สปอร์ตใหม่รุ่นนี้มีชื่อว่า FF ซึ่งก็ย่อมาจาก Ferrari Four โดยคำว่า Four มีนัยยะแฝงของคำว่า 4 ทั้งในแง่ของการเป็นสปอร์ตแบบ 4 ที่นั่ง และก็ขับเคลื่อน 4 ล้อ และก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาขายจริงแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก เพราะนี่ถือว่าเป็นต้นแบบที่มีความใกล้เคียงกับการขายจริง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นข่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าก็ต้นปี 2012

เห็นสเปกแล้วก็คงไม่ต้องเดากันมาก เพราะคาดว่า FF น่าจะถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ 612 Scaglietti ส่วนจะถึงขั้นมีเซอร์ไพรส์ว่าเข้ามาทำตลาดแทนที่หรือไม่นั้น อันนั้นยังไม่มีการเปิดเผย แต่เมื่อดูจากช่วงเวลาที่ 612 อยู่ในตลาดแล้วก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะสปอร์ตรุ่นใหญ่นี้ขายในตลาดมาตั้งแต่ปี 2004
อย่างไรก็ตาม นั่นดูเหมือนว่าจะไม่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจและน่าสนใจให้กับบรรดาคนรักม้ามากเท่ากับการได้รับทราบว่าสปอร์ตรุ่นนี้ได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแรกของบริษัท โดยมีชื่อว่า 4RM ซึ่งมีความทันสมัย และมีน้ำหนักของระบบโดยรวมเบากว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถึง 50%

ถ้าไม่รู้ข้อมูลมาว่าพกเครื่องยนต์ใหญ่ในแบบวี12 แล้วดูจากภาพเพียงอย่างเดียว หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นสปอร์ตไซส์ปานกลาง แต่ FF เป็นสปอร์ตคลาสใหญ่ของเฟอร์รารี่ โดยมีความยาวอยู่ในระดับ 4,907 มิลลิเมตร กว้าง 1,953 มิลลิเมตร สูง 1,397 มิลลิเมตร มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก 47:53% ส่วนน้ำหนักตัวอยู่ในระดับถึง 1,790 กิโลกรัมเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ ตัวถังแบบนี้ให้ประโยชน์ใช้สอยมากกว่าคูเป้ เพราะว่าสามารถพับเบาะหลังลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระจากเดิม 450 ลิตรในแบบปกติมาเป็น 800 ลิตร
ทางด้านสเปกของเครื่องยนต์วี 12 ทางเฟอร์รารี่บอกว่าเป็นบล็อกใหม่ล่าสุดที่ถูกปรับปรุงและพัฒนาเพื่อแทนที่เครื่องยนต์บล็อกเดิมที่มีความจุเพียง 5,700 ซีซี โดยขยับความจุขึ้นมาเป็น 6,262 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยระบบไดเรกต์อินเจ็กชั่น รีดกำลังออกมาใช้งานได้ 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 69.7 กก.-ม. ที่ 6,000 รอบต่อนาที

สำหรับตัวเลขในด้านความประหยัดน้ำมันตามรูปแบบการทดสอบของ EU แล้วตัวเลขเฉลี่ยสำหรับการขับในแบบผสมผสานอยู่ที่ 6.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีการคายระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 360 กิโลเมตร/ลิตร
เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011 เดือนมีนาคมนี้ได้เจอคันจริงกันแน่นอน และแม้ว่าเฟอร์รารี่จะบอกว่ายังเป็นต้นแบบ แต่เชื่อว่าใกล้เคียงกับการผลิตจริงอย่างมาก และว่ากันว่าเมื่อขึ้นไลน์ผลิตจริงราคาอาจจะป้วนเปี้ยนอยู่ในระดับ 700,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 21 ล้านบาท (แบบยังไม่รวมภาษีนำเข้าในไทย)
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น