11 ธันวาคม 2553

Audi A6 : ลุยตลาดหรูไซส์กลาง

ต่อจากการบุกตลาดระดับหรูในกลุ่มเรือธง หรือ Flagship ของแบรนด์อย่าง A8 ในตอนนี้ทางออดี้จัดการเผยโฉมโมเดลเชนจ์ หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมของ A6 โดยมีคิวเปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ หรือ NAIAS ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะจัดแสดงในระหว่างวันที่ 10-23 มกราคมปีหน้า และที่สำคัญ คือ นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาแล้ว A6 ใหม่จะส่งทางเลือกของการขับเคลื่อนในรูปแบบขุมพลังลูกผสม หรือ Hybrid ตามออกมาขายด้วย

A6 เป็นรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ที่อยู่ในคลาสเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ก่อนหน้านี้ออดี้ใช้ชื่อ A100 ในการทำตลาดกลุ่มนี้ แต่เมื่อปี 1994 เมื่อต้องการปรับชื่อรุ่นรถยนต์ที่อยู่ในตลาด ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ A6 แทน เช่นเดียวกับที่ 80 ถูกเปลี่ยนมาเป็น A4 โดยรุ่นใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในชื่อ A6 ขายในรหัส C7 และเข้ามาแทนที่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นรหัส C6 และขายมาตั้งแต่ปี 2004
A6 เป็นรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ที่อยู่ในคลาสเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ก่อนหน้านี้ออดี้ใช้ชื่อ A100 ในการทำตลาดกลุ่มนี้ แต่เมื่อปี 1994 เมื่อต้องการปรับชื่อรุ่นรถยนต์ที่อยู่ในตลาด ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ A6 แทน เช่นเดียวกับที่ 80 ถูกเปลี่ยนมาเป็น A4 โดยรุ่นใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในชื่อ A6 ขายในรหัส C7 และเข้ามาแทนที่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นรหัส C6 และขายมาตั้งแต่ปี 2004

ตรงนี้ถือว่าเป็นการเติมความฮ็อตให้กับตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลางกันอย่างต่อเนื่อง เพราะในปี 2009 ค่ายดาว 3 แฉกก็เพิ่งส่งอี-คลาสในรหัส W212 ลงขายในตลาด และเมื่อต้นปี 2010 ก็เป็นคิวของซีรีส์ 5 ในรหัส F10 จากค่ายบีเอ็มดับเบิลยู โดยที่ในปี 2011 จะเป็นทีของออดี้บ้าง

ในแง่ของตัวรถ ต้องบอกว่า A6 ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาโดยที่อิงรายละเอียดทางด้านรูปลักษณ์ที่ถูกถอดแบบมาจากพี่ใหญ่อย่าง A8 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเส้นสายบนตัวถัง รูปแบบของกระจังหน้าขนาดใหญ่ และก็รวมถึงรายละเอียดและรูปทรงของไฟหน้าและไฟท้ายซึ่งมีการนำหลอด LED มาใช้ เช่นเดียวกับความใส่ใจในเรื่องการลดน้ำหนักที่นำโครงสร้างตัวถังแบบอะลูมิเนียมมาใช้ โดยที่ความปราดเปรียวของตัวรถมากับค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd เพียง 0.26 เท่านั้น
ขณะที่มิติตัวถังถูกขยายใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิม โดยเฉพาะความยาวที่ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับเฉียด 5 เมตร ด้วยตัวเลข 4,920 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร ส่วนพื้นฐานของตัวรถก็ยังเป็นแบบเครื่องยนต์วางตามยาว แต่มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อแบบควอตโตร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของออดี้

ภายในห้องโดยสารของตัวรถยังเพียบพร้อมด้วยความสวยที่ถูกผสมผสานกับความสปอร์ตและความหรูอย่างลงตัว อีกทั้งยังตอบสนองประโยชน์การใช้งานได้อย่างเต็มที่ผ่านการสั่งงานทางหน้าจอ MMI ซึ่งคล้ายกับระบบ iDrive หรือ COMMAND ของบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อีกทั้งหน้าจอนี้ยังสามารถแสดงผลเป็นหน้าจอระบบนำทาง พร้อมด้วยฮาร์ดดิสก์ในตัว
ประเด็นที่น่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดคือ การเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นไฮบริด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสายพันธุ์ A6 โดยระบบไฮบริดยกชุดมาจากเอสยูวีรุ่น Q5 ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยเป็นการนำเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบ TFSI 4 สูบ 2,000 ซีซี 211 แรงม้ามาจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 45 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.5 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะพร้อมโหมดทิปทรอนิก ส่วนหน้าที่ในการเก็บกระแสไฟฟ้าเป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 39 kW

นอกจากความประหยัดน้ำมันด้วยตัวเลข 6.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตรแล้ว ในเรื่องสมรรถนะยังตอบสนองได้อย่างเร้าใจกับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซไอเสียในระดับ 142 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร โดยตัวรถจะมีโหมด EV ซึ่งสามารถแล่นในรูปแบบรถไฟฟ้าด้วยความเร็วในระดับสูงสุด 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงและทำระยะทางได้ 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการขับในช่วงระยะทางสั้นๆ
ถ้าไม่สนใจไฮบริด A6 ใหม่ก็มีทางเลือกอื่นๆ ให้สัมผัสกับระดับกำลังขับเคลื่อนในช่วง 177-300 แรงม้า โดยเริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน FSI แบบวี6 2,800 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผันควบคุมการทำงานของวาล์วฝั่งไอดี AVS มีกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 28.5 กก.-ม. อีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีเทอร์โบแบบ TFSI มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้าขยับขึ้นจากรุ่นเดิม 19% แรงบิดสูงสุด 44.8 กก.-ม. พกอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.7 และ 5.5 วินาทีตามลำดับ และความเร็วสูงสุด 240 และ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในกลุ่มดีเซลมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี TDI ที่มีการเพิ่มกำลังขึ้นมาเป็น 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 8.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามด้วยรุ่นวี6 3,000 ซีซี TDI ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่และมีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน คือ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ตามด้วย 245 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.2 และ 6 วินาทีตามลำดับ และความเร็วสูงสุด 240 และ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในรุ่นเทอร์โบดีเซลตามโหมดการทดสอบของ EU มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20.1-16.6 กิโลเมตรต่อลิตร
ระบบเกียร์มีให้เลือกหลายรุ่นทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ อัตโนมัติ 7 จังหวะในแบบ S-Tronic คลัตช์คู่และ 8 จังหวะสำหรับรุ่นไฮบริด ส่วนอีกรุ่นเป็นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ Multitronic ส่วนระบบขับเคลื่อนล้อมีทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อตลอดเวลา โดยที่การยึดเกาะถนนเป็นงานของระบบช่วงล่างหน้าแบบยึด 5 จุด และด้านหลังแบบ Trapezoidal-Link ที่ด้านหลัง โดยล้อแม็กจากโรงงานอาจจะค่อนข้างงกนิดหน่อย เพราะให้แค่ขนาด 16 และ 17 นิ้วเท่านั้น ส่วนใครที่อยากสวยก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะออดี้มีขนาด 20 นิ้วเตรียมเอาไว้รอท่า แต่ที่มีการติดตั้งมาให้ทุกรุ่นคือ ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง หรือ Tire Pressure Monitor

เจอกันได้ต้นปี 2011 กับค่าตัวเริ่มต้น 38,500 ยูโร หรือ 1.9 ล้านบาทในเยอรมนี ส่วนใครที่รอความอเนกประสงค์ของตัวถังแวกอน หรืออวันต์ (Avant) ก็รอกันอีกหน่อย คาดว่าน่าจะเผยโฉมในช่วงงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น