19 กรกฎาคม 2554

"มิตซูบิชิ" ส่ง "ไอมีฟ" 2 รุ่น ต่อยอดรถยนต์ไฟฟ้า

มิตซูบิชิ ไอมีฟ ถือเป็นรถยนต์ที่เกิดจากความพยายามกว่า 40 ปีของมิตซูบิชิในการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ซึ่งเป็นรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากความร่วมมือของมิตซูบิชิที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ

โดยเริ่มเปิดตัวและจำหน่ายให้แก่หน่วยงานภาครัฐเป็น ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 และเริ่มจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ใน ปีถัดมา

ล่าสุด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น (MMC) ยืนยันแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ไอ-มีฟ (i-MiEV) 2 รุ่น เพื่อจำหน่ายภายในปีนี้ ในชื่อรุ่น "M" และ "G" ที่จะเริ่มวางจำหน่ายในโชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิในประเทศญี่ปุ่น ภายในกรกฎาคมนี้

สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รุ่นไอมีฟ ที่เปิดตัวทั้ง 2 รุ่นนั้น ถูกผลิตให้มีราคาจำหน่ายที่ต่ำ ลงกว่าโมเดล 2011 ที่สามารถวิ่งได้ระยะทาง 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง แต่โมเดลใหม่นี้กลับมีประสิทธิภาพในการชาร์จไฟที่ดีกว่า ด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ไฟฟ้ากระแสสลับขนาด 200 โวลต์ ซึ่งไฟฟ้าจะถูกเก็บกักโดยอุปกรณ์ที่ผลิตโดยพานาโซนิค อิเล็กทริคส์ เวิร์ค

โดยในรุ่น M นั้น เป็นรุ่นที่ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย ด้วยราคาที่ต่ำกว่ารุ่น G สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ที่ใช้เวลาการชาร์จไฟเต็มประมาณ 4.5 ชั่วโมง หรือการชาร์จเพียง 15 นาที ก็สามารถเพิ่มพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 80% มีราคาจำหน่าย 1.8 ล้านเยน หรือประมาณ 648,00 บาท ซึ่งลูกค้าจะเริ่มเห็นรถยนต์ดังกล่าวในโชว์รูมมิตซูบิชิ ทั่วประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้

ส่วนรุ่น G นั้น สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 180 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งประมาณ 7 ชั่วโมง หรือการชาร์จด่วนใช้เวลา 30 นาที เพิ่มพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 80% มีราคาจำหน่าย 3.8 ล้านเยน หรือประมาณ 1,368,000 บาท ซึ่งก็เป็นราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าไอมีฟ โมเดล 2011 เนื่องจากผลสำเร็จของการลดต้นทุนแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของรถยนต์ โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม

สำหรับจุดเด่นที่โมเดลใหม่นี้มีความแตกต่างจากโมเดลก่อนหน้า คือประสิทธิภาพที่ดีกว่า ด้วยการปรับปรุงสู่ระบบปฏิบัติการ MiEV OS (MiEV Operating System) ซึ่งเป็นระบบในการประมวลผลและจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการพัฒนาระบบความปลอดภัยในรถด้วยการเพิ่มระบบเบรก "Active Stability Control" หรือ ASC ระบบเบรกที่ช่วยให้เกิดความมีเสถียรภาพในการขับขี่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในขณะที่ผู้ขับขี่ต้องใช้เส้นทางในสภาพถนนเปียกลื่นได้

นอกจากนี้ ในรุ่น G ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมคือฮีตเตอร์ด้านคนขับและที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมระบบมิตซูบิชิ มัลติ-เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซิสเต็มส์ ด้วยจอภาพขนาด 7 นิ้ว และระบบนำทางที่ช่วยค้นหาแหล่งเติมพลังงานไฟฟ้า, โปรแกรมค้นหาเส้นทางที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด และสถานะการขับขี่ปัจจุบันของตัวรถ ซึ่งระบบนำทางนั้นจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ถูกติดตั้งมาจากโรงงาน

สำหรับการเลือกใช้วัสดุนั้น รถยนต์ทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้ "กรีน พลาสติก" เช่น ในส่วนของเบาะโดยสารนั้น จะใช้เส้นใยที่มีส่วนผสมระหว่างเส้นใย PET หรือ polythelene terephthalate กับยางและผ้าฝ้าย ซึ่งช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับการใช้เบาะที่ผลิตจากวัสดุอื่น

โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายสำหรับปีงบประมาณ 2554 หรือตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายไปจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2555 ที่จำนวน 6,000 คัน จากโมเดลเดิมที่มียอดขายในประเทศประมาณ 4,000 คันต่อปี และมียอดการส่งออกประมาณ 10,000 คันต่อปี ส่วนแผนการเปิดตัวรถยนต์ดังกล่าวในสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่ถูกเปิดเผยกำหนดการที่แน่นอน ส่วนในประเทศไทยนั้นก็มีการนำมาแสดงในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีกำหนดการในการนำเข้ามาทำตลาดแต่อย่างใด
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2554 เวลา 22:06

    ถ้าขายในประเทศไทยราคา 5 แสน ปลาย 6 แสน ต้น น่าจะสนุกมากเลยครับท่าน เร็ว ๆ หน่อยนะ รออยู่เหมือนกัน

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2554 เวลา 22:15

    อีโคคาร์ น่าจะเร็วหน่อยนะ มิตซูจ๋า เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์
    ไทรทันหน้าปาเจโร่ก็น่าจะเท่ห์ไม่เบา
    EX ราคาเบากว่านี้อีกนิดน่าจะดี ติดแก๊สก็น่าจะเวิร์ค
    แลนเซอร์ตัวเก่าปรับน่าตาให้แจ่มอีกได้มั๊ย ท้ายด้วยนะ ภายในให้หรูอีกนิดราคาต่ำอีกนิสสส....หนึ่งน่าจะไปได้สวยนะ ฝากไว้ให้คิด ทำได้ก็ทำเถอะครับ

    ตอบลบ