30 พฤศจิกายน 2553

ชวนชมรถสวยๆในงาน“มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010”

i MiEV Sport
วันนี้ (30 พ.ย.) มหกรรมยานยนต์ “มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010” เปิดฉากรอบสื่อมวลชน พร้อมระดมรถยนต์ร่วม 40 แบรนด์ กว่า 100 รุ่น จอดเต็มพื้นที่... “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เก็บภาพมาฝาก

BMW 525d มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 เปอโยต์ RCZ มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 เปอโยต์ 207 ซีดาน มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 โตโยต้า พริอุส ไฮบริด มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010
ฮอนด้า แอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010
มาสด้า รียูกะ (RYUGA)มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010
มาสด้า รียูกะ (RYUGA)มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010
เชฟโรเลต ครูซ มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010
ชวนชมรถสวยๆในงาน“มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010”
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

28 พฤศจิกายน 2553

Mazda Ryuga Concept ต้นแบบ Mazda3 เตรียมอวดโฉมที่ Motor Expo 2010

Mazda Ryuga Concept ต้นแบบ Mazda3 เตรียมอวดโฉมที่ Motor Expo 2010 มาสด้า รียูกะ รถต้นแบบมาสด้า3 ใหม่ ผู้ชนะรางวัลด้านดีไซน์ จากหลุยส์ วิตตอง มาถึงเมืองไทยแล้ว เตรียมอวดโฉมในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 23 พฤศจิกายน 2553 – รถ ยนต์ต้นแบบ มาสด้า รียูกะ (RYUGA) สีแดงเพลิง ยานยนต์ต้นแบบของมาสด้า3 ใหม่ ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว พร้อมอวดโฉมให้ลูกค้าชาวไทยผู้ชื่นชอบนวัตกรรมการออกแบบใหม่ๆ ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ด้วยแนวคิดอันล้ำยุคที่ไม่เหมือนใครของ MAZDA RYUGA จึงเป็นยานยนต์ที่สวยล้ำนำสมัย หากคงแฝงไว้ซึ่งจิตวิญญาณและความเฉียบคมอย่างเต็มเปี่ยม สะท้อนถึงความงามแบบญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นโค้งล้อรูป ปีกนก ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ความโค้งมน ต่างเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งที่ทำให้มาสด้า
รียูกะ คว้ารางวัล “Louis Vuitton Classic Concept Award” ซึ่งนับเป็นสุดยอดรางวัลด้านการออกแบบจากประเทศฝรั่งเศสมาสด้าเตรียมเปิดให้ ชมตัวจริง เสียงจริง ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ตั้งแต่วันที่ 1 – 12 ธันวาคมศกนี้เป็นต้นไป เพียง 12 วันเท่านั้น
Mazda Ryuga Concept ต้นแบบ Mazda3 เตรียมอวดโฉมที่ Motor Expo 2010 วันที่ 1 – 12 ธันวาคมศกนี้เป็นต้นไป เพียง 12 วันเท่านั้น
Mazda Ryuga Concept ต้นแบบ Mazda3 เตรียมอวดโฉมที่ Motor Expo 2010 วันที่ 1 – 12 ธันวาคมศกนี้เป็นต้นไป เพียง 12 วันเท่านั้น
ที่มา autospinn

26 พฤศจิกายน 2553

Audi RS3 Sportback หนึ่งในแฮทช์แบ็คที่เร็วและแรงที่สุด ใช้หัวใจเดียวกับ TT RS

เผยโฉม Audi RS3 Sportback หนึ่งในแฮทช์แบ็คที่เร็วและแรงที่สุด ใช้หัวใจเดียวกับ TT RS ในที่สุด Audi ก็ได้เผยโฉม All-New RS3 Sportback หลังจากสาวกรอกันมาหลายปี RS3 Sportback ถือว่าเป็นแฮทช์แบ็คที่เร็วและแรงที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด และจะเริ่มมีจำหน่ายในยุโรปต้นปี 2011 ที่ยุโรปAudi RS3 Sportback ใช้ขุมพลังเดียวกับที่ใช้ใน TT RS ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ 5 สูบ 2.5 ลิตร ให้กำลัง 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-5,300 รอบ/นาที โดยกำลังจะถูกส่งไปยังล้อทั้งสี่ผ่านเกียร์ S Tronic Dual Clutch 7 จังหวะที่มีโหมดการขับอัตโนมัติ 2 โหมดและโหมดการขับแบบ Manual 1 โหมด ใช้ระบบขับเคลื่อน All Wheel Drive แบบ quattro permanent ที่พัฒนาขึ้นมาเองโดย Audi
ด้วยน้ำหนักตัวที่ 1,575 กิโลกรัม RS3 สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลา 4.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร โดยมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 212 กรัม/กิโลเมตร
วิศวกรจาก Audi ยังได้ทำการขยายระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้าทั้งสองรวมถึงล้อหลังให้มากขึ้น มีการใช้ชุดสปริงและโช้คอัพชุดใหม่สำหรับระบบกันสะเทือน รวมถึงการโหลดเตี้ยลงไปอีก 25 มิลลิเมตร RS3 วิ่งบนล้ออลูมิเนียมหลอมขอบ 19 นิ้วที่หุ้มด้วยยางขนาด 235/35 สำหรับล้อหน้าและขนาด 225/35 สำหรับล้อหลัง โดยล้อมาตรฐานจะเป็นสีไทเทเนี่ยมขัดเงา โดยมีอ็อปชั่นเป็นสีดำ
สำหรับระบบความปลอดภัย RS3 Sportback ได้รับการติดตั้งระบบเบรคที่ใช้ดิสก์เบรคหน้าเจาะรูระบายความร้อนขนาด 370 มิลลิเมตร และขนาด 310 มิลลิเมตรสำหรับล้อหลัง นอกจากนั้นยังมีการติดตั้งระบบ ESP ที่เป็นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ซึ่งมีโหมดการขับแบบสปอร์ตที่สามารถปิดเปิดการใช้งานได้ตามความต้องการ
ในเรื่องของรูปลักษณ์ RS3 ใหม่รุ่นนี้ดูไม่แตกต่างไปจากรุ่น RS มากตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง โดยภายนอก ล้อชุดใหม่ถูกครอบด้วยซุ้มล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีชุดแต่งบอดี้ที่ประกอบด้วย กันชนหน้าชุดใหม่ที่มีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ สเกิร์ตข้าง บังโคลนหลังที่ครอบดิฟฟิวเซอร์และปลายท่อไอเสียคู่เอาไว้ รวมถึงครอบกระจกมองข้างอลูมิเนียมด้าน และสปอยเลอร์หลังคา
ภายในห้องโดยสารได้รับการอัพเกรดในส่วนต่างๆ เช่น พวงมาลัยเป็นแบบขอบล่างตัดตรง เบาะที่นั่งคู่หน้าสไตล์เรซซิ่งแบบโอบรอบกับสรีระผู้นั่งหุ้มด้วยหนัง Nappa ชั้นดีที่มีการปักด้วยสีที่ตัดกันกับสีของชุดหนัง โดยมีการตกแต่งในส่วนต่างๆในแนวสปอรฺ์ต
ในช่วงแรกนี้ Audi RS3 Sportback จะมีเพียงเวอร์ชั่น 5 ประตูเท่านั้น โดย Audi ไม่มีการพูดถึงเวอร์ชั่น 3 ประตูแต่อย่างใด ซึ่งการส่งมอบให้กับลูกค้าในยุโรปจะเริ่มขึ้นในต้นปี 2011 โดยมีราคาจำหน่ายที่ประเทศเยอรมันนีที่ 49,000 ยูโรครับ
ที่มา: Audi,autospinn

25 พฤศจิกายน 2553

นับถอยหลังงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27

38 ค่ายรถลุยเปิดรถใหม่ รถแต่งพิเศษ รวมถึงคอนเซ็ปต์ คาร์ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ที่เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1 - 12 ธันวาคม นี้ พร้อมงัดโปรโมชันเด็ด อีกหลากหลายกิจกรรมที่น่าสนใจเพียบ

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือ “The 27th Thailand International Motor Expo 2010” กล่าวถึงการจัดงานปีนี้ว่า เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเราในฐานะผู้จัดงาน ที่ผู้ประกอบการบริษัทรถยนต์และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่นเช่นทุกปี รวมถึงประชาชนที่สนใจสอบถามข้อมูลของงานและรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะมาอวดโฉมในปีนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นว่ายอดผู้ชมงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านคน
สำหรับรายชื่อของรถยนต์ที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ ออดี้ /เบนท์ลีย์/บีเอ็มดับเบิลยู/ เชอรี่/ เชฟโรเลต/ ซีตรอง/ ดีเอฟเอ็ม/เฟอร์รารี่ / เฟียต/ ฟอร์ด/ โปรตอน/ แกรนด์ แคร์รีบอย/ ฮอนด้า/ ฮุนได / อีซูซุ/ เกีย/ แลนด์ โรเวอร์/ เลกซัส/ มาสด้า/ เมอร์เซเดส-เบนซ์/ มินิ/ มิตซูบิชิ/ มิตซูโอกะ/ เอทีเอ็ม / นิสสัน/เปอโยต์ / ปอร์เช่ /โฟตอน/รูฟ/ สโกดา/ ซันยอง/ ซูบารุ/ ซูซูกิ/ ทาทา/ โตโยตา/โฟล์คสวาเกน และวอลโว รวมถึงค่ายเอ.พี.ฮอนด้า ที่จะนำรถจักรยานยนต์มาเปิดจองในงานด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมงานยังมีโอกาสรับชมและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จะมาสร้างสีสัน ความสนุกสนาน และสาระน่ารู้ พร้อมมอบของที่ระลึกมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

โครงการประกวดนวัตกรรมยานยนต์ (THE 1st MOTOR EXPO AUTOMOTIVE INNOVATION AWARD 2010) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้สนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของนักศึกษาจากหลากหลายสถาบัน โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะนำมาจัดแสดงที่อาคาร ชาเลนเจอร์ 2 บูธ B12
โครงการ "ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับสื่อสากล" (SKILL DRIVING EXPERIENCE) เปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนล่วงหน้าในราคาพิเศษ โดยครูฝึกมืออาชีพ เพื่อพัฒนาทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย ทั้งรถยนต์ขับเคลื่อน 4 และ 2 ล้อ ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่บูธ บริเวณชาเลนเจอร์ 1

ซูบารุ สตันท์ โชว์ (SUBARU STUNT SHOW) ที่จะมาสร้างความอึ้ง ทึ่ง เสียว ให้แก่ผู้ชม เป็นปีที่ 2 สำหรับการแสดงผาดโผนครั้งนี้ รัสส์ สวิฟท์ ยังคงใช้รถยนต์สมรรถนะสูง ซูบารุ อิมพเรซา โดยจัดแสดงระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2553 วันละ 3 รอบ สนใจชมสามารถติดต่อได้ที่บูธ ซูบารุ

มอเตอร์ สปอร์ท โซน (MOTOR SPORT ZONE) กิจกรรมเอาใจคนรักรถแข่งทั้งทางเรียบและทางฝุ่น รถแข่งดริฟท์ ซึ่งปีนี้ยกทัพอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องมานำเสนอราคาพิเศษสุด พร้อมชมสุดยอดรถแข่งที่แฟนพันธุ์แท้หัวใจมอเตอร์สปอร์ทไม่ควรพลาด บริเวณอาคารชาเลนเจอร์ 3
สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ยกขบวนรถโบราณทั้งยุคก่อนสงคราม หลังสงคราม และรถคลาสสิค มาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ชมได้ทราบประวัติความเป็นมา รวมถึงพัฒนาการของรถยนต์ในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย

โรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (SPIRIT OF THE 4x4 DRIVING SCHOOL) จำลองสนามฝึกสอนของโรงเรียน ฯ มาไว้ที่ด้านข้างอาคารชาเลนเจอร์ เปิดการสอนหลักสูตรพื้นฐานแบบเร่งรัด เพื่อให้ผู้สนใจเรียนรู้ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่บูธ SPIRIT 4X4 อาคารชาเลนเจอร์ 1

ลานศิลปวัฒนธรรม พบกับการแสดงจากน้องๆ เยาวชนที่มีความสามารถ อาทิ การแสดงดนตรีไทย ดนตรีพื้นบ้าน การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย กระบี่กระบอง หรือการแสดงนาฏศิลป์ ผู้ชมงานที่สนใจสามารถติดตามตารางการแสดงได้บริเวณลานศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย การแสดงจะเริ่มประมาณ 15.00 น.ของทุกวัน
CAR STERO ALLEY & ACTIVITES บริษัทเครื่องเสียงรถยนต์ชั้นนำของเมืองไทย นำรถยนต์ที่ตกแต่งด้วยเครื่องเสียงคุณภาพสูง มาร่วมโชว์พลังเช่นทุกปี พร้อมแดนเซอร์สาวสวยสุดเซกซีที่มาโชว์ลีลาให้แก่ผู้นิยม เครื่องเสียงได้ชื่นชม บริเวณลานแอคทีพ สแควร์ โดยการแสดงจะเริ่มตั้งแต่ช่วงค่ำและสิ้นสุดเวลาประมาณ 22.00 น.
“ที่พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา คือ มหกรรมยานยนต์ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าประชุมร่วมระหว่างรัฐบาลกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังปัญหาอุปสรรคของผู้ประกอบการอันจะนำไปสู่ความร่วมมือ และเข้าใจดีระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในอนาคต ในวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา13.00-14.30น.ณ ห้องจูปีเตอร์ 4-6 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี หลังจากนั้นนายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้แทนในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนบริเวณห้อง Press Center เวลาประมาณ 16.00 น.
เตรียมพบกับนวัตกรรมยานยนต์และร่วมกิจกรรมต่างๆ กันแบบจุใจได้ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ตั้งแต่วันที่ 1 - 12 ธันวาคม 2553 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดงานได้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 13.50 - 15.40 น.
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นิสสัน จัดแข่งแต่ง มาร์ช สไตล์เท่ ๆชิงเงิน 5 แสนบาท

นิสสัน เชิญชวนลูกค้าและผู้สนใจการตกแต่งรถ ร่วมสร้างสรรค์จินตนาการตกแต่งรถยนต์นิสสัน มาร์ช ในมุมมอง เท่กับมาร์ช แต่งง่ายๆ สไตล์คุณเอง “Simply Me, Simply My March” เพื่อชิงรางวัลมากกว่า 500,000 บาท โดยเปิดรับแล้ววันนี้จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2553 สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.nissan.co.th

นับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์นิสสัน มาร์ช ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นิสสันได้จัดกิจกรรมเพื่อเอาใจคนรักรถยนต์คอมแพคประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยปิดท้ายปีด้วยการจัดการประกวดตกแต่งรถยนต์นิสสัน มาร์ช ซึ่งแบ่งการประกวดออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท March Cool เป็นการประกวดตกแต่งทั้งภายนอก-ภายใน แบบไม่มีข้อกำนหนดด้านวัสดุที่นำมาตกแต่ง สามารถสะท้อนจินตนาการได้อย่างไร้ขอบเขต ส่วนประเภทที่สอง คือ ประเภท March Creative เป็นการตกแต่งลวดลายแบบสร้างสรรค์ เน้นการตกแต่งภายนอก ไม่เน้นภายในหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ และวัสดุที่นำมาตกแต่งจะต้องเป็นสติ๊กเกอร์หรือฟิล์มเท่านั้น
ผู้สนใจสามารถส่งใบสมัครและภาพรถยนต์นิสสันมาร์ชที่ผ่านการตกแต่งแล้วผ่านทางอีเมลล์ simplymymarch@yahoo.com หรือทางไปรษณีย์ หรือทางผู้แทนจำหน่ายนิสสันทั่วประเทศ โดยเกณฑ์การตัดสินจะประกอบด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ในการตกแต่ง การเลือกใช้วัสดุอุปรณ์ที่เหมาะสมลงตัว ความสวยงามและความสะอาดเรียบร้อยของการตกแต่ง หมดเขตรับใบสมัครและภาพถ่ายในวันที่ 25 ธันวาคม 2553 โดยการตัดสินจะเริ่มจากการคัดเลือกและมอบรางวัลให้กับผู้ชนะในระดับภูมิภาค (มีทั้งหมด 5 ภาค) และผู้ชนะในแต่ละภาคจะถูกนำมาเฟ้นหาผู้ชนะเลิศเพื่อรับรางวัลในระดับประเทศอีกครั้งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของนิสสัน www.nissan.co.th หรือสอบถามได้ที่ 02-257-4200 ต่อ 431-2 หรือ 085-685-3858 ในวันและวลาราชการ หรือที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
นิสสัน จัดแข่งแต่ง มาร์ช สไตล์เท่ ๆชิงเงิน 5 แสนบาท

23 พฤศจิกายน 2553

ฮุนได แกรนด์ สตาเร็ก เปิดราคาใหม่1.89ล้านบาท

หลังปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะสำหรับ “แกรนด์ สตาเร็ก” รถตู้ 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ ล่าสุด “ฮุนได” ได้ฤกษ์เปิดตัวขายอย่างเป็นทางการ พร้อมตั้งราคาใหม่ 1.898 ล้านบาท ลดลงจากที่เคยประกาศไว้ 1.95 ล้านบาท ชูการตกแต่งภายนอก-ภายในสุดหรู ออปชันครบครัน และใช้งานอเนกประสงค์ โดยค่ายรถเกาหลีวางตำแหน่งสินค้าไว้สูงกว่ารุ่น “เอช1” คาดฟันยอดขาย 100 คันต่อเดือน “เราต้องการให้ลูกค้าที่นิยมรถยนต์ MPV ได้สัมผัสกับอีกระดับของความหรูหรา แต่ลงตัวด้วยคุณภาพ และคุ้มค่าในแบบ 7 ที่นั่งแท้ๆจากโรงงาน จึงตัดสินใจเปิดตัว แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี ในราคาพิเศษเพียง 1,898,000 บาท คาดว่าจะสามารถสร้างกระแสให้ลูกค้าที่ชอบMPV ขนาดใหญ่ และโดดเด่นกว่ารถยนต์ในแบบ 11 ที่นั่ง” โยชิซึมิ คุราตะ ประธานบริษัทฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวและว่า
“เราวางตำแหน่งของ แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี ให้เป็นทางเลือกของลูกค้าในกลุ่ม MPV ที่มี เอช1 ซีรีส์ เป็นรถยนต์หลัก ดังนั้นเป้าในการจำหน่ายจึงอยู่ที่ราวๆ 70 - 100 คันต่อเดือนเท่านั้น”

นายคุราตะ กล่าวว่า ฮุนได แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี ใช้โครงสร้างพื้นฐานและเครื่องยนต์เดียวกับรุ่น เอช 1 แต่ประกอบขึ้นเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่งแท้ๆ โดยไม่ได้ดัดแปลงทีหลัง ด้วยสิทธิพิเศษภาษีนำเข้า 0% จากโรงงานประกอบรถยนต์ของฮุนไดในประเทศอินโดนีเซียซึ่งเชี่ยวชาญในการประกอบรถฮุนไดที่เน้นลูกค้าพรีเมี่ยมเป็นหลัก ภายใต้กรอบ AFTA ที่มีชิ้นส่วนโลคอล คอนเทนท์ ไม่ต่ำกว่า 40% ทำให้ แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี สามารถเข้ามาทำตลาดได้ในราคาที่ไม่แพงมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามอัตราเครื่องยนต์ก็ตาม ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์แบบ 11 ที่นั่ง
“แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี” มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรลขนาด 2,500 ซีซี 175 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 392 นิวตัน-เมตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ที่มีโหมดแมนนวลปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ ถ่ายทอดกำลังทั้งหมดไปยังล้อคู่หลัง บนช่วงล่างแบบคานแข็งบนคอยล์สปริงที่มีขายึดแบบ 5 จุด และแม็กเฟอร์สันสตรัทในด้านหน้า ให้การขับขี่ที่มั่นใจได้ในรูปแบบเดียวกันกับรถยนต์ในตระกูล เอช1”

รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบซี่ตัดด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหรา ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน เป็นแบบใหม่ LED ชนิดหลอด ล้อขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง235/60/17 ภายในเหนือกว่ารุ่น เอช1อย่างชัดเจนด้วยเบาะ Double VIP Seats ที่ปรับเอนนอน และปรับระดับที่วางขาด้วยไฟฟ้า บนรางเลื่อนที่สะดวกสบายและปลอดภัยภายใต้มาตรฐานโรงงาน ส่วนเบาะแถวหลังสุดเพิ่มความสบายด้วยรางเลื่อน พร้อมกลไกปรับเอนนอน และที่พักแขนกลาง ลงตัวสำหรับผู้โดยสาร และการขนสัมภาระ
พร้อมระบบ Entertainment Dashboard คอนโซลออกแบบพิเศษเพื่อความทนทานและปลอดภัยด้วยมาตรฐานฮุนได ติดตั้งจอ LCD ขนาด 19 นิ้วที่เลื่อนขึ้นลงได้ด้วยไฟฟ้า พร้อมเครื่องเล่น DVD จาก Alpine และลำโพง JBL นอกจากนี้ยังมีช่องต่อสายกับอุปกรณ์เสริมต่างๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเกมส์ หรือเครื่องเล่นไฟล์เพลง
เบาะนั่งสำหรับคนขับดีไซน์พิเศษ พร้อมพวงมาลัยหุ้มหนังแท้และระบบ multi-function ที่พวงมาลัยควบคุมเครื่องเสียงตอนหน้าได้ รวมถึงกล้องส่องหลังส่งภาพขึ้นจอ LCD บนจอเครื่องเสียงด้านหน้า ช่วยให้การจอดรถสะดวกสบาย ด้านกระจกมองข้างปรับไฟฟ้า และพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า

...พบตัวจริงของ “แกรนด์ สตาเร็ก วีไอพี” และรถยนต์ฮุนไดทุกรุ่น ได้ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ระหว่าง 1-12 ธันวาคมนี้ ที่ อิมแพค เมืองธองธานี
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

22 พฤศจิกายน 2553

Nissan Navara "ครูสคอนโทรล อัพเกรดจ่ายเงินต้องได้ใช้"

น้ำปีนี้มามาก มากเสียจนตั้งหลักรับไม่ไหว วิกฤตจากอุทกภัย-วาตะภัยครั้งใหญ่ ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งจิตใจ ร่างกาย และทรัพย์สิน ขณะที่พืชผลทางการเกษตรเป็นหมัน พี่น้องผู้ประสบภัยจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ดังนั้นการจะพูดถึงรถยนต์คันใหม่หรือซื้อเพิ่มคันที่สอง ช่วงนี้อาจคุยกันลำบาก เรียกว่าถ้าไม่พังทั้งคันจนขับไม่ไหว คงต้องดื้อซ่อมกันต่อไป

แน่นอนว่ายอดขาย"ปิกอัพ"ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย โดยเฉพาะประเภทเกิดมาใช้งานจริงๆแบบตอนเดียว-ตอนครึ่ง ซึ่งตลาดส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด และนับเป็นปัจจัยลบที่ทุกค่าย(ขายปิกอัพ) ตระหนักคิดและเตรียมวัดฝีมือกันนับจากนี้
...เกือบ 3 ปี หลังการเปิดตัว "นิสสัน ฟอร์นเทียร์ นาวารา" (มกราคมปี 2551) ล่าสุดถึงคิวกระตุ้นความสดใหม่ด้วยการปรับออปชัน แต่ไม่ถึงกับไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งผิดกับการคาดการณ์ของผู้เขียนว่าปลายปีนี้ นาวาราจะต้องปรับโฉมเล็กน้อยตามตลาดโลก
สำหรับ "นาวารา ใหม่" จะตัดคำว่า"ฟรอนเทียร์"ออกไป และใช้คำว่า "นาวารา" ล้วนๆในการทำตลาด (แต่ยังมีรุ่น ฟรอนเทียร์ ซึ่งเป็นปิกอัพโฉมเก่าทำตลาดล่างควบคู่กันไปด้วย) แบ่งเป็น 17 รุ่นย่อย โดยทุกรุ่นฝังไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ส่วนไฟเดิมที่เคยแปะใกล้ๆกับโป่งล้อด้านข้างก็ถอดออกแล้วแทนด้วย ตัวอักษร(Emblem) NAVARA ขณะเดียวกันในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ และขับสองยกสูง "คาลิเบอร์" เสริมราวหลังคาบรรทุกของด้านบนมาให้
ภายในเพิ่มทางเลือกสำหรับสีภายในห้องโดยสาร (เบาะ,คอนโซล) เป็นสีเทาเข้ม นอกเหนือไปจากเดิมคือสีเบจ ส่วนออปชันอำนวยความสะดวกที่นำมาคุยคือ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ครูส คอนโทรล) ติดตั้งมาในรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด รวมถึงระบบเครื่องเสียงใหม่รองรับ MP 3 พร้อมช่องเสียบอุปกรณ์ต่อพ่วง (AUX-in) และเครื่องเล่นดีวีดี ระบบสัมผัสหน้าจอ ของ Kenwood (เฉพาะรุ่น)ทั้งยังอุ่นใจกับกุญแจอิมโมบิไลเซอร์พร้อมสัญญาณกันขโมย
ทั้งนี้ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้จัดทริปให้สื่อมวลชนได้ทดสอบ "นาวารา ใหม่" ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ "Cruising for smoother and economical ride"
ทริปนี้เราใช้เส้นทาง อุดรธานี-เชียงคาน ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยขับออกจากสนามบินอุดรธานี มุ่งขึ้นเหนือเข้าหนองคาย และเลาะริมโขงผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่-สังคม-ปากชม ก่อนเข้าที่พักในตลาดเชียงคาน ซึ่งตอนนี้กำลังฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวหัวใจคลาสสิก

ผู้เขียนได้รุ่น "คาลิเบอร์ เกียร์อัตโนมัติ ตัวถังดับเบิลแค็บ" เป็นพาหนะ แต่ก็เริ่มจากการนั่งเป็นผู้โดยสารกับ คุณ"รณชิต เฉลิมชาติ" มือเก๋าในวงการจากนิตยาสาร 4x4 Special โดยถนนช่วงแรกเป็นทางตรงโล่งๆ ซึ่ง "รณชิต" ได้ลองระบบ ครูสคอนโทรล และยืนยันถึงความง่ายในการใช้ผ่าน3 ปุ่มควบคุมบริเวณพวงมาลัย
"รณชิต" บอก ครูสคอนโทรล หรือออปชันต่างๆที่นิสสัน นาวารา ใหม่ ให้มานั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะอย่างไรเสียคนไทยก็ชอบออปชันเยอะๆ แต่จะได้ใช่หรือไม่เป็นอีกเรื่อง?

นั่งฟัง"รณชิต" เล่านู้นเล่านี่ไปเพลินๆกว่า 100กิโลเมตร ก็ถึงคิวผู้เขียนเป็นสารถีบ้าง ซึ่งในใจจะลองระบบครูสคอนโทรลเต็มที่ แต่กลายเป็นว่าถนนข้างหน้ากลับเป็นทางคดเคี้ยว ลงเนินไต่เขาเสียแล้ว สรุปว่าได้แค่จิ้มๆเขี่ยๆพอเป็นพิธีเท่านั้น
การใช้ครูสคอนโทรลกับเกียร์อัตโนมัติ คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในวงการรถยนต์ แต่การที่นำมาใช้ในรถปิกอัพแถมเป็นเกียร์ธรรมดาอีกด้วยจึงน่าสนใจเป็นทวีคูณ ซึ่งนิสสันมีความกล้าสูง หรืออาจจะอยู่ระดับเดียวกับปิกอัพที่มีกล้องมองภาพด้านหน้านั่นแหละ

นิสสันคุยว่าเป็นเจ้าแรกในตลาดปิกอัพที่มีครูสคอนโทรลกับเกียร์ธรรมดา (ก่อนหน้านั้น โตโยต้า วีโก้ ใส่มาในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ตัวท็อป) หวังโดนใจลูกค้าที่ต้องขับรถทางไกล ขณะเดียวกันถ้าใช้เกียร์ 6 ซึ่งเป็นเกียร์สูงสุด แล้วแช่ความเร็วนิ่งๆจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น (ระบบครูสคอนโทรลจะรีเซ็ทความเร็วใหม่ เมื่อเราเหยียบคลัทซ์เปลี่ยนเกียร์)
นอกเหนือไปจากครูสคอนโทรล "นิสสัน นาวารา" ยังถือเป็นปิกอัพที่ครบเครื่องเหมือนเดิม อย่างพาหนะของผู้เขียน รุ่น "คาลิเบอร์ ตัวถังดับเบิลแค็บ" วางเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร คอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ 144 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด บุคคลิกอาจจะไม่ร้อนแรงมากมาย แต่ก็ถือว่าเพียงพอในการขับขี่ ด้านช่วงล่างเซ็ทมาแข็งเป้กให้การทรงตัวดี วิ่งทางไกลสบาย ส่วนการควบคุมในโค้งทำได้เชื่องมือมั่นใจ
ขณะที่ตัวรถยกสูงสไตล์ปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ วิสัยทัศน์การขับยอดเยี่ยม กระจกมองข้างบานใหญ่เห็นเพื่อนร่วมทางชัด ตัวถังดับเบิลแค็บนั่งสบายๆในฐานนะผู้ขับ แต่ถ้าเป็นผู้โดยสารด้านหลังอาจจะอึดอัด จากเบาะพิงหลังชัน แถมระยะช่วงขาเหลือน้อยไปนิด

รวบรัดตัดความ...การเปิดตัวรถใหม่ ต้องหาของเล่นมาเป็นประเด็นชูในการทำตลาด ส่วน "นิสสัน นาวารา ใหม่" เพิ่มออปชัน ครูสคอนโทรล ราวหลังคา เน้นไปที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อนสองล้อยกสูง "คาลิเบอร์" เป็นหลัก โดยทุกรุ่นปรับราคาตั้งแต่ 1,500-34,000 บาท ฉะนั้นเลือกรุ่นย่อยที่มีออปชันตรงกับความต้องการแล้วกัน...จ่ายเงินแล้วไม่ได้ใช้ของ เสียดายตังค์!
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

MINI Cooper ปรับโฉม อัปเกรดเครื่องยนต์พร้อมเปิดราคาขายใหม่

มินิ ประกาศ อัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ด้วยรุ่นปรับโฉม ทั้งในรุ่น Hatchback, Clubman และ Convertible หลังจากที่ได้มีการปรับเครื่องยนต์ใหม่ ทั้งในไลน์ MINI Cooper S, MINI Cooper และ MINI One ที่ได้รับการอัพเกรดให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และคายไอเสียน้อยลง

กฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย กล่าวว่า “MINI ทั้งในรุ่น Hatchback, Clubman และ Convertible ได้รับการปรับเปลี่ยนในรายละเอียดด้านดีไซน์ภายนอก เพื่อให้ดูหล่อคมคาย ทั้งในส่วนของกันชนหน้า กันชนหลัง ช่องลมด้านข้าง และไฟท้าย อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของล้ออัลลอยด์ และมีการเพิ่มสี ทั้งนี้เสริมคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นของมินิให้เร้าใจยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน

ภายในก็มีการปรับเปลี่ยนทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งาน และดีไซน์ โดยเฉพาะในส่วนของคอนโซลกลางเพื่อให้ดูสบายตาภายใต้มุมแสงที่แตกต่าง อีกทั้งยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกยิ่งขึ้น ในการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับเพิ่มออปชันโปรไฟล์ในทุกรุ่น โดยเฉพาะในรุ่น MINI Cooper Look 2, MINI Cooper S Look 2, MINI Cooper S Clubman และ MINI Cooper S Convertible ที่ได้รับการติดตั้งระบบ MINI Connected ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ในขณะนี้ระบบ MINI Connected สามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรม Twitter, Web news และ Web radio ซึ่งทำให้การฟังวิทยุจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และในอนาคตก็จะมีการเปิดบริการเพิ่มขึ้นในส่วนโปรแกรม Facebook และ Google Local Search ทั้งนี้ ระบบ MINI Connected จะทำงานร่วมกับ iPhone 4 ผ่านระบบเชื่อมต่อสัญญาณ Data GPRS หรือ 3G”
MINI Cooper S
เพื่อสมรรถนะและประสิทธิภาพ

ในขณะที่ MINI Cooper S ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในรถเล็กสมรรถนะสูงที่ขับสนุกที่สุด วิศวกรของมินิก็มิได้หยุดนิ่งในการคิดค้นเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบาย Sustainability ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของมินิได้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยายนต์ด้วยระบบเครื่องยนต์ที่ผสมผสานสามสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้าง ‘เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตรที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก’ กล่าวคือ (1) เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo (2) ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และ (3) ระบบฉีดน้ำมันตรงเข้ากระบอกสูบ Direct Injection

เครื่องยนต์ของ MINI Cooper S ที่ได้รับการอัปเกรดในครั้งนี้ จัดได้ว่าเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้มีการผนวกรวมระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo และระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งต่างก็เป็นสุดยอดเทคโนโลยีระบบป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ของ MINI Cooper S ซึ่งเป็นสุดยอดอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในแง่ของสมรรถนะ ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และการลดการคายไอเสีย

เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ใช้หลักการแบ่งทางเดินไอเสียเป็นสองช่อง โดยทั้งสองช่องจะทำงานสอดประสานกัน สร้างแรงดันของไอเสียให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ เพื่อป้อนเป็นพลังงานขับเคลื่อนใบพัดของระบบเทอร์โบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ Twin-Scroll Turbo จึงเป็นระบบเทอร์โบเดี่ยวที่สามารถให้กำลังอัดอากาศสูงและต่อเนื่องเสมือนกับใช้ระบบเทอร์โบคู่ ซึ่งนอกจากจะมีขนาดกะทัดรัดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับรถขนาดเล็กอย่างมินิแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โบอีกด้วย ส่วนระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ซึ่งมีความสามารถกำหนดระยะเปิด-ปิดและระยะเวลาการเปิดวาล์วอากาศได้แปรผันต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบตามความต้องการของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การทำงานของทั้งสองระบบดังกล่าวอย่างควบคู่กัน จะส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังตอบสนองความต้องการในทุกรูปแบบการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ผลลัพธ์ที่ได้คือ MINI Cooper S ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของรถเล็กสมรรถนะสูงอยู่แล้ว มีสมรรถนะสูงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ และประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมันและลดการคายไอเสีย ใน MINI Cooper S รุ่นแฮ็ทแบ็ค เครื่องยนต์ใหม่ที่มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้านี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.0 วินาที และสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ดีกว่าเดิมอีก 7% เป็น 17.2 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำเพียง 149 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

MINI One 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี VALVETRONIC
MINI Cooper เครื่องยนต์ 122 แรงม้า

เครื่องยนต์ของ MINI Cooper ก็ได้รับการปรับปรุงในส่วนของซ๊อฟแวร์บริหารเครื่องยนต์ ทำให้มันมีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 122 แรงม้า (เดิม 120 แรงม้า) MINI Cooper รุ่นแฮตช์แบ็ก มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 9.1 วินาที และสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 127 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

MINI One ได้รับการแทนที่เครื่องยนต์เดิม ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC สามารถผลิตกำลังสูงสุด 98 แรงม้า (เดิม 95 แรงม้า) พร้อมแรงบิด 153 นิวตัน-เมตรที่ 3,000 รอบ (เดิม 140 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ) ทำให้ MINI One รุ่นแฮตช์แบ็ก สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเวลา 10.5 วินาที (เดิม 10.9 วินาที) และทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 127 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU
ราคาจำหน่าย
รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรม MSI MINI Service Inclusive 3 ปี / 50,000 กิโลเมตร

รุ่นแฮ็ทแบ็ค
MINI One ราคา 2,090,000 บาท
MINI Cooper Look 1 ราคา 2,390,000 บาท
MINI Cooper Look 2 ราคา 2,690,000 บาท
MINI Cooper S Look 1 ราคา 2,890,000 บาท
MINI Cooper S Look 2 ราคา 3,090,000 บาท

รุ่น Clubman
MINI Cooper Clubman ราคา 2,790,000 บาท
MINI Cooper S Clubman ราคา 3,290,000 บาท

รุ่นเปิดประทุน
MINI Cooper Convertible ราคา 2,890,000 บาท
MINI Cooper S Convertible ราคา 3,290,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

20 พฤศจิกายน 2553

ฮอนด้า แอคคอร์ดรุ่นปี 2011

แอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 2011 เครื่องยนต์ 3 ขนาด ราคาเริ่มต้น1.265ล้านบาท ฮอนด้า แอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ ปี 2011 มีให้เลือก 6 รุ่น ในเครื่องยนต์ i-VTEC 3 ขนาด ได้แก่ รุ่น 3.5 V6 เครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 275 แรงม้า พร้อมระบบแปรผันการทำงานของกระบอกสูบอัตโนมัติ (VCM) รุ่น 2.4 EL NAVI และรุ่น 2.4 EL เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ในขณะที่รุ่น 2.0 E รุ่น 2.0 EL และรุ่น 2.0 EL NAVI เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ทุกรุ่นมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด ระบบควบคุมแบบ Drive-By-Wire มีค่าไอเสียเทียบเท่ามาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 และสามารถใช้ได้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

• รุ่น 3.5 V6 ราคา 2,940,000 บาท มาพร้อมกับซันรูฟ ระบบ One-Touch ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ที่
ใช้งานง่าย เครื่องเล่นดีวีดี พร้อมกล้องส่องภาพด้านหลังซึ่งช่วยให้การถอยหลังและจอดง่ายขึ้น และฮาร์ดดิสก์สำหรับบันทึกไฟล์เพลง (HDD Audio) กระจกมองหลังปรับลดแสงแบบอัตโนมัติ ระบบไฟหน้าแบบ HID พร้อมระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ม่านบังแดดกระจกหลังปรับไฟฟ้า เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะ ระบบเชื่อมต่อแฮนด์ฟรีแบบไร้สาย Bluetooth ระบบเครื่องเสียงแบบ Premium sound system สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงติดตั้งที่พนักเท้าแขนของเบาะหลัง ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ถุงลมคู่หน้าด้านข้างอัจฉริยะพร้อมระบบเซ็นเซอร์แบบ OPDS ม่าน
ถุงลมด้านข้าง ระบบแปรผันการทำงานของกระบอกสูบอัตโนมัติ VCM (Variable Cylinder Management) พร้อมระบบ Active Control Engine Mount (ACM) เทคโนโลยีควบคุมเสียงรบกวน ANC (Active Noise Control) และระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมระบบเสริมแรงเบรก BA และกุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ พร้อมสัญญาณกันขโมย

• รุ่น 2.4 EL ราคา 1,547,000 บาท และรุ่น 2.4 EL NAVI ราคา 1,687,000 บาท มาพร้อมกับระบบไฟหน้าแบบ HID ระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเชื่อมต่อแฮนด์ฟรีแบบไร้สาย Bluetooth ระบบเครื่องเสียงแบบ Premium sound system สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ถุงลมคู่หน้าด้านข้างอัจฉริยะพร้อมระบบเซ็นเซอร์แบบ OPDS ม่านถุงลมด้านข้าง ระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมระบบเสริมแรงเบรก BA กุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ พร้อมสัญญาณกันขโมย กระจกมองหลังปรับลดแสงแบบอัตโนมัติและเบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะ ทั้งนี้ในรุ่น 2.4 EL NAVI เป็นระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ที่มาพร้อมกับเครื่องเล่น DVD และกล้องส่องภาพด้านหลังซึ่งช่วยให้การถอยหลังและจอดง่ายขึ้น และฮาร์ดดิสก์สำหรับบันทึกไฟล์เพลง (HDD Audio) ส่วนรุ่น 2.4 EL เป็นเครื่องเล่นCD/MP3แบบ 6 แผ่น

• รุ่น 2.0 E ราคา 1,265,000 บาท มาพร้อมกับ ล้ออัลลอย 16 นิ้ว เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เครื่องเล่นCD/MP3 แบบ 6 แผ่น สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ถุงลมคู่หน้าด้านข้างอัจฉริยะพร้อมระบบเซ็นเซอร์แบบ OPDS กุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ พร้อมสัญญาณกันขโมย

• สองรุ่นใหม่ คือ รุ่น 2.0 EL ราคา 1,280,000 บาท และรุ่น 2.0 EL NAVI 1,420,000 บาท มาพร้อมกับ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ถุงลมคู่หน้าด้านข้างอัจฉริยะพร้อมระบบเซ็นเซอร์แบบ OPDS สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย กุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ พร้อมสัญญาณกันขโมย ทั้งนี้ในรุ่น 2.0 EL เป็นเครื่องเล่นCD/MP3แบบ 6 แผ่น ส่วนรุ่น 2.0 EL NAVI เป็นระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ที่มาพร้อมกับเครื่องเล่น DVD และกล้องส่องภาพด้านหลังและฮาร์ดดิสก์สำหรับบันทึกไฟล์เพลง (HDD Audio) และระบบเครื่องเสียงแบบ Premium sound system

ฮอนด้า แอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 2011 มีให้เลือก 5 สี คือ ขาวบริลเลียนท์ เงินอลาบาสเตอร์ เทาโพลิชเมทัล ดำคริสตัล และ น้ำตาลเออร์เบิน ไทเทเนียม (สำหรับสีพิเศษสีขาว เพิ่มอีก 10,000 บาท)

ฮอนด้า แอคคอร์ด ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 2011 เปิดให้ลูกค้าจองแล้วตั้งแต่วันนี้ ณ โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการฮอนด้า ทั่วประเทศ และในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 (1-12 ธันวาคม) ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี
ที่มา โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ปอร์เช่ มุ่งเป้าพัฒนารถเพื่อการประหยัดน้ำมัน

เปอร์เช่ เอจี ยังคงใช้เป้าหมายการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่องกับการผลิตรถทุกรุ่นของปอร์เช่ และที่ผ่านมาถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างมากหากเปรียบเทียบกับปอร์เช่รุ่นก่อนๆ รุ่นที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุดคือ คาเยนน์ รถยนต์สปอร์ตเอนกประสงค์สายพันธุ์ปอร์เช่ ที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงกว่า 20%-23% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเก่า (ในรูปแบบการขับขี่ในยุโรป NEDC) ในส่วนของรถยนต์สปอร์ต อย่างบ๊อกสเตอร์และเคย์แมนที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2008 นั้นมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีมากเช่นเดียวกันนั่นคืออัตราการบริโภคที่ลดลงกว่า 16% ในรุ่นบ็อกซ์เตอร์ และ 15% ในรุ่นเคย์แมน

เครื่องยนต์ของรถปอร์เช่ทุกรุ่นนั้นเต็มไปด้วยความเป็นรถสปอร์ตซึ่งได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวรถและรถปอร์เช่ที่สามารถลดอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงได้กว่า 0.5 และ 0.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรนั้นเป็นผลมาจากการที่ปอร์เช่เปลี่ยนมาใช้ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Fuel Injection) และการนำระบบเกียร์อัจฉริยะ 7 จังหวะอย่าง Porsche Doppelkupplungs-getriebe (PDK) มาใช้แทนระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 5 จังหวะนั่นเอง และด้วยความเหนือชั้นของการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้รถรุ่น 911 นั้นบริโภคน้ำมันน้อยกว่า 10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเป็นครั้งแรก และรุ่น 911 คาเรร่าที่ติดตั้ง PDK มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 345 แรงม้านั้นมีอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 9.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น
ซึ่งหากทำการเทียบกับรุ่นเดิมแล้วพบว่าลดลงกว่า 13% และ อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นลดลงกว่า 15% เลยทีเดียวสำหรับรุ่นบ็อกซ์เตอร์และเคย์แมนนั้นได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ และระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรงพร้อมด้วยระบบเกียร์ PDK ทำให้รถทั้ง 2 รุ่นที่มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 310 แรงม้าสำหรับรุ่นบ๊อกสเตอร์ เอส และ 320 แรงม้าสำหรับรุ่นเคย์แมน เอส นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงกว่า 15% นั่นคือ 9.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

สำหรับคาเยนน์ใหม่ล่าสุดได้นำเอาหลักการของโปรแกรม “Porsche Intelligent Performance” หรือประสิทธิภาพอย่างอัจฉริยะของปอร์เช่มาใช้กับรถอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้นแต่การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง อีกทั้งประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่มากขึ้นและลดอัตราการปล่อย CO2 สำหรับรุ่น 6 สูบอย่างรุ่นคาเยนน์และรุ่นคาเยนน์ ดีเซลนั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดน้อยลงถึง 20% หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์V8 อย่างรุ่นคาเยนน์ เทอร์โบและรุ่นคาเยนน์ เอส นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงถึง 23% เลยทีเดียว รุ่นเด่นอย่าง คาเยนน์ เอส ไฮบริด นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่เรียกได้ว่าประหยัดอย่างเหนือชั้น ด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น และหากทำการเปรียบเทียบ คาเยนน์ เอส ไฮบริด ที่มีขุมพละกำลังเครื่องยนต์ที่แรงม้าสูงสุด 380 แรงม้ากับรุ่นคาเยนน์ เอส รุ่นก่อนที่มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 385 แรงม้า จะพบว่าคาเยนน์ เอส ไฮบริดนั้นมีอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าถึง 40% ซึ่งต่ำกว่าทุกๆ รุ่น ในขณะที่มีประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่ดีกว่า ทั้ง 3 รุ่นจาก 5 รุ่นของคาเยนน์นั้นต่างมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า 10 ลิตร (ต่อ 100 กิโลเมตรและในสภาพขับขี่แบบ NEDC) และ 2 รุ่นที่เหลือมีอัตราการปล่อยมลพิษ CO2 ที่ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตรด้วยเช่นเดียวกัน
อัตราการบริโภคน้ำมันของคาเยนน์ในทุกๆรุ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความประหยัดในขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพที่เหนือชั้นเหล่านี้ได้มาจากการที่นำระบบเกียร์ Tiptronic S 8 จังหวะใหม่ล่าสุดมาใช้ควบคู่กับระบบ Automatic Stop/start และอัตราการทดเกียร์ที่กว้างขึ้น ระบบการจัดการความร้อนสำหรับเครื่องยนต์และวงจรหล่อเย็นของเกียร์ ระบบอิเลคทรอนิคของรถ ระบบการตัดน้ำมันเมื่อถอนอัตราเร่ง และที่สำคัญได้นำเอาแนวคิดโครงสร้างน้ำหนักเบาอย่างอัจฉริยะมาใช้ แนวคิดของตัวรถนั้นได้รับการปรับปรุงโดยเน้นการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา อาทิเช่น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบบางเบาที่จะทำให้น้ำหนักโดยรวมของคาเยนน์ เทอร์โบ นั้นลดลงกว่า 185 กิโลกรัมหากแต่เพิ่มความปลอดภัยให้กับรถมากขึ้น ระบบเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพียงลดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหรือลดอัตราการปล่อยมลพิษของรถลงเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ การเกาะถนน และการรักษาเสถียรภาพของรถให้มีความสมบูรณ์แบบและมีความลงตัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับประเทศไทยรถยนต์คาเยนน์ เอส ไฮบริดนั้น สนนราคาเริ่มต้นที่ 7.9 ล้านบาทเท่านั้น เสริมด้วยการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ 9 ปี และวิศวกรผู้ดูแลเครื่องยนต์ไฮบริดให้แก่รถของท่านนั้น ต่างได้รับการฝึกอบรมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรงกับเครื่องยนต์ประเภทนี้และได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจากโรงงานปอร์เช่ที่เยอรมนีให้ดูแลเครื่องยนต์และรถยนต์ไฮบริดของท่าน เอกสิทธิ์เหล่านี้เฉพาะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย อย่างบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด เท่านั้น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

19 พฤศจิกายน 2553

Nissan Ellure Concept สปอร์ตซีดานสไตล์คูเป้

Nissan ยังแสดงเจตนาที่ชัดเจนในการพัฒนารถซีดานรุ่นใหม่ๆเพื่อป้อนตลาดซึ่งล่าสุดเตรียมเปิดตัว Nissan Ellure Concept ซีดานแนวคิดสุดล้ำที่ออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงวัย 30-40 ปีที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและต้องการความแตกต่าง จะว่าไปแล้วดีไซน์ของ Ellure รุ่นนี้น่าดึงดูดทุกกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะสร้างความสนใจในกลุ่มผู้ชายมากกว่าด้วยซ้ำไป ด้วยรูปทรงในแบบสปอร์ตซีดานที่เส้นหลังคาออกไปทางคูเป้ 4 ประตู Ellure มีจุดเด่นสำคัญๆคือ กระจกหน้าโดดเด่นด้วยองศาลาดเอียงไปทางด้านหลังมากเป็นพิเศษ หลังคาแก้ว ประตูข้างด้านหลังมีการเปิดแบบตู้กับข้าว และล้ออลูมิเนียม 5 ก้าน ขนาด 21 นิ้ว ภายในใช้โทนสีแบบทรีโทน โดยเบาะที่นั่งด้านหลังดูหรูหราในสไตล์เล้านจ์ มีการใช้คอนโซลกลางแบบลอยตัว วัสดุที่บุภายในเกือบทั้งหมดเป็นชนิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีการใช้หนังกลับในการบุเบาะที่นั่ง
Nissan เน้นออกแบบรูปทรงของรถให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์มากที่สุดดังเห็นได้จากรูปลักษณ์ภายนอกในทุกจุดรวมถึงดีไซน์ของล้ออลูมิเนียม แผงกระจังหน้าได้รับอิทธิพลในเรื่องรูปแบบจากเสื้อซามูไรที่เรียกว่า Kamishino โดยส่วนท้ายของรถเลียนแบบมาจากประตูเมือง Torii ในสมัยราชวงศ์ชินโต ถือว่าเป็นการออกแบบในทิศทางเดียวกันกับ Infiniti ที่มีการนำเอาวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
Nissan Ellure Concept ที่จะไปอวดโฉมในงาน LA Auto Show ครั้งนี้ยังไม่มีระบบขับเคลื่อน แต่ทาง Nissan เผยว่าบริษัทฯจะใช้ระบบขับเคลื่อนที่เป็นเครื่องยนต์ซุปเปอร์ชาร์จ 4 สูบ แถวเรียง 2.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 25 กิโลวัตต์ โดยใช้ระบบเกียร์ Xtronic CVT นอกจากนั้นยังมีการใช้ระบบกันสะเทือนแยกอิสระ ระบบเบรคแบบพลังงานกลับคืนหรือ Regenerative Brake โดยมีระบบพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า/ไฮดรอลิก Drive-by-Wire ที่มีการพัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุด
ที่มา: Nissan,autospinn