04 พฤษภาคม 2553

Hyundai Equus ท้าชนความหรูแดนไส้กรอก


Hyundai Equus ท้าชนความหรูแดนไส้กรอก
นานหลายสิบปีที่รถยนต์จากเกาหลีใต้ถูกมองจากนักขับทั่วโลกว่าเป็นรถยนต์ราคาประหยัด แต่สำหรับตอนนี้ จากการยกระดับของฮุนไดและเกียไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์เช่นนี้หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว และฮุนไดก็พร้อมแล้วที่จะอัพเกรดตัวเองขึ้นเขย่าตลาดรถยนต์ระดับหรูเพื่อเทียบชั้นกับแบรนด์ดังจากเยอรมนีทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, ออดี้ รวมถึงความหรูแดนปลาดิบอย่างเล็กซัสของโตโยต้า

ความพยายามของฮุนไดในการเจาะตลาดรถยนต์ซูเปอร์หรูมีมาตั้งแต่ปี 1999 กับรุ่นแรกที่ใช้ชื่อว่าเซ็นเทนเนียล แต่รุ่นนี้เน้นขายในบ้านตัวเองเป็นหลัก เพื่อแข่งกับซีรีส์ 7, เอส-คลาส, A8 และ LS-Series ก่อนที่ฮุนไดจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Equus เมื่อเผยโฉมตัวแทนของเซ็นเทนเนียลและขายในเกาหลีใต้มาตั้งแต่ปลายปี 2009 ส่วนโฉมที่เปิดตัวในนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2010 เป็นเวอร์ชันสำหรับขายในเมืองลุงแซม

แม้จะเป็นรถยนต์ซีดานระดับหรูขนาดใหญ่ แต่ Equus ได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของพื้นตัวถังแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังซึ่งปรับปรุงมาจากพื้นตัวถังของรถสปอร์ตรุ่นเจเนซิส กับตัวถังที่มีความยาว 5,159 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,491 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับเครื่องยนต์วี8 4,600 ซีซี เหมือนกันแต่อัพเกรดเรี่ยวแรงอีก 10 แรงม้าอยู่ที่ 385 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 45.9 กก.-ม.ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลังในอัตราส่วน 52:48%

แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาเห็นจะเป็นการซื้อรถแล้วแถมอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยอย่าง i-Pad มาให้ด้วย แถมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันทั้งเครื่องเสียงจาก Lexicon Logic Audio แบบเดียวกับที่ติดตั้งอยู่ในโรลส์-รอยซ์ แฟนธอม ระบบปรับอากาศที่สามารถแยกส่วนรวมถึงควบคุมในเรื่องของความร้อน ความเย็น และความชื้นภายในห้องโดยสาร

นอกจากนั้นการทำตลาดในสหรัฐอเมริกายังเลือกดีลเลอร์บางรายเท่านั้นเพื่อให้การให้บริการกับลูกค้าเป็นไปอย่างพิเศษ เพราะลูกค้าแทบจะไม่ต้องขับรถไปเข้าศูนย์ ทางเจ้าหน้าที่ของดีลเลอร์จะมารับและส่งคืนให้ถึงประตูบ้าน และตัว i-Pad ที่แถมไปให้ก็จะทำหน้าที่เป็นเสมือนกับคู่มือประจำรถแบบ Virtual รวมถึงจัดตารางนัดหมายในการเข้าเช็คระยะกับทางศูนย์บริการ

สำหรับราคาในการขายที่เมืองลุงแซม ทางฮุนไดตั้งเอาไว้ที่ 50,000-60,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.75-2.1 ล้านบาท ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีราคาเฉียด 100,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.5 ล้านบาท ซึ่งทางฮุนไดมั่นใจว่าเมื่อเริ่มขายกลางปีนี้จะกวาดยอดได้ประมาณ 3,000 คันจากกลุ่มเศรษฐีที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงการซื้อความหรูแบบ Smart Purchases ตามคำกล่าวของจอห์น คริฟคิ๊ก CEO ของฮุนได อเมริกาเหนือ

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น