มาสด้า ชี้ชัดยังไม่เดินหน้า "พลังงานทางเลือก" หลังเชื่อเครื่องยนต์คือหัวใจสำคัญ ให้รถประหยัดน้ำมันดีกว่าเยอะ ชี้คนซื้อมาสด้าต้องการสมรรถนะเต็มที่ แต่เตรียมพร้อมหากตลาดต้องการ
มาสด้าเมินพลังงานทางเลือกชูสมรรถนะเจ๋ง
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงนโยบายด้านพลังงานว่า จากแนวทางของบริษัทมาสด้า คอร์ปอเรชั่น ที่ประเทศญี่ปุ่น บริษัทจะทำตลาดกับรถยนต์พลังงานทางเลือกในระดับหนึ่ง แต่ไม่วางเป้าเป็นผู้นำทางด้านนี้ โดยจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีแทน เพราะเชื่อว่าการพัฒนารถให้ประหยัดพลังงาน ไม่ได้อยู่ที่การเลือกประเภทของพลังงานเท่านั้น แต่อยู่ที่การพัฒนาตัวรถด้วย
"ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ มาสด้า 2 ที่บริษัทได้พัฒนาด้านช่วงล่าง ยาง พัฒนาแรงเสียดทาน แอโรไดนามิก และพัฒนาเหล็ก อัลตรา ไฮ เทนไซส์ สตีล ซึ่งน้ำหนักเบา ออกแบบการเดินสายไฟให้ใช้น้อยที่สุด ทำให้น้ำหนักรถไม่มีน้ำหนักส่วนเกิน ลดน้ำหนักไปได้ประมาณ 105 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้รถบริโภคน้ำมันน้อยลง" นางสาวสุรีทิพย์กล่าว
นางสาวสุรีทิพย์กล่าวอีกว่า การใช้ก๊าซธรรมชาติถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดเรื่องจุดเดือดที่สูงมาก และต้องหาวัสดุที่สามารถรองรับจุดเดือดนั้นได้ในระยะยาว รวมทั้งความเสถียรที่ยังไม่เหมาะกับเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ซึ่งทางบริษัทเคย ติดตั้งระบบก๊าซกับรถยนต์มาสด้า 3 ปรากฏว่าสมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลง 20%
"หัวฉีดของมาสด้า 3 เป็นหัวฉีดเล็ก ๆ หลายจุด ทำให้ไม่มีการฉีดออกมาเกิน และให้ความแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลักษณะหัวฉีดประเภทนี้ไม่เหมาะกับการติดตั้งก๊าซ เพราะก๊าซต้องการหัวฉีดขนาดใหญ่ นี่คือเหตุผลที่มาสด้าไม่ไปในแนวทางนั้น เพราะคนที่ซื้อรถมาสด้าคือคนที่ซื้อสมรรถนะ ซื้อความสนุกในการขับขี่ การประหยัดน้ำมันนิดหน่อยแล้วทำให้เสียสมรรถนะตรงนั้นไป บริษัทมีแนวคิดว่า รถมาสด้าไม่ใช่รถที่ประหยัดน้ำมันที่สุด แต่เน้นสมรรถนะที่ขับสนุกแม้จะกินน้ำมันมากกว่ารถที่ใช้พลังงานทางเลือก"
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังเตรียมพร้อมการพัฒนาพลังงานประเภทต่าง ๆ เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคอยู่ตลอด หากมีความต้องการ ซึ่งที่ผ่านมามีการศึกษาและพัฒนาเครื่องยนต์ไฮบริดและไฮโดรเจนอยู่ โดยร่วมกับรัฐบาลของญี่ปุ่น และพัฒนาเครื่องยนต์ซีเอ็นจีสำหรับรถในตลาดยุโรปด้วย ทั้งนี้มาสด้ายังคงมีความเชื่อว่า พื้นฐานสำคัญของรถยนต์อยู่ที่เครื่องยนต์และเทคโนโลยี
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น