

...อาจจะช้าไปสักหน่อยสำหรับการนำรถมาลองขับ แต่ก็คงเสียโอกาส ถ้าพลาดสัมผัสความคลาสสิคแห่งอิตาลี โดย“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองรุ่น Premium ราคา 1.85 ล้านบาท ซึ่งรุ่นนี้จะเสริมออปชันอย่าง เบาะหนัง หลังคากระจก ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ประกบบยางขนาด 195/45R16 คาลิเปอร์เบรกสีแดง เซ็นเซอร์ถอยหลัง ขณะเดียวกันสิ่งอำนวยความสะดวก-ปลอดภัยมาตรฐานมีทั้ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน แอร์อัตโนมัติ เครื่องเล่นซีดี MP3 พร้อมช่องต่อ USBและบลูทูธเชื่อมต่อโทรศัพท์

“เฟียต 500” ใช้แพลตฟอร์มเดียวกับรถเล็กร่วมค่ายรุ่น “แพนด้า” (ฟอร์ดเอาไปใช้ในรุ่น KA ด้วย) เลย์เอ้าท์ เครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ตามสมัยนิยมของซิตี้คาร์ยุคใหม่ ครอบด้วยตัวถังแฮทซ์แบ็ก 3 ประตู ส่วนรุ่น 500C จะเป็นตัวถังเปิดประทุนรับลม
มิติตัวถังรุ่นแฮทซ์แบ็กยาว 3,546 มิลลิเมตร กว้าง 1,627 มิลลิเมตร สูง 1,488 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,300 มิลลิเมตร ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 100 แรงม้า แบกน้ำหนักรถเพียง 930 กิโลกรัม

สำหรับตำแหน่งคนขับ-ผู้โดยสารด้านหน้า ถ้าคนสูงระดับ 180 เซนติเมตร ช่วงขาอาจจะขัดๆนิดหน่อย เบาะหนังโอบกระชับนั่งสบาย การปรับระดับใช้มือโยก ส่วนพนักพิงศีรษะทรงกลมไม่แน่ใจว่าใช้วัสดุอะไร แต่ผู้เขียนลองสะบัดหัวไปโดน รู้สึกเหมือนโดนเขียงหมูแข็งๆ ประมาณนั้น
ตัวรถขนาดกะทัดรัด พร้อมโอเวอร์แองค์สั้นๆ ขับคล่องตัวทีเดียว ส่วนตำแหน่งเกียร์วางอยู่บริเวณคอนโซลหน้า ใกล้ปุ่มปรับเครื่องปรับอากาศ ไม่มีปัญหาสำหรับระยะโยกเปลี่ยนเกียร์ ด้านพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาเน้นการขับในเมือง แน่นอนว่าถ้าใช้ความร็วสูงก็หวิว แถมวงเลี้ยวขาดๆเกินๆ ตรงนี้ต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักระยะ
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน-เมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 5 สปีด หรือAutomatic Manual Transmission
เกียร์แบบคลัตซ์ไฟฟ้าชุดนี้ เหมือนกับที่โปรตอน ใช้ใน “แซฟวี่” ครับ ซึ่งข้อดีคงเป็นการส่งกำลังรวดเร็ว สูญเสียกำลังน้อย ส่งผลถึงประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน แต่การขับจริงๆไม่ค่อยราบลื่น(ตามสไตล์เกียร์ธรรมดา) มีช่วงโยกวูบตลอด โดยเฉพาะช่วงรอบต่ำ 1,000-1,500 รอบ และน่าจะปวดหัวมากถ้าขับช่วงรถติด
ด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังชุดนี้ ทำให้ “เฟียต 500” มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 182 กม./ชม. ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย เคลมไว้ที่ 15.9 กม./ลิตร
การขับจริงก็สะท้อนตัวเลขดังกล่าว อย่างช่วงออกตัวหรือเร่งเครื่องช่วงความเร็วต่ำทำได้สมเนื้อสมตัว ไม่อืดแต่ไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าด จังหวะต้องการแซง พยายามเข่นคันเร่งและรอรอบนิดนึง รถก็ผ่านฉลุย
ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังเป็นคานแข็งทอร์ชันบีม พร้อมยางบริดจสโตนขนาด195/45R16 เซ็ทมาแข็งเป้ก การขับหนึบหนับเกาะถนน ถ้าเทียบกับ“มินิ” น่าจะพอๆกัน แต่อย่างที่บอกว่า “เฟียต 500” พวงมาลัยค่อนข้างเบา ดังนั้นการขับความเร็วสูงแม้ช่วงล่างจะนิ่ง การถ่ายเทน้ำหนักทำได้สมดุล แต่มาเจอความรู้สึกกับพวงมาลัย กลายเป็นไม่สอดคล้องกัน
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งเสียงลมปะทะ เสียงยางบดพื้น สะท้อนเข้ามาชัดตั้งแต่ความเร็ว 80-90 กม./ชม.ขึ้นไป อย่างไรก็ตามจุดที่ต้องชม และลืมไม่ได้คงเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ตอบสนองยอดเยี่ยม ระยะชะลอหยุดตามคาด และไม่ออกแนวหัวทิ่ม

...เมื่อก่อนชาวบ้านทั่วไปอาจซื้อ“เฟียต 500”ไว้จ่ายตลาดสดแถวบ้าน แต่ปัจจุบันคงเป็นเรื่องของคนใจรัก มีฐานะใช้เป็นพาหนะชอปปิ้ง“พารากอน”เสียแล้ว
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น