
ตอนนี้โฟล์คสวาเกนจะทำอย่างนั้นให้กับเมืองเบอร์ลิน ด้วยการสร้างสรรค์แท็กซี่ต้นแบบรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Berlin taxi Concept ออกมาจัดแสดง โดยเป็นการต่อยอดทางด้านแนวคิดให้สอดคล้องกับนโยบายของโฟล์คฯ ที่จะผลิตและพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าเพื่อออกมาขายเป็นอีกทางเลือกในตลาดปี 2013 อีกด้วย
จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากต้นแบบที่ชื่อ Milano taxi ซึ่งทางโฟล์คฯ นำออกเผยแพร่สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน แต่ในตอนนั้นเป็นแค่งานดีไซน์ยังไม่มีคันจริงออกมาจัดแสดง และ Berlin taxi เป็นผลผลิตที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบรุ่นนั้นและไม่ใช่งานขายฝันอีกต่อ เพราะมีคันจริงออกมาจัดแสดง และนำออกแล่นทดสอบบนถนน

ใครที่คิดว่าแท็กซี่จะต้องเป็นรถยนต์คันโตๆ เห็นทีจะต้องคิดกันใหม่ เพราะโฟล์คฯ พัฒนา Berlin taxi ให้เน้นความคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมืองด้วยตัวถังที่มีความยาวเพียง 3.73 เมตร สูง 1.6 เมตร และกว้าง 1.66 เมตร แต่ข้างในเพียบพร้อมด้วยความอเนกประสงค์เพื่อรองรับกับการบรรทุกทั้งคนและสัมภาระ

ดังนั้นประตูฝั่งผู้โดยสารจะมีลักษณะยาวจากเบาะด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง ขณะที่อีกฝั่งสำหรับผู้ขับ (รถยนต์พวงมาลัยซ้าย) จะมีแค่ประตูบานหน้าเท่านั้นเพื่อให้คนขับเข้าออก ซึ่งประตูเปิดได้กว้าง อีกทั้งตัวถังที่เป็นทรงสูง ยังทำให้การเข้าออกไม่มีปัญหาสำหรับฝรั่งตัวโตๆ
การจัดวางพื้นที่ในห้องโดยสารตอบสนองในด้านประโยชน์ใช้สอยเต็มที่ ซึ่งสำหรับแท็กซี่ในต่างประเทศ ที่มีการจำกัดจำนวนคนนั่งต่อคัน ทำให้การจัดวางตรงนี้สะดวกขึ้น ซึ่งเบาะนั่งด้านหลังรองรับผู้โดยสารได้ 2 คน คน และมีหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้วคล้ายกับ iPad ขนาดใหญ่วางอยู่ตรงเบาะหลังคนขับ

ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปล่อยโล่งให้เป็นพื้นที่สำหรับบรรทุกสัมภาระ เช่น กระเป๋าเดินทาง และตรงแผงหน้าปัดใกล้ๆ กับกระจกมองข้างจะมีช่องคล้ายๆ กับช่องของกระปุกออมสินสำหรับให้ผู้โดยสารที่กำลังขนสัมภาระลงเสร็จเรียบร้อยแล้วจัดจ่ายทิปให้กับคนขับ

แต่แพ็คแบตเตอรี่ชุดนี้เมื่อชาร์จเต็มก็แล่นได้ 300 กิโลเมตร ขึ้นอยู่สไตล์การขับ ส่วนการชาร์จสามารถทำได้โดยที่โลโก้ VW บนกระจังหน้าจะมีช่องสำหรับชาร์จไฟ โดยการชาร์จแบบ Quick Mode เอาแบบแค่ 80% ก็รอเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าจะเอาเต็มก็ 3-4 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าและระบบพื้นฐานของเครื่องชาร์จด้วยว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน
โฟล์คฯ บอกว่านี่ยังเป็นต้นแบบ แต่ก็ไม่หมายความว่าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นจริง และถ้ารถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของตัวเองวางขายในปี 2013 เชื่อว่าน่าจะสามารถต่อยอดและนำไปสู่การผลิตเป็นจำนวนมาก เพื่อการใช้งานบริการในสไตล์แท็กซี่ได้
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น