20 พฤศจิกายน 2553

ปอร์เช่ มุ่งเป้าพัฒนารถเพื่อการประหยัดน้ำมัน

เปอร์เช่ เอจี ยังคงใช้เป้าหมายการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่องกับการผลิตรถทุกรุ่นของปอร์เช่ และที่ผ่านมาถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างมากหากเปรียบเทียบกับปอร์เช่รุ่นก่อนๆ รุ่นที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุดคือ คาเยนน์ รถยนต์สปอร์ตเอนกประสงค์สายพันธุ์ปอร์เช่ ที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงกว่า 20%-23% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเก่า (ในรูปแบบการขับขี่ในยุโรป NEDC) ในส่วนของรถยนต์สปอร์ต อย่างบ๊อกสเตอร์และเคย์แมนที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2008 นั้นมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีมากเช่นเดียวกันนั่นคืออัตราการบริโภคที่ลดลงกว่า 16% ในรุ่นบ็อกซ์เตอร์ และ 15% ในรุ่นเคย์แมน

เครื่องยนต์ของรถปอร์เช่ทุกรุ่นนั้นเต็มไปด้วยความเป็นรถสปอร์ตซึ่งได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวรถและรถปอร์เช่ที่สามารถลดอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงได้กว่า 0.5 และ 0.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรนั้นเป็นผลมาจากการที่ปอร์เช่เปลี่ยนมาใช้ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Fuel Injection) และการนำระบบเกียร์อัจฉริยะ 7 จังหวะอย่าง Porsche Doppelkupplungs-getriebe (PDK) มาใช้แทนระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 5 จังหวะนั่นเอง และด้วยความเหนือชั้นของการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้รถรุ่น 911 นั้นบริโภคน้ำมันน้อยกว่า 10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเป็นครั้งแรก และรุ่น 911 คาเรร่าที่ติดตั้ง PDK มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 345 แรงม้านั้นมีอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 9.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น
ซึ่งหากทำการเทียบกับรุ่นเดิมแล้วพบว่าลดลงกว่า 13% และ อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นลดลงกว่า 15% เลยทีเดียวสำหรับรุ่นบ็อกซ์เตอร์และเคย์แมนนั้นได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ และระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรงพร้อมด้วยระบบเกียร์ PDK ทำให้รถทั้ง 2 รุ่นที่มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 310 แรงม้าสำหรับรุ่นบ๊อกสเตอร์ เอส และ 320 แรงม้าสำหรับรุ่นเคย์แมน เอส นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงกว่า 15% นั่นคือ 9.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

สำหรับคาเยนน์ใหม่ล่าสุดได้นำเอาหลักการของโปรแกรม “Porsche Intelligent Performance” หรือประสิทธิภาพอย่างอัจฉริยะของปอร์เช่มาใช้กับรถอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้นแต่การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง อีกทั้งประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่มากขึ้นและลดอัตราการปล่อย CO2 สำหรับรุ่น 6 สูบอย่างรุ่นคาเยนน์และรุ่นคาเยนน์ ดีเซลนั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดน้อยลงถึง 20% หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์V8 อย่างรุ่นคาเยนน์ เทอร์โบและรุ่นคาเยนน์ เอส นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงถึง 23% เลยทีเดียว รุ่นเด่นอย่าง คาเยนน์ เอส ไฮบริด นั้นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่เรียกได้ว่าประหยัดอย่างเหนือชั้น ด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น และหากทำการเปรียบเทียบ คาเยนน์ เอส ไฮบริด ที่มีขุมพละกำลังเครื่องยนต์ที่แรงม้าสูงสุด 380 แรงม้ากับรุ่นคาเยนน์ เอส รุ่นก่อนที่มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 385 แรงม้า จะพบว่าคาเยนน์ เอส ไฮบริดนั้นมีอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าถึง 40% ซึ่งต่ำกว่าทุกๆ รุ่น ในขณะที่มีประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่ดีกว่า ทั้ง 3 รุ่นจาก 5 รุ่นของคาเยนน์นั้นต่างมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า 10 ลิตร (ต่อ 100 กิโลเมตรและในสภาพขับขี่แบบ NEDC) และ 2 รุ่นที่เหลือมีอัตราการปล่อยมลพิษ CO2 ที่ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตรด้วยเช่นเดียวกัน
อัตราการบริโภคน้ำมันของคาเยนน์ในทุกๆรุ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความประหยัดในขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพที่เหนือชั้นเหล่านี้ได้มาจากการที่นำระบบเกียร์ Tiptronic S 8 จังหวะใหม่ล่าสุดมาใช้ควบคู่กับระบบ Automatic Stop/start และอัตราการทดเกียร์ที่กว้างขึ้น ระบบการจัดการความร้อนสำหรับเครื่องยนต์และวงจรหล่อเย็นของเกียร์ ระบบอิเลคทรอนิคของรถ ระบบการตัดน้ำมันเมื่อถอนอัตราเร่ง และที่สำคัญได้นำเอาแนวคิดโครงสร้างน้ำหนักเบาอย่างอัจฉริยะมาใช้ แนวคิดของตัวรถนั้นได้รับการปรับปรุงโดยเน้นการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา อาทิเช่น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบบางเบาที่จะทำให้น้ำหนักโดยรวมของคาเยนน์ เทอร์โบ นั้นลดลงกว่า 185 กิโลกรัมหากแต่เพิ่มความปลอดภัยให้กับรถมากขึ้น ระบบเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพียงลดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหรือลดอัตราการปล่อยมลพิษของรถลงเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ การเกาะถนน และการรักษาเสถียรภาพของรถให้มีความสมบูรณ์แบบและมีความลงตัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับประเทศไทยรถยนต์คาเยนน์ เอส ไฮบริดนั้น สนนราคาเริ่มต้นที่ 7.9 ล้านบาทเท่านั้น เสริมด้วยการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ 9 ปี และวิศวกรผู้ดูแลเครื่องยนต์ไฮบริดให้แก่รถของท่านนั้น ต่างได้รับการฝึกอบรมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรงกับเครื่องยนต์ประเภทนี้และได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจากโรงงานปอร์เช่ที่เยอรมนีให้ดูแลเครื่องยนต์และรถยนต์ไฮบริดของท่าน เอกสิทธิ์เหล่านี้เฉพาะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย อย่างบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด เท่านั้น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น