นแค่ดีลเลอร์เท่านั้น และเพื่อเสริมความแกร่งทางด้านผลิตภัณฑ์ ก่อนที่อีโคคาร์จะเปิดตัวในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซูซูกิออโตโมทีฟฯ จึงได้เปิดตัว “ซูซูกิ เอสเอกซ์ 4” (SUZUKI SX4) รถแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ที่จะมาเสริมทัพให้กับรุ่น “สวิฟท์” ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน
ซูซูกิ sx4 วางเครื่องเบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร VVT 120 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ควบคุมอัตราเร่งได้คงที พร้อมระบบคันเร่งไฟฟ้าที่ตอบสนองอัตราเร่งได้ดั่งใจ ภายในห้องโดยสารตกแต่งในสไตล์ x-OVER ยกระดับทัศนวิสัย เพิ่มพื้นที่กว้างขวาง เบาะหลังสูงนั่งสบาย และที่นั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้งแบบ 60:40 เก็บสัมภาระได้มากขึ้น

แผงหน้าปัดขนาดใหญ่ ชัดเจน ง่ายต่อการมอง พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย พร้อมระบบปรับเสียงอัตโนมัติ ตามความเร็วรถ (AVC) ระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูงพร้อมลำโพงรอบทิศทางจำนวน 9 ตำแหน่ง
เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ประกอบด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ ช่วยหยุดรถได้รวดเร็วแม่นยำ ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA)

SX4สนนราคา 799,000 บาท สำหรับสีขาวเพิ่มเป็น 804,000 บาท

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์